“แจ็ก คาร์โมดี มีผู้ติดตามช่องยูทูบจำนวนมากจากการแสดง
ให้ผู้ชมของเขาได้เห็นทักษะและความยากลำบากในการดำเนินกิจการสถานีปศุสัตว์
ในเขตเอาต์แบ็ก (outback) หรือชนบทของออสเตรเลีย”
ทั้งงานที่หนักหนาอย่างการซ่อมแซมบ่อน้ำดื่มสำหรับวัว เสริมความแข็งแรงของรั้ว และยิงผู้บุกรุก ซึ่งได้แก่ม้าและลาจรจัด และชนิดพันธุ์รุกรานที่สร้างความเสียหายอย่างมากเป็นการเฉพาะชนิดหนึ่ง นั่นคืออูฐ ในศตวรรษที่สิบเก้า อูฐถูกนำเข้ามาเพื่อช่วยชาวอาณานิคมสำรวจแผ่นดินภายในอันกว้างใหญ่ไพศาลของออสเตรเลีย ปัจจุบัน พวกมันกลายเป็นหายนะทั่วเขตชนบทและสร้างความเสียหายแก่ไร่หรือที่ชาวออสเตรเลียเรียกว่าสถานีปศุสัตว์ ไร่เพรนตีดาวน์สของครอบครัวคาร์โมดีมีงานมากมายต้องทำ และในยุคอินเทอร์เน็ตเช่นนี้ นั่นยังหมายถึงมีคอนเทนต์มากมายให้สร้าง
ในช่องแจ็กเอาต์เดอะแบ็ก (Jack Out The Back) ของคาร์โมดี ไม่มีคลิปวิดีโอใดได้รับความนิยมมากไปกว่าคลิปที่เขาต่อกรกับอูฐ ซึ่งคุณพ่อลูกสามที่พูดจาขวานผ่าซากคนนี้ ฆ่าด้วยปืนไรเฟิลเกือบ 800 ตัวในแต่ละปี สำหรับคาร์โมดีและชาวไร่ปศุสัตว์คนอื่นๆ นี่เป็นแค่ทางออกสมเหตุสมผลที่สุดต่อปัญหาเลวร้าย ดังที่เขาบอกว่า “เหมือนวัชพืชในแปลงผัก” และอูฐก็เป็นเหมือนวัชพืชควบคุมยากที่หวนกลับมาเรื่อยๆ

ปัจจุบัน ออสเตรเลียเป็นบ้านของประชากรอูฐจรจัดมากที่สุดในโลก ซึ่งคาดว่ามีประมาณหลายแสนถึงหนึ่งล้านตัว อูฐเพศเมียสามารถตกลูกทุกสองปี และในธรรมชาติมีชีวิตยาวนานถึง 40 ปี หมายความว่า ทุกเก้าปีอูฐจะเพิ่มจำนวนได้เป็นทวีคูณ อูฐมีน้ำหนักเฉลี่ย 450 กิโลกรัม พวกมันท่องไปเป็นฝูงตั้งแต่ไม่ถึง 10 ตัวจนถึงหลายร้อยตัว เหยียบย่ำระบบนิเวศและสร้างความเสียหายแก่โครงสร้างพื้นฐาน อูฐเป็นสัตว์ที่กินพืชในปริมาณมากโดยแย่งชิงกับสัตว์ป่าอื่นๆ และปศุสัตว์ และจำกัดแหล่งอาหารสำหรับชุมชนชาวอะบอริจิน พวกมันทำลายเสถียรภาพของเนินทราย ซึ่งอาจทำให้เกิดการกัดเซาะ อูฐยังทำให้แหล่งน้ำสกปรกจากการถ่ายมูลลงไปหรือรุมล้อมเป็นจำนวนมากเกินไปจนอดน้ำตาย ซากของอูฐทำให้น้ำที่เหลืออยู่น้อยนิดเป็นพิษ อันที่จริง น้ำเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด เมื่อมีพืชที่ความชื้นสูงให้กินเพียงพอ อูฐขึ้นชื่อเรื่องการมีชีวิตอยู่ได้นานหลายสัปดาห์โดยไม่ดื่มน้ำเลย แต่เมื่อกระหายน้ำขึ้นมา พวกมันก็ดื่มอย่างไม่รู้จักพอ อูฐตัวเต็มวัยดื่มน้ำได้วันละ 200 ลิตร เมื่อแหล่งน้ำตามธรรมชาติแห้งลง อูฐจะไปหาน้ำในสถานที่ใดก็ตามที่พวกมันสามารถหาจนพบ ในการนี้ พวกมันมักทำให้ท่อประปาแตก พังห้องสุขา และกระแทกเครื่องปรับอากาศออกนอกหน้าต่าง

สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าก็คือ ภัยแล้งที่เกิดบ่อยขึ้นกำลังบีบให้อูฐเข้าใกล้มนุษย์มากขึ้นและเผชิญหน้ากับมนุษย์ถี่ขึ้น ความเสียหายร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งจากความขัดแย้งเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2013 ที่สถานีปศุสัตว์เคอร์ทินสปริงส์ในนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี หกปีก่อนหน้านั้น อูฐจรจัดที่ต้องการน้ำอย่างมากพังรั้วยาว 160 กิโลเมตรของสถานี “ฉันหมายถึงพังหมดเลยค่ะ” ลินดี เซเวอริน ผู้ทำไร่นี้กับครอบครัว เล่า “หมดเลย” การสร้างรั้วขึ้นมาใหม่มีค่าใช้จ่ายประมาณครึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐ ชาวไร่มีหน้าที่ทางกฎหมายในการกำจัดสัตว์จรจัดหรือเร่ร่อนจากที่ดินของตน เมื่อเธอเห็นอูฐกลับมา เซเวอรินโทรศัพท์ไปหาโครงการจัดการอูฐจรจัดออสเตรเลีย ภายใน 48 ชั่วโมง นักแม่นปืนมาถึงไร่และในช่วงสี่วันถัดมา พวกเขายิงอูฐตายไป 1,700 ตัวจากเฮลิคอปเตอร์
แต่โครงการกำจัดอูฐของรัฐบาลกลางมีงบประมาณแค่สี่ปี ซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อปี 2013 เพราะเมืองต่างๆ ไม่มีแรงสนับสนุนทางการเมืองมากพอที่จะคงโครงการในชนบทอันห่างไกลนี้ให้ดำเนินต่อไป อูฐจรจัดรังแต่จะเพิ่มจำนวนขึ้น ตามที่นักชีววิทยา ทิม โลว์ ผู้ร่วมก่อตั้งสภาชนิดพันธุ์รุกรานของออสเตรเลียซึ่งเป็นองค์กรเอกชนไม่แสวงกำไร บอก ผลกระทบในปัจจุบันของอูฐจรจัดที่มีต่อชาวไร่และชาวออสเตรเลียเชื้อสายอะบอริจินนั้น “มากมายมหาศาล” มูลค่าความเสียหายและการควบคุมจำนวนอูฐซึ่งประเมินครั้งสุดท้ายอยู่ที่ 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปี 2013 ปัจจุบันไม่ทราบตัวเลข โลว์และผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆบอกว่า ถ้าพวกเขาไม่สามารถควบคุมประชากรอูฐได้ ภัยแล้งครั้งต่อไปในออสเตรเลียจะวิกฤติมากยิ่งขึ้น

แนวคิดในการจัดการกับอูฐจรจัดนั้นมีอยู่มากมาย แต่การเข้าใจว่าทำไมอูฐจึงถูกนำเข้ามาออสเตรเลียตั้งแต่แรก น่าจะเป็นประโยชน์ ย้อนหลังไปช่วงทศวรรษ 1830 ชาวอาณานิคมอังกฤษซึ่งพยายามสำรวจเขตชนบทโดยใช้ม้าที่อ่อนล้าง่าย ได้ยินกิตติศัพท์เรื่องความทนทายาดเป็นเลิศของอูฐ อูฐตัวแรกที่มาถึงออสเตรเลียนำเข้าจากหมู่เกาะคะแนรีเมื่อปี 1840 ตัวอื่นๆที่ตามมานำเข้าจากคาบสมุทรอาหรับ อัฟกานิสถาน บริติชอินเดีย จักรวรรดิเปอร์เซีย และออตโตมัน ชาวอาณานิคมยังนำคนเลี้ยงอูฐมาอีกกว่า 2,000 คน ซึ่งเรียกรวมๆว่าชาวอัฟกานิสถาน ทั้งๆที่มีต้นกำเนิดหรือเชื้อชาติแตกต่างหลากหลาย อูฐช่วยให้เข้าถึงพื้นที่ห่างไกลลึกเข้าไปในทวีป ขนส่งอาหารและเครื่องอุปโภคบริโภค ตลอดจนนักขุดทองและคนงานก่อสร้างทางรถไฟและระบบโทรเลข จากนั้น นโยบาย “ออสเตรเลียขาวล้วน” ซึ่งประกาศใช้เมื่อปี 1901 เพื่อป้องกันผู้ที่ไม่ใช่ชาวยุโรปอพยพเข้าประเทศ เริ่มทำให้จำนวนคนเลี้ยงอูฐลดลง เช่นเดียวกับที่เทคโนโลยีทำ พอถึงทศวรรษ 1930 รถยนต์และทางรถไฟทำให้อุตสาหกรรมอูฐของออสเตรเลียตกยุค คนเลี้ยงอูฐต่างชาติจำนวนมากกลับบ้านเกิดที่จากมา ส่วนอูฐของพวกเขาซึ่งมีมากถึง 10,000 ตัวจู่ๆก็ตกงานจึงถูกปล่อยให้ใช้ชีวิตอิสระ

การใช้ประโยชน์จากสัตว์หัวดื้อเหล่านี้ในวิถีดั้งเดิมอย่างหนึ่ง คือการใช้งานในอุตสาหกรรมการขี่อูฐท่องป่า ซึ่งเอื้อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์สมบุกสมบันเพื่อไปเยือนพื้นที่ห่างไกลที่สุดบางส่วนที่อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินของออสเตรเลีย การขี่อูฐท่องป่าโด่งดังขึ้นมาเพราะหนังสือ รอยทาง (Tracks) บันทึกความทรงจำเมื่อปี 1980 ของโรบิน เดวิดสัน ว่าด้วยการเดินทางด้วยอูฐตามลำพังเป็นระยะทาง 2,700 กิโลเมตรข้ามทะเลทรายในแถบตะวันตกของออสเตรเลีย ปัจจุบัน อุตสาหกรรมนี้มีผู้ประกอบการราว 12 ราย ผู้ดำเนินกิจการมายาวนานที่สุดรายหนึ่งคือบริษัทเอาต์แบ็กคาเมล (Outback Camel Company) แอนดรูว์ ฮาร์เปอร์ เจ้าของบริษัทตั้งแต่ปี 2000 และมีอูฐ 21 ตัว ประเมินว่า การขี่อูฐท่องเที่ยวทั่วประเทศใช้อูฐไม่ถึงหนึ่งร้อยตัว “เราถูกกำหนดด้วยฤดูกาลครับ” ฮาร์เปอร์บอกยิ่งจำนวนผู้อยากเดินป่าเที่ยวทะเลทรายมีอยู่จำกัดด้วยแล้ว “มันจึงไม่เหมือนโมเดลธุรกิจทั่วไป [ที่มุ่งเน้น] การเติบโตแบบทวีคูณครับ”
แต่ยังมีวิธีขี่อูฐจรจัดที่ตื่นเต้นเร้าใจมากกว่า แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวกว่า 4,000 คนมาเยือนหมู่บ้านบูเลีย (ประชากรไม่ถึง 500 คน) ในรัฐควีนส์แลนด์ ซึ่งจัดการแข่งขันวิ่งอูฐที่มีชื่อเสียงมากที่สุดงานหนึ่งของออสเตรเลีย การแข่งขันนี้มีเงินรางวัลรวมประมาณ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ ความที่อูฐเป็นสัตว์เจ้าอารมณ์ จึงมีการแข่งไม่กี่รอบที่จ็อกกีไม่ถูกสะบัดตกลงมาหรือถูกอูฐกัด และจ็อกกีที่เก่งสมราคาค่าตัวมักมีแผลเป็นเป็นเครื่องพิสูจน์ “อูฐแต่ละตัวมีบุคลิกแตกต่างกันไปครับ” จ็อกกี เบรตต์ลิน “บีเวอร์” นีล กล่าว “เราหวังว่าเราจะออกตัวได้ดี และนั่นแหละ จับไว้ให้มั่น”

ผู้จัดทัวร์ขี่อูฐ แพดดี แมกฮิว จัดการแข่งวิ่งอูฐบูเลียขึ้นเมื่อปี 1997 ธุรกิจนี้ยังคงมีขนาดย่อม เช่นเดียวกับสนามแข่งอูฐทั่วออสเตรเลีย ซึ่งมีอูฐเข้าแข่งขันแค่ประมาณ 100 ตัว แต่แมกฮิวคิดว่าตัวเลขนี้เติบโตได้สิบเท่า สนามแข่งแบบรถฟอร์มูลาวันสามารถเชื่อมการแข่งขันในออสเตรเลียกับการแข่งขันในแอฟริกาเหนือและแถบอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งอูฐแข่งสามารถมีมูลค่าสูงกว่าหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่แมกฮิวเป็นคนอยู่กับความเป็นจริง และคิดว่าวิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาอูฐในออสเตรเลียได้ คือการทำตลาดคุณสมบัติอันหลากหลายของสัตว์ชนิดนี้ “อูฐถูกประเมินค่าต่ำไปมากครับ” เขาบอกและเสริมว่า “เราจำเป็นต้องยกระดับภาพลักษณ์และส่งเสริมให้อูฐเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อีกอย่างหนึ่งของออสเตรเลีย” แมกฮิวไม่เห็นด้วยกับการฆ่าอูฐเหมือนชุมชนชาวอะบอริจินหลายแห่งและกลุ่มสวัสดิภาพสัตว์
อูฐมีประโยชน์สารพัดอย่างน่าทึ่ง ผิดกับสัตว์อื่นส่วนใหญ่ที่เราสามารถนำมาวิ่งแข่งด้วยความเร็วถึง 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พวกมันสามารถนำมารีดนมได้ และนมอูฐซึ่งมันและออกรสเค็มปะแล่มๆ เป็นทางเลือกแทนนมวัวที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ไขมันต่ำ และแล็กโทสต่ำ กำลังการผลิตนมอูฐในออสเตรเลียซึ่งอยู่ที่ปีละ 180,000 ลิตร ตามข้อมูลล่าสุดที่มี เปรียบได้กับน้ำนมหยดหนึ่งในถังเมื่อเทียบกับยอดขายนมวัว 2,400 ล้านลิตรในปัจจุบัน แต่นมอูฐเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่เพิ่งเริ่มต้น บริษัทคาเมลมิลก์ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2014 ทางเหนือของเมลเบิร์น ปัจจุบัน โรงนมของบริษัทมีอูฐนมมากกว่า 200 ตัว ขณะที่ซัมเมอร์แลนด์คาเมลส์ ไร่ออร์แกนิกในควีนส์แลนด์ที่มีอูฐ 800 ตัว โฆษณาสรรพคุณของนมที่มีวิตามินซีสูง และขายผลิตภัณฑ์อีกหลากหลายที่ได้จากนมอูฐ ตั้งแต่ชีสไปจนถึงไอศกรีม ครีมทาตัวถึงวอดกานม

แน่นอนว่า การขยายขนาดกิจการเหล่านี้จนถึงระดับที่สร้างผลกระทบต่อประชากรอูฐจรจัดขนาดมหึมาของออสเตรเลียได้ ถือเป็นความท้าทายใหญ่หลวง ตามที่วอริก ฮิลล์ จากฮัมปาลิเชียส โรงนมอูฐซึ่งตั้งอยู่ในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย อธิบาย ปกติแล้วสัตว์ที่ผสมพันธุ์ขึ้นมาเพื่อรีดนมนั้นจะมีขนาดหัวนมและเต้านมเท่าๆกัน เขาบอกว่า ไม่มีใครลงทุนลงแรงจริงจังกับการผสมพันธุ์อูฐให้เหมาะกับเครื่องรีดนม “เวลาที่เราใช้รีดนมอูฐ 12 ตัว โรงรีดนมวัวอาจรีดเสร็จไปแล้ว 500 ตัวครับ”
ผลิตภัณฑ์หนึ่งของฮัมปาลิเชียสคือเนื้อแห้ง ชี้ให้เห็นว่ายังมีทางออกที่มีศักยภาพอีกทางหนึ่ง นั่นคือเนื้ออูฐ ซึ่งเป็นวิสาหกิจระดับโลกมูลค่า 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (รายงานภาคอุตสาหกรรมชิ้นหนึ่งคาดประมาณว่า เมื่อถึงปี 2030 มูลค่าจะเพิ่มเป็น 2,200 ล้านดอลลาร์) โดยมีตลาดใหญ่อยู่ในตะวันออกกลางและแอฟริกา ปัจจุบัน การขายเนื้ออูฐกำลังไปได้ดี รายการโทรทัศน์รายการใหม่ของออสเตรเลียชื่อ กินผู้บุกรุก (Eat the Invaders) มีตอนหนึ่งคะยั้นคะยอ ให้ผู้ชมลองกินเนื้ออูฐ ธุรกิจที่ใช้ประโยชน์จากอุปสงค์นี้รวมถึงวิสาหกิจขนาดเล็กในท้องถิ่นและบริษัทขนาดใหญ่ เช่น ซาเมกซ์ ผู้ส่งออกเนื้อในแอดิเลด และเฟตเทย์เลห์ฟูดส์ในนิวเซาท์เวลส์ ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์เนื้อทั้งขายส่งและขายปลีกสำหรับตลาดในประเทศซึ่งขายเนื้ออูฐเพื่อทำเบอร์เกอร์
ในออสเตรเลีย เนื้ออูฐเป็นธุรกิจเฉพาะกลุ่มเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์จากนมอูฐ อุตสาหกรรมเนื้ออูฐของออสเตรเลียผลิตได้ปีละไม่กี่ร้อยตัน เทียบกันไม่ได้กับกำลังการผลิตเนื้อวัวที่เกือบ 2.5 ล้านตัน แต่เอดดี ฮอปกินส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทคาเมลเอกซ์ปอร์ตออสเตรเลีย บอกว่า ต่างประเทศมีความต้องการเนื้ออูฐของออสเตรเลียเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐฯ เขาได้รับคำสั่งซื้อสัปดาห์ละกว่า 25 ตัน คิดเป็นอูฐประมาณ 200 ตัว จากร้านขายของชำในเมืองมินนีแอโพลิส รัฐมินนิโซตา ซึ่งมีชุมชนชาวโซมาลีขนาดใหญ่ ชาวโซมาลีใช้อูฐเป็นแหล่งอาหารหลักสำหรับเนื้อและนม ฮอปกินส์คิดว่า คำสั่งซื้อเหล่านั้นเป็นแค่ “ผิวๆ” เท่านั้น และเชื่อว่าอุปสงค์ที่แท้จริงจากทั่วโลกในแต่ละสัปดาห์ต้องใช้อูฐเกือบ 1,200 ตัว ทำให้เขามีความหวังในโอกาสระยะยาวของอุตสาหกรรมนี้

คาร์โมดี ผู้เป็นชาวไร่และยูทูบเบอร์ ยังหวังจะขายเนื้ออูฐบางส่วนที่เขาฆ่าด้วยซึ่งคิดเป็นเนื้ออูฐปีละประมาณ 118 ตัน ในคลิปวิดีโอหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ เขาเฉือนหนอกที่อุดมด้วยไขมันของอูฐหนอกเดียวออกเพื่อเข้าถึงเนื้อข้างใต้ พลางอธิบายว่าบางครั้งเขายังตัดเนื้อจากขาและไหล่มาทำไส้กรอก แต่เป็นงานที่ต้องลงแรงมาก เขาสงสัยว่าจะมีลูกค้าจำนวนมากพอหรือไม่ที่อยากจ่ายราคาที่จำเป็นต้องแพงขึ้น อย่างไรก็ตาม การฆ่าอูฐในทะเลทรายและขนส่งไปแปรรูปเป็นเรื่องยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูง “แพงหูฉี่จนไม่คุ้มทุนครับ” คาร์โมดีบอก “แค่ยิงทิ้งทุกตัวถูกกว่า”
เมื่อไม่นานมานี้ ระหว่างที่คาร์โมดีนั่งเครื่องบินจากชายฝั่งทางใต้ของออสเตรเลียมุ่งหน้ากลับบ้าน ชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังเครื่องขึ้น เขาเห็นอูฐฝูงเล็กๆมุ่งหน้าไปยังเขตทำไร่ “มันไม่ได้เป็นปัญหาของพื้นที่ชนบทเท่านั้นครับ” เขาบอก “มันเริ่มจะกลายเป็นปัญหาของแถบชายฝั่งแล้ว”
แต่สำหรับตอนนี้ สถานีปศุสัตว์ในเขตชนบทเช่นของคาร์โมดีและของเซเวอรินนี่เองที่ยังคงอยู่ตรงใจกลางของวิกฤติ เพื่อจำกัดจำนวนอูฐจรจัด เซเวอรินเลี้ยงอูฐที่ต้อนมาครั้งละประมาณ 50 ตัว จนกระทั่งพวกมันมีอายุมากพอจะขายเพื่อฆ่าเอาเนื้อ “เราไม่อยากยิงให้เสียของค่ะ” เธอบอก แต่เธอกำลังจะหมดความอดทน และเธอกลัวว่าความขัดแย้งอีกระลอกกำลังตั้งเค้า มันไม่ใช่ “ถ้าพวกมันกลับมา” เธอบอก “พวกมันจะกลับมาค่ะ” คำถามที่แท้จริงคือ ผู้อาศัยในเขตชนบทเตรียมรับมือกับมันอย่างไร
เรื่อง ชอน วิลเลียมส์
ภาพถ่าย แมตทิว แอบบอตต์
แปล ปณต ไกรโรจนานันท์