“ยีราฟสัตว์สัญลักษณ์ของทวีปแอฟริกากำลังใกล้สูญพันธุ์เข้าไปทุกที”
ในอดีตเมื่อกว่าร้อยปีก่อน ทั่วทั้งทวีปแอฟริกามียีราฟกระจายอยู่ทั่วไป ประชากรของพวกมันเคยมากถึง 2 ล้านตัว แต่ปัจจุบัน ตัวเลขเหลือไม่ถึงแสน และไม่มีแนวโน้มว่าจะฟื้นตัวขึ้นแต่อย่างใด การสำรวจในปี 2016 บันทึกได้เพียงประมาณ 97,000 ตัวทั่วทั้งทวีป ซึ่งหมายถึงการลดลงกว่า 95% ในช่วงเวลาเพียงศตวรรษเดียวทำให้สหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ธรรมชาติหรือ IUCN ต้องขยับสถานะของยีราฟในบัญชี IUCN Red List จากสัตว์ ‘ที่มีความกังวลน้อยที่สุด’ (Least Concern – LC) ขึ้นมาอยู่ในกลุ่ม ‘มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ’ (Vulnerable – VU) ถือเป็นสัญญาณเตือนชัดเจนว่าสัตว์ชนิดนี้กำลังเผชิญวิกฤต
การลดลงอย่างต่อเนื่องของประชากรยีราฟตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงความผิดปกติบางอย่างที่ลุกลามอยู่ในระบบนิเวศที่พวกมันเคยอาศัย แน่นอนว่าโลกที่ร้อนขึ้นและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปมีส่วนเร่งให้สถานการณ์เลวร้ายลง แต่เมื่อมองให้ลึกลงจะพบว่าวิกฤตที่ยีราฟต้องเผชิญนั้นมีต้นเหตุสำคัญเป็นฝีมือของมนุษย์แทบทั้งสิ้น
มนุษย์รุกล้ำถิ่นอาศัย
ในหลายภูมิภาคของแอฟริกา พื้นที่ป่าที่เคยเป็นถิ่นอาศัยของยีราฟกำลังหายไปอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักคือการรุกล้ำของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของเกษตรกรรม เมือง ถนน หรือพื้นที่อุตสาหกรรม การพัฒนาที่ดินเหล่านี้ทำให้ต้นไม้ยืนต้นที่เป็นแหล่งอาหารของยีราฟถูกตัดทำลายลงไปเรื่อย ๆ
African Wildlife Foundation รายงานว่ายีราฟต้องการพื้นที่กว้างใหญ่เพื่อหากินและดำรงชีวิต แต่เมื่อพื้นที่ถูกแบ่งย่อยและถูกใช้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจมากขึ้น พวกมันจึงเหลือพื้นที่อยู่อาศัยน้อยลง ขนาดฝูงที่เคยมีสมาชิกกว่า 20 ตัวในอดีต ลดลงเหลือเพียงเฉลี่ย 5 – 6 ตัวในบางพื้นที่ การลดขนาดของฝูงส่งผลต่อการผสมพันธุ์ข้ามกลุ่ม และอาจนำไปสู่ภาวะเลือดชิด ซึ่งเป็นสาเหตุของความอ่อนแอในประชากรรุ่นใหม่
นอกจากปัญหาเชิงระบบนิเวศ การสูญเสียถิ่นอาศัยยังเพิ่มความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสัตว์อย่างชัดเจน เมื่อแหล่งอาหารในธรรมชาติหายไป ยีราฟจำนวนหนึ่งเริ่มบุกรุกเข้าไปยังพื้นที่เพาะปลูกของชาวบ้าน และสุดท้ายก็มักจบลงที่ยีราฟถูกไล่ต้อน จนบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลยก็มี
มนุษย์ล่าเป็นสินค้า
ในหลายวัฒนธรรมของแอฟริกา ชิ้นส่วนของยีราฟถูกใช้เป็นของใช้และวัตถุมงคล หางของมันมักถูกถักเป็นเครื่องรางหรือเครื่องประดับ เช่น แหวน เชือก หรือของที่ใช้ในพิธีแต่งงานเพื่อแสดงฐานะ เช่นในบางชุมชนของเคนยา ผิวหนังของยีราฟถูกนำไปผลิตเป็นเบาะ ตะกร้า หรือแม้แต่ภาชนะใส่น้ำ กระดูกและไขกระดูกของมันถูกใช้ในยาพื้นบ้าน โดยมีความเชื่อว่าสามารถรักษาโรคร้ายแรงอย่าง HIV ได้ แม้ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน
แต่ตลาดการค้าชิ้นส่วนยีราฟไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในท้องถิ่น รายงานจากมูลนิธิเพื่อสัตว์ป่าแห่งสหรัฐฯ (HSUS) เปิดเผยว่า ในช่วงปี 2006–2015 สหรัฐอเมริกานำเข้าชิ้นส่วนของยีราฟมากกว่า 40,000 ชิ้น ซึ่งเทียบเท่ากับยีราฟราว 4,000 ตัวที่ถูกล่าเพื่อนำผิวหนัง กระดูก หรือหางไปผลิตสินค้า เช่น รองเท้าบู๊ต พรม ด้ามมีด หรือแม้แต่ปกหนังสือไบเบิล รายงานเดียวกันยังระบุว่า สินค้าจากยีราฟมีวางจำหน่ายตามร้านค้าหลายแห่งในสหรัฐฯ โดยผู้ค้าส่วนหนึ่งยอมรับว่าได้วัตถุดิบมาจากนักล่าสัตว์ที่เดินทางไปล่าในแอฟริกา
มูลค่าของตลาดนี้สูงมาก ถึงแม้จะไม่มีตัวเลขชัดเจนเปิดเผย แต่บางแหล่งประมาณว่าในทวีปแอฟริกาเพียงทวีปเดียว การค้าชิ้นส่วนยีราฟสร้างรายได้หลายล้านดอลลาร์ต่อปี ตัวอย่างเช่น ใน ประเทศเคนยา เนื้อยีราฟ 1 ตัวสามารถขายได้ราว 600–700 ดอลลาร์ (ประมาณ 20,000–25,000 บาท) การค้าผิดกฎหมายเหล่านี้มักแฝงตัวอยู่ในตลาดเนื้อสัตว์ปกติ โดยมีการปลอมแปลงเนื้อยีราฟให้ดูเหมือนเนื้อวัว
นอกจากตลาดมืด ยังมีอีกหนึ่งช่องทางถูกกฎหมายที่สร้างความกังวลในวงการอนุรักษ์ นั่นคือ การล่าเพื่อเป็นถ้วยรางวัล หรือ Trophy Hunting ซึ่งยังได้รับอนุญาตในบางประเทศ เช่น นามิเบีย แอฟริกาใต้ และซิมบับเว นักล่าต่างชาติสามารถจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเข้าไปล่ายีราฟในพื้นที่เปิด โดยอ้างเหตุผลด้านการควบคุมประชากรหรือสนับสนุนการอนุรักษ์
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการและองค์กรด้านสัตว์ป่าได้ตั้งคำถามต่อระบบนี้ ว่ารายได้ที่ได้จากการอนุญาตให้ล่านั้นถูกนำกลับไปใช้เพื่ออนุรักษ์จริงหรือไม่ ขณะเดียวกัน การเปิดช่องให้ล่าสัตว์อย่างถูกกฎหมายอาจยิ่งสร้างแรงจูงใจให้กับตลาดค้าชิ้นส่วนยีราฟ โดยเฉพาะเมื่อสินค้าจากสัตว์ชนิดนี้เริ่มกลายเป็นที่นิยมในตลาดสหรัฐฯ และยุโรป
มนุษย์ไม่เคยให้ความสำคัญกับยีราฟ
อย่างที่กล่าวไปในช่วงต้น ว่าประชากรยีราฟในธรรมชาติลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาและมีอย่างน้อย 7 ประเทศในแอฟริกาที่เคยมียีราฟในธรรมชาติ แต่วันนี้กลับไม่พบพวกมันอีกแล้วเลยแม้แต่ตัวเดียว
แม้จะมีข้อมูลเหล่านี้ชัดเจนมาเนิ่นนาน แต่วิกฤตของยีราฟกลับไม่เคยได้รับความสนใจในระดับเดียวกับสัตว์ใหญ่ชนิดอื่น ทั้งที่ยีราฟเองก็เป็นภาพจำประจำทุ่งหญ้าสะวันนา เป็นสัตว์ที่ใครหลายคนนึกถึงเมื่อนึกถึงแอฟริกา แต่เมื่อพูดถึงการอนุรักษ์ กลับไม่ค่อยมีใครเอ่ยถึงชื่อของพวกมัน สถานะ ‘เสี่ยงสูญพันธุ์’
ความจริงที่น่าเศร้าคือ ยีราฟไม่เคยถูกยกให้เป็น ‘สัตว์เรือธง’ ในการอนุรักษ์แบบที่แพนด้า ช้าง หรือแรดเคยได้รับ สัตว์เหล่านั้นมักถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของความพยายามในการรักษาธรรมชาติ มีแคมเปญ มีโลโก้ มีของที่ระลึกขายเพื่อระดมทุน และได้รับพื้นที่สื่ออยู่เสมอ
สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะยีราฟไม่ถูกล่าอย่างเปิดเผยในเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับงาช้างหรือเขาแรด พวกมันมักถูกล่าแบบเงียบ ๆ หรือไม่ก็หายไปจากพื้นที่บางแห่งโดยไม่มีใครทันสังเกต ไม่มีข่าว ไม่มีภาพสะเทือนอารมณ์ ทำให้การหายไปของพวกมันไม่เคยสร้างแรงสั่นสะเทือนในความรับรู้ของสาธารณะ
ยิ่งไปกว่านั้นนักอนุรักษ์หลายคนยังมองว่าภาพลักษณ์การอยู่รวมฝูงกันทีละหลายสิบตัวของยีราฟที่ปรากฏในสื่อ อาจกลายเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่บดบังข้อเท็จจริง เพราะพวกมันดู ‘ไม่น่าเป็นห่วงพอ’ และ ‘ดูไม่เสี่ยงพอจะต้องเร่งช่วย’ แม้ในความเป็นจริงจะอยู่ในภาวะวิกฤตมาเป็นเวลานาน ถึงขั้นมีการเปรียบเปรยกันว่าจำนวนยีราฟในซับซาฮารามีน้อยกว่าจำนวนช้างแอฟริกาเสียอีก (ช้างแอฟริกา 4 : 1 ยีราฟ)
การมองข้ามนี้ ไม่ใช่เพียงการละเลยทางความรู้สึก แต่ส่งผลจริงในทางปฏิบัติ ทำให้โครงการเกี่ยวกับยีราฟได้งบประมาณสนับสนุนที่น้อยกว่า งานวิจัยที่เริ่มช้า หรือแม้แต่กฎหมายคุ้มครองจากการค้าของ CITES ที่เพิ่งเพิ่มชื่อยีราฟไว้ในภาคผนวก 2 ในปี 2019 ก็ช้าเกินไปมาก สำหรับยีราฟคอร์โดฟาน (Kordofan giraffe) และยีราฟนูเบียน (Nubian giraffe) ที่ IUCN ประเมินให้เป็นสัตว์ที่มีสถานะ ‘ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง’ (Critically Endangered) ไปแล้ว
สืบค้นและเรียบเรียง
อรณิชา เปลี่ยนภักดี
อ้างอิง
https://giraffeconservation.org