เพนกวินตอบสนองต่อแรงกระตุ้นในการสำรวจอย่างไร เราเรียนรู้อะไรบ้างจากสัตว์ที่ได้ชื่อว่ายืดหยุ่นและปรับตัวเก่ง



เพนกวินเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตท่ามกลางภยันตรายอย่างไร
ราว 1,000 กิโลเมตรนอกชายฝั่งแผ่นดินใหญ่ของเอกวาดอร์ ดี โบร์สมา นักชีววิทยาเชิงอนุรักษ์ นั่งเรือยางผ่านน่านน้ำ สีน้ำเงินที่ล้อมรอบเกาะบาร์โตโลเม ซึ่งเป็นส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งของหมู่เกาะกาลาปาโกสกลางมหาสมุทรแปซิฟิก เธอร่วมทางไปกับนักวิทยาศาสตร์อีกหลายคน ซึ่งทั้งหมดต่างกวาดตาไปตามแนวชายฝั่งเพื่อมองหานกทะเลสีขาวดำที่หาตัวยากด้วยความสูงประมาณครึ่งเมตร เพนกวินกาลาปาโกสถือเป็นเพนกวินหายากที่สุดและเป็นเพนกวินขนาดเล็กที่สุดชนิดหนึ่งในโลก แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือ พวกมันเป็นเพนกวินชนิดเดียวที่อาศัยอยู่ในเขตศูนย์สูตร
“เราจะไม่ตกหลุมรักพวกมันได้อย่างไรกันนะ” ดี โบร์สมา นักสำรวจของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก และผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังระบบนิเวศ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน อุทาน “พวกมันทั้งตลก อยากรู้อยากเห็น แถมยังน่ารักน่าเอ็นดูอีกด้วย”
โบร์สมาพลันชี้ไปยังเพนกวินห้าตัวที่อยู่ใกล้ถ้ำแห่งหนึ่ง จากนั้นก็มีอีกตัว และอีกตัว รวมทั้งหมดเจ็ดตัว เมื่อเรือเข้าใกล้ชายฝั่งมากพอ สองหนุ่มเอกวาดอร์ได้แก่ สัตวแพทย์ เอ็ม. กาบิลาเนส เอสโกบาร์ และเจ้าหน้าที่อุทยาน มาร์ลอน รามอน ก็กระโดดขึ้นฝั่ง ไม่ถึงห้านาทีหลังจากนั้น เอสโกบาร์ก็อุ้มเพนกวินตัวหนึ่งเดินกลับมาด้วยท่าทางสบายๆ มือข้างหนึ่งจับใต้คาง อีกข้างรวบขามันไว้ เขาส่งเพนกวินให้โบร์สมาผู้ถืออุปกรณ์เตรียมวัดขนาดจะงอยปากและเท้าของเพนกวินรออยู่แล้ว จากนั้น เธอก็หยิบตลับเมตรสีเหลืองออกมาวัดความยาวระหว่างปลายปีกสองข้างของมันต่อ “เราวัดตัวมันเพื่อตัดสูทให้ค่ะ” เธอพูดติดตลก
นี่คือขั้นตอนแรกๆในกระบวนการบันทึกข้อมูล ซึ่งเอื้อให้นักวิจัยติดตามสุขภาวะของคอโลนีเพนกวินในบริเวณนี้ได้ แคโรลิน คัปเพลโล นักนิเวศวิทยาสัตว์ป่าผู้ศึกษาเพนกวินในหมู่เกาะกาลาปาโกสร่วมกับโบร์สมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว บันทึกข้อมูลของเพนกวินตัวนี้ น้ำหนักเกินสองกิโลกรัมเล็กน้อย และน่าจะเป็นเพศผู้ โบร์สมาใช้ต้นแขนซ้ายกับหัวเข่าหนีบหัวมันไว้เพื่อไม่ให้มันงับขาเอาได้ “ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” เธอบอกเพนกวินที่บิดตัวอย่างอยู่ไม่สุข “นี่ เจ้านี่มันตัวนิ่มน่าดู พูดจริงๆนะ ใจเย็นน่า อีกแป๊บเดียวก็จะปล่อยแล้ว”
เธอตั้งข้อสังเกตว่า ปีกสภาพสมบูรณ์มากของเพนกวินตัวนี้ด้านบนมีลักษณะหนาและค่อยๆบางไล่ลงมาตรงขอบ เป็นรูปทรงที่เหมาะกับการแหวกว่ายในน้ำอย่างยิ่ง เธอใช้มือลูบปีกมัน ติดป้ายโลหะเล็กๆไว้ใต้พังผืดเท้าซ้ายของมันก่อนจะค่อยๆปล่อยมันลงน้ำจากขอบเรือยาง เจ้าเพนกวินซึ่งดูไม่อนาทรร้อนใจกับชะตากรรมที่ตนเพิ่งประสบมา สำรวจห้วงน้ำ จากนั้นก็โผตัวออกไป ก่อนดำลงไปใต้มหาสมุทรแปซิฟิกอย่างเงียบๆ เพื่อกลับไปแหวกว่ายกับฝูงเต่าตนุและอิกัวนาทะเลอีกครั้ง “การได้จับเพนกวินแบบนั้นเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นมาก” โบร์สมาบอกขณะเฝ้ามองมันดำหายไปใต้ผิวน้ำ
นี่ยังเป็นโอกาสที่หายากขึ้นเรื่อยๆสำหรับนักวิจัยด้วย ทุกวันนี้ เพนกวินกาลาปาโกสเป็นหนึ่งในชนิดพันธุ์เพนกวินมากกว่าครึ่งที่อยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์หรือมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ โดยเผชิญแรงกดดันจากภัยคุกคามต่างๆ เช่น อุณหภูมิที่อุ่นขึ้น การประมงเกินขนาด การทำลายถิ่นอาศัย และมลพิษ โบร์สมาผู้ได้สมญาว่า เจน กูดดอลล์ ของเหล่าเพนกวิน มองนกเหล่านี้ว่าเป็นเหมือนองครักษ์แห่งท้องทะเล หรือนกคีรีบูนในเหมืองถ่านหิน กล่าวคือการลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วของสัตว์ชนิดหนึ่งส่งสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงสำคัญทางธรรมชาติหรือจากน้ำมือมนุษย์ที่กำลังเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่มันอาศัยอยู่อย่างไร
กระนั้น เธอก็เชื่อว่า เพนกวินมีความสามารถที่จะอยู่ต่อไปได้ ส่วนหนึ่งเพราะนักวิจัยได้เรียนรู้อย่างต่อเนื่องว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากการปรับตัวตลอดหลายร้อยปีเพื่อให้สามารถรับมือกับโลกรอบตัวที่คาดการณ์ไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ “ย้อนหลังไป 54 ปีก่อน ตอนที่ฉันเริ่มศึกษาเรื่องนี้ ฉันคิดว่ากว่าจะถึงตอนนี้ เพนกวินกาลาปาโกสน่าจะสูญพันธุ์ ไปแล้ว” เธอบอก “แต่พวกมันยังอยู่ดีกันค่ะ”

เส้นทางวิวัฒนาการของเพนกวินกาลาปาโกสแสดงให้เห็นว่า แรงกดดันทางสิ่งแวดล้อมหล่อหลอมสิ่งมีชีวิตชนิดนี้อย่างไรตลอดระยะเวลาหลายล้านปี การศึกษาทางพันธุกรรมชี้ว่า พวกมันสืบเชื้อสายจากเพนกวินฮัมโบลต์เมื่อราวสองล้านปีก่อนในสมัยไพลสโตซีน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง บรรพบุรุษเพนกวินกาลาปาโกสยุคแรกสุดอาจมาถึงหมู่เกาะนี้ด้วยการเกาะกระแสน้ำฮัมโบลต์ ซึ่งนำน้ำเย็นที่อุดมสารอาหารไหลเลาะชายฝั่งอเมริกาใต้ขึ้นไปทางเหนือ พวกมันน่าจะตั้งหลักแหล่งอยู่ทางตะวันตกของกลุ่มเกาะบนเกาะอีซาเบลาและเฟร์นันดินาซึ่งมีอาหารและที่หลบภัยมากมาย แม้กระแสน้ำฮัมโบลต์และกระแสน้ำครอมเวลล์ยังคงไหลผ่านที่นี่ แต่ปัจจุบันกลับนำพาอาหารและสารอาหารมาเป็นช่วงๆไม่สม่ำเสมอ ทั้งในแง่ช่วงเวลาและความเข้มข้น
ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ส่งผลให้เพนกวินกาลาปาโกสปรับตัวอยู่ในภูมิอากาศอุ่นนี้ได้คือ การที่พวกมันทำรังอยู่ตามรอยแยกซึ่งอยู่ในร่มเงาและเย็นบนเกาะต่างๆ แนวชายฝั่งที่นี่ถูกสลักเสลาจากการปะทุอย่างรุนแรงของภูเขาไฟและการกัดเซาะ จึงมีรอยแตกและอุโมงค์ลาวาต่างๆให้เพนกวินหลบอากาศที่ร้อนเกินไปได้ ความสูงอันน้อยนิดเอื้อให้พวกมันเบียดตัวแทรกเข้าไปในซอกมืดๆเหล่านี้ที่ซึ่งมันกับลูกๆซ่อนตัวจากสัตว์นักล่าต่างๆ
ด้วยชั้นไขมันและขนที่บางกว่าเพนกวินอื่นเกือบทุกชนิด เพนกวินกาลาปาโกสวิวัฒน์ตัวเองให้ดำรงชีวิตได้ในภูมิอากาศกึ่งเขตร้อน ทั้งเพนกวินกาลาปาโกส เพนกวินฮัมโบลต์ เพนกวินมาเจลลัน และเพนกวินแอฟริกา ล้วนจัดอยู่ในสกุลเพนกวินลาย เนื่องจากลายขาวดำอันโดดเด่นรอบหน้าอกและหัวของพวกมัน เพนกวินทั้งหมดนี้อาศัยอยู่ในเขตที่มีภูมิอากาศอุ่นกว่าและควบคุมอุณหภูมิร่างกายด้วยการหอบหายใจ เหมือนที่สุนัขทำในวันอากาศร้อน และยืนกางปีกเพื่อระบายความร้อน ขนสีขาวที่หน้าและเท้ากับข้อเท้าไร้ขนของเพนกวินกาลาปาโกสช่วยไล่ความร้อนออกจากร่างป้อมเตี้ย พวกมันยังผลัดขนรอบใบหน้าในช่วงอากาศร้อนได้อีกด้วย
แต่การปรับตัวที่ทำให้เพนกวินกาลาปาโกสต่างจากเพนกวินชนิดอื่นๆ คือความยืดหยุ่นของพวกมัน เช่น ในการผลัดขนและการผสมพันธุ์ กล่าวคือแทนที่จะมีฤดูผลัดขนและผสมพันธุ์ที่แน่ชัดเหมือนเพนกวินชนิดอื่น พวกมันสามารถชะลอการผลัดขนและการผสมพันธุ์ออกไปจนกว่าจะมีอาหารเพียงพอ และมีโอกาสเอื้อต่อการสร้างครอบครัวที่ประสบความสำเร็จมากกว่าได้
ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เกิดวิถีชีวิตแบบขึ้นๆลงๆ จากการตามเก็บข้อมูลน้ำหนักและจำนวนของเพนกวินกาลาปาโกส มาหลายสิบปี โบร์สมาพบเรื่องเหลือเชื่อว่า การผสมพันธุ์ของพวกมันสอดคล้องกับจังหวะการเกิดเอลนิญโญและลานิญญาอย่างแนบแน่น เพนกวินจะแพร่พันธุ์มากช่วงลานิญญา เมื่อกระแสน้ำเย็นอันอุดมไปด้วยสารอาหารไหลแรงขึ้นไปทางเหนือ ทำให้มีปลา หมึก และครัสเตเชียน ชุกชุมสำหรับพวกมัน แต่ในช่วงเอลนิญโญที่น้ำอุ่นจากตอนกลางและตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกไหลเข้ามาแทนที่กระแสน้ำเย็น การลอยตัวของมวลน้ำหรือปรากฏการณ์น้ำผุด (upwelling) และอาหารจะลดลงอย่างมาก ในช่วงหลายปีที่อาหารหายากนี้ เพนกวินบางส่วนจะอดอยากและการผสมพันธุ์หยุดชะงัก อาจใช้เวลาหลายสิบปีกว่าประชากรเพนกวินจะฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง ในช่วงที่ปรากฏการณ์เอลนิญโญรุนแรงตอนต้นทศวรรษ 1980 ประชากรเพนกวินลดลงกว่าครึ่ง
ปัจจุบัน ขณะที่อุณหภูมิทั่วโลกสูงขึ้น ปรากฏการณ์เอลนิญโญเกิดบ่อยครั้งและสุดขั้วมากขึ้น ส่อเค้าว่าจะทำให้สารอาหารที่มีอยู่ลดลงไปอีก ขณะที่ระดับทะเลที่สูงขึ้นท่วมพื้นที่ทำรังของเพนกวิน ถึงกระนั้น โบร์สมาก็เชื่อว่า ต่อให้เอลนิญโญเกิดถี่ขึ้นและสภาพอากาศสุดขั้วยิ่งกว่านี้ เพนกวินกาลาปาโกสบางส่วนจะอยู่ต่อไป เพราะระบบนิเวศของพวกมันยังได้รับการหล่อเลี้ยงจากการลอยตัวของมวลน้ำจากห้วงน้ำลึกเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ส่งสารอาหารมาเป็นครั้งคราวเพื่อรักษาห่วงโซ่อาหารเอาไว้
โบร์สมาคาดประมาณว่าอาจมีเพนกวินกาลาปาโกสเหลืออยู่ 2,000 ตัว น้อยกว่าครึ่งของจำนวนที่เคยมีเมื่อ 50 ปีก่อนตอนเธอเริ่มงานวิจัยบุกเบิกนี้ แต่เธอเชื่อว่าการลงมือทำเรื่องสำคัญสองสามประการสามารถปกป้องอนาคตของพวกมันได้

เพื่อให้เพนกวินกาลาปาโกสอยู่รอดและแพร่พันธุ์ต่อไป มนุษย์จำเป็นต้องช่วยพวกมันเอาชนะภัยคุกคามสำคัญสองประการ นั่นคือสัตว์นักล่าที่ถูกนำเข้ามา โดยหลักๆคือหนูและแมว และพื้นที่ทำรังตามธรรมชาติที่มีสภาพแวดล้อม ไม่เอื้ออำนวยมากขึ้นทุกที
การแก้ปัญหาแรกค่อนข้างตรงไปตรงมา แมวกับหนูมาถึงหมู่เกาะกาลาปาโกสเมื่อเกือบ 200 ปีก่อนพร้อมกะลาสีเรือและนักล่าวาฬ พวกมันปรับตัวเข้ากับภูมิประเทศที่ยากลำบากและแทรกตัวเข้าไปในรังของเพนกวินและนกทะเลอื่นๆเพื่อขโมยกินไข่และลูกนกได้อย่างง่ายดาย เมื่อไม่นานมานี้ อุทยานแห่งชาติกาลาปาโกสร่วมมือกับองค์กรสิ่งแวดล้อมโฮโกโตโก เพื่อกำจัดชนิดพันธุ์รุกรานบนเกาะโฟลเรอานา ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของกลุ่มเกาะ โดยในเดือนตุลาคม ปี 2023 ผู้จัดการอุทยานต่างๆเริ่มกำจัดแมวและหนูบนเกาะโฟลเรอานาด้วยการวางกับดักและส่งเฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับขึ้นไปโปรยยาเม็ด ฆ่าหนูและไส้กรอกเจือสารพิษทั่วทั้งเกาะ โครงการดังกล่าวดูจะได้ผล
เพื่อบรรเทาภัยคุกคามประการที่สอง โบร์สมากับเพื่อนร่วมงานกำลังหวังว่าจะได้เงินทุนสร้างรังเทียมและช่วยดึงเพนกวินกลับมาที่เกาะโฟลเรอานาอีกครั้ง โบร์สมาเกิดแนวคิดที่จะทำรังเทียมเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เธอเห็นเพนกวินคู่หนึ่งทำอะไรแปลกๆ พวกมันทำรังบนลาวาริมขอบตะวันตกของกลุ่มเกาะบนเกาะเฟร์นันดินาซึ่งไม่มีร่มเงาใดๆเลย ทั้งคู่ผลัดกันกกไข่ตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเช้า จากนั้นก็พากันหลบไปในช่วงอากาศร้อนตอนกลางวันโดยทิ้งไข่ไว้ตรงนั้น ในที่สุดไข่ก็ฝ่อ โบร์สมาตระหนักว่าพื้นที่ทำรังในร่มมีไม่เพียงพอ และนั่นอาจเป็นข้อจำกัดที่กำหนดว่าจะมีลูกนกเกิดใหม่เพิ่มขึ้นเท่าไรในแต่ละปี
สิบห้าปีที่แล้ว เธอเริ่มทดลองด้วยการใช้รังเทียมที่ออกแบบให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม ตัวเลือกหนึ่งคือการสร้างเพิงพักจิ๋วให้เพนกวินด้วยหินลาวา อีกตัวเลือกหนึ่งซึ่งปรากฏว่าเพนกวินชอบมากกว่า คือการขุดโพรงถ้ำในหินลาวาแข็งๆโดยตรง ทำเลคือปัจจัยสำคัญ ไม่ต่างจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รังเหล่านี้จำเป็นต้องอยู่ใกล้น้ำ แต่ไม่ใกล้ขนาดน้ำท่วมถึงในช่วงเวลาสามเดือนที่เพนกวินกกไข่ “แนวคิดในการสร้างรังก็คือ ถ้าทุกอย่างเป็นใจ เราอยากให้เพนกวินทุกตัวที่ต้องการ มีลูกสามารถมีลูกได้ค่ะ” โบร์สมาบอก

เพนกวินทะลวงขีดจำกัดความสามารถของตัวเองอย่างไร
แย่แล้ว เจ้าตัวนี้จะต้องตายแน่ๆ” นั่นคือความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองของผู้กำกับภาพยนตร์สารคดีสัตว์ป่า เบอร์ตี เกรเกอรี ตอนที่เขาเห็นเพนกวินจักรพรรดิวัยรุ่นตัวแรกกระโจนลงจากหน้าผาสูง 15 เมตร มันพุ่งดิ่งลงไป กระแทกผิวน้ำของมหาสมุทรใต้อันเย็นเยียบ หลังจากหลายวินาทีแห่งความระทึกขวัญผ่านไป มันก็โผล่กลับขึ้นมาบนผิวน้ำ ก่อนว่ายออกไปสู่ขอบฟ้า นักสำรวจของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ผู้นี้แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
สิ่งที่ตามมาน่าตกใจยิ่งกว่านั้น เพนกวินอีกหลายตัวจากฝูงที่มีสมาชิกหลายร้อย ซึ่งออกันอยู่ริมหิ้งน้ำแข็งสูงตระหง่านนั้นค่อยๆกระโดดลงทะเลทีละตัว “มีช่วงเวลาหนึ่งที่เพนกวินพากันกระโดดลงจากหน้าผาเหมือนสายฝนเลยครับ” เกรเกอรีบอก เขาบันทึกฟุตเทจวิดีโอของเหตุการณ์หาดูได้ยากนั้นไว้ด้วยโดรนถ่ายภาพที่อ่าวอาตกาในแอนตาร์กติกาเมื่อปีที่แล้วขณะถ่ายทำ ความลับของเหล่าเพนกวิน (Secrets of the Penguins) สารคดีชุดใหม่ของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก
ปกติแล้วเพนกวินอายุน้อยจะกระโดดไม่ถึงหนึ่งเมตรลงจากน้ำแข็งทะเลที่ลอยอยู่ลงไปในทะเลตอนที่พวกมันพ้นจากอกพ่อแม่ มิเชลล์ ลารู นักชีววิทยาเชิงอนุรักษ์จากมหาวิทยาลัยแคนเทอร์เบอรีในเมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ บอก ลูกเพนกวินกระโดดหน้าผาที่เกรเกอรีสังเกตเห็นอาจเติบโตขึ้นมาบนหิ้งน้ำแข็งถาวรและเป็นไปได้ว่าจะเดินผิดทางจึงพาตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งที่สุ่มเสี่ยงสำหรับการลงน้ำครั้งแรก


นั่นคือฉากหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเพนกวินอย่างแท้จริง นกน่าทึ่งเหล่านี้วิวัฒน์มาตลอดหลายล้านปีเพื่อเอาตัวรอดในทวีปที่อากาศเหน็บหนาวที่สุด ลมกระโชกแรงที่สุด และแห้งแล้งที่สุดในโลก
คุณลักษณะน่าทึ่งอีกมากของมันอาจพบเห็นได้ในฤดูทำรัง เพนกวินจักรพรรดิเพศเมียจะวางไข่รูปร่างเหมือนลูกแพร์เพียงหนึ่งฟองตอนต้นฤดูหนาวของแอนตาร์กติกาซึ่งอุณหภูมิอาจลดต่ำถึงติดลบ 45 องศาเซลเซียส และลมอาจมีกำลังแรงพอๆกับพายุเฮอร์ริเคน ความต้องการเติมเต็มพลังงานสำรองทำให้ว่าที่แม่เพนกวินรีบส่งไข่ให้คู่ของมันรับไปดูแล ขณะที่มันเร่งรุดไปหาอาหารเติมกระเพาะในมหาสมุทร
เพนกวินจักรพรรดิเพศผู้ใช้เวลาสองเดือนหลังจากนั้นไปกับการกกไข่ โดยยืนทรงตัวบนเท้าที่เป็นพังผืดและป้องกันความหนาวด้วยผิวหน้าท้องที่ก่อตัวเป็นกระเป๋า หรือถุงหน้าท้องกกลูก ว่าที่พ่อเพนกวินจะอดอาหารเกือบสี่เดือน และสูญเสียน้ำหนักตัวราวครึ่งหนึ่งในฤดูผสมพันธุ์ ลูกนกมักฟักออกจากไข่ภายในเดือนสิงหาคมซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แม่นำอาหารมื้อแรกกลับมาป้อนพอดี เพนกวินน้อยจะได้รับอาหารและความอบอุ่นจากพ่อแม่ไปตลอดห้าเดือนหลังจากนั้น
พอถึงกลางเดือนธันวาคม ขณะที่ฤดูร้อนของแอนตาร์กติกาใกล้เข้ามา ลูกเพนกวินจะเริ่มผลัดขนอ่อนฟูๆเป็นขนจริงที่กันน้ำได้ และไม่ช้าพวกมันก็จะทิ้งคอโลนีออกไปหากินด้วยตัวเอง เพนกวินวัยรุ่นเช่นเดียวกับที่เกรเกอรีบันทึกภาพได้จะกระโดดลงทะเลด้วยพลังแห่งความเชื่อมั่น นี่คือช่วงเวลาอันเป็นจุดเปลี่ยนที่พวกมันจะเริ่มต้นชีวิตในมหาสมุทร และจะอยู่ที่นั่นเฉลี่ยประมาณห้าปีก่อนกลับขึ้นฝั่งมาผสมพันธุ์ต่อไป



นักวิทยาศาสตร์ไม่คิดว่าเหตุการณ์โดดหน้าผาเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่อย่างน้อย ก็มีผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งคาดเดาว่า อุณหภูมิที่อุ่นขึ้นอาจบีบให้เพนกวินจักรพรรดิจำนวนมากขึ้นต้องผสมพันธุ์บนหิ้งน้ำแข็งถาวรแทนน้ำแข็งทะเล เพิ่มโอกาสของการที่เพนกวินวัยรุ่นต้องจากอกพ่อแม่ด้วยการดำดิ่งจากที่สูง เหตุการณ์นี้ตอกย้ำความเป็นจริงอันเยียบเย็นประการหนึ่งว่า ภายใต้ฉากทัศน์ทางสภาพภูมิอากาศบางอย่าง นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า คอโลนีเพนกวินจักรพรรดิในแอนตาร์กติการ้อยละ 80 จะหายไปเมื่อถึงช่วงรอยต่อของศตวรรษ
แต่ลารูยังคงเชื่อมั่นในความสามารถในการปรับตัวของเพนกวินจักรพรรดิ และเธอมองว่าการดำดิ่งลงน้ำจากที่สูงคือบทพิสูจน์ความทรหดอดทนของเพนกวินได้ดี “พวกมันยืดหยุ่นอย่างเหลือเชื่อค่ะ” เธอบอกก่อนจะทิ้งท้ายว่า “พวกมันอยู่กันมาหลายล้านปีแล้ว พบเห็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมต่างๆมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ปัญหาอยู่ที่ว่า พวกมันจะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้เร็วแค่ไหน และจะผลักดันตัวเองไปได้ไกลเพียงใดต่างหากล่ะคะ”
เรื่อง แฮนนาห์ นอร์ดเฮาส์, เรอเน เอเบอร์โซล,
แปล ศรรวริศา เมฆไพบูลย์
อ่านเพิ่มเติม : ความงาม ชวนตะลึงของ การแปรกระบวน กลางเวหา