วิจัยใหม่เผย ชิมแปนซีกินผลไม้หมัก เทียบเท่าการดื่มแอลกอฮอล์ 2.5 แก้วต่อวัน

วิจัยใหม่เผย ชิมแปนซีกินผลไม้หมัก เทียบเท่าการดื่มแอลกอฮอล์ 2.5 แก้วต่อวัน

“รายงานใหม่เผยว่าไพรเมตชนิดนี้ชื่นชอบผลไม้ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมอย่างมาก

โดยกินมากถึง 2.5 แก้วต่อวัน”

นักวานรวิทยาสงสัยมานานแล้วว่าชิมแปนซีดูเหมือนจะ ‘กิน’ แอลกอฮอล์ในปริมาณมากต่อวัน เนื่องจากพวกมันชื่นชอบผลไม้สุกที่มักเกิดกระบวนการ ‘หมัก’ ตามธรรมชาติ โดยยีสต์จากสิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์ที่มึนเมาเมื่อกินเข้าไป อย่างไรก็ตามในอดีตที่ผ่านมายังไม่มีการตรวจสอบอย่างจริงจัง

ทว่างานวิจัยใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Science Advances เผยให้เห็นว่าญาติของมนุษย์นี้บริโภคแอลกอฮอล์มากกว่าที่ใครเคยคิดไว้ โดยอิงจากการวิเคราะห์ผลไม้มากกว่า 500 ชนิดที่พบใต้ต้นไม้ที่ลิงกลุ่มนี้เพิ่งรับประทานอาหารเสร็จ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้เห็นเป็นครั้งแรกว่าพวกมันกินอะไรบ้างและมากน้อยแค่ไหน

เมื่อพิจารณาผ่านข้อมูลทั้งหมดแล้วแปลงเป็นตัวเลขที่คุ้นเคย ชิมแปนซีจะดื่มแอลกอฮอล์เฉลี่ยเท่ากับ 2.5 แก้วของมนุษย์ต่อวัน 

“ชุดข้อมูลนี้น่าเชื่อถือ เนื่องจากเป็นตัวแทนของผลไม้ในพื้นที่แอฟริกาตะวันออกและตะวันตกที่ถูกกินเข้าไป” นาธาเนียล โดมินี (Nathaniel Dominy) นักชีววิทยาวิวัฒนาการจากดาร์ธเมาท์ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการศึกษานี้ กล่าว “การค้นพบเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดการอภิปรายและขับเคลื่อนความรู้ไปข้างหน้า” 

คำถามต่อมาคือ ชิมแปนซีตั้งใจที่จะมองหาผลไม้ซึ่งมีแอลกอฮอล์หรือไม่? อเล็กเซย์ มาโร (Aleksey Maro) จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ และเพื่อนร่วมงานเชื่อว่าพวกมันตั้งใจ เนื่องจากพวกเขาพบว่าผลไม้แต่ละชนิดที่ชิมแปนซีแต่ละกลุ่มชื่นชอบ ต่างก็มีแอลกอฮอล์ในระดับสูงทั้งนั้น 

ไม่ว่าจะเป็นมะเดื่อและลูกพลัม ซึ่งมีปริมาณแอลกอฮอล์ที่สูงเหล่านี้อาจส่งสัญญาณให้กับชิมแปนซีว่าผลไม้ดังกล่าวมีน้ำตาลสูง และเมื่อมัน ‘หมัก’ ถึงระดับหนึ่งแล้ว ผลไม้นั้นก็จะมีสารอาหารมากกว่า

“แต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็อาจน่าดึงดูดใจในตัวมันเองอยู่แล้ว” มาโร กล่าวเสริม

เนื่องจากชิมแปนซีและมนุษย์ต่างก็มีพันธุกรรมและประวัติศาสตร์วิวัฒนาการร่วมกัน การศึกษานี้จึงเป็นสนับสนุนแนวคิดที่ว่า ‘เรา’ ชอบดื่มแอลกอฮอล์มาอย่างยาวนานจากอดีตที่แสนไกล

ไม่จำเป็นต้องเมา

โดยทั่วไปแล้ว ผลไม้ทุกชนิดจะไม่มีแอลกอฮอล์ที่ทำให้เมาได้เลย ซึ่งอาหารที่ชิมแปนซีกินโดยเฉลี่ยนั้นมีแอลกอฮอล์เพียงร้อยละ 0.3 เท่านั้น ทว่าสิ่งที่สร้างความแตกต่างคือปริมาณผลไม้ที่ชิมแปนซีกินนั้นมากกว่า 10 ปอนด์ต่อวัน (ราว 4.5 กิโลกรัม)    

เมื่อคิดเป็นตัวเลขแล้ว นั่นเท่ากับปริมาณแอลกอฮอล์โดยเฉลี่ย 14-15 กรัมต่อวัน ขณะที่เครื่องดื่มมาตรฐานของมนุษย์คืออยู่ที่ประมาณ 10 กรัม และชิมแปนซีเองก็มีน้ำหนักน้อยกว่ามนุษย์มาก ดังนั้น 14-15 กรัมสำหรับพวกมันจึงใกล้เคียงที่ 2.5 แก้วของมนุษย์

“พวกมันทำแบบนั้นตลอดทั้งมื้อเช้า กลางวัน และเย็น” มาโร บอก บางครั้งชิมแปนซีก็กินมาก ไม่ก็กินน้อย แต่เมื่อพวกมันพบต้นไม้ที่เต็มไปด้วยผลไม้สุดโปรด พวกมันก็มักจะกินจนจุใจ โดยการยัดลูกมะเดื่อเข้าปากให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดูดน้ำผลไม้ (ซึ่งมีแอลกอฮอล์อยู่ข้างใน) จากนั้นก็คายก้อนแห้งลงบนพื้นป่า แต่แตกต่างจากพฤติกรรมการดื่มสุราที่ไม่ดีต่อสุขภาพของมนุษย์ นี่เป็นเรื่องปกติและธรรมชาติมากของชิมแปนซีตามที่นักวิทยาศาสตร์กล่าว

ทั้งนี้การศึกษานี้ไม่ได้เข้มงวดในทุกอย่าง นักชีววิทยา แมทธิว คาร์ริแกน (Matthew Carrigan) จากมหาวิทยาลัยฟลอริดากลาง ชี้ว่าผู้เขียนไม่ได้ทำการพิจารณาโดยตรงว่าลิงชิมแปนซีกินผลไม้ไปกี่ผลกันแน่ แต่ทำแค่เพียงการวัดว่าพวกมันใช้เวลากินประเภทต่าง ๆ ไปนานแค่ไหน บางทีผลไม้ที่ชิมแปนซีทิ้งไว้อาจมีแอลกอฮอล์สูงหรือต่ำกว่าผลที่พวกมันกินเข้าไป

มาโรยอมรับว่าจะเป็นการดีกว่าที่จะวัดโดยตรงมากขึ้นว่าชิมแปนซีดื่มแอลกอฮอล์ไปมากแค่ไหนกันแน่ ซึ่งอาจทำได้โดยใช้ตัวอย่างปัสสาวะที่เขาเก็บได้เมื่อเร็ว ๆ นี้ นั่นอาจให้ความกระจ่างมากขึ้นเกี่ยวกับบทบาทที่เป็นไปได้ของแอลกอฮอล์หลังการชุมนุมใหญ่ของชิมแปนซีใต้ต้นมะเดื่อ

ขาดความยับยั้งชั่งใจ

แม้ว่าการประมาณของการศึกษาจะมีความแม่นยำ แต่ คาร์ลีน จานมาต (Karline Janmaat) นักวานรวิทยาจากมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัมในเนเธอร์แลนด์ เตือนว่าชิมแปนซีอาจจะไม่ และไม่ควรเมาในป่า

“นั่นอันตรายมาก เมื่อคุณต้องปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อทำที่นอนในเวลากลางคืน” เธอบอก 

อย่างไรก็ตาม หากมันถึงเวลา ‘ปาร์ตี้’ เมื่อไหร่ ชิมแปนซีก็ดูเหมือนว่าจะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรพอ โดยในช่วงทศวรรษ 1960 การทดลองที่จะไม่ได้รับอนุญาตในปัจจุบันได้แสดงให้เห็นว่า เมื่อชิมแปนซีสามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้มากเท่าที่มันต้องการ บางตัวก็ไม่ดื่ม แต่บางตัวกลับดื่มจนเมาอย่างเห็นได้ชัด

“ชิมแปนซีหลายตัวกินเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นี้บ่อยครั้งในปริมาณมาก” คิมเบอร์รี ฮอกคิงส์ (Kimberley Hockings) จากมหาวิทยาลัยเอ็กเตอร์ ผู้ช่วยในงานวิจัยสังเกตชิมแปนซีในป่าซึ่งไม่เกี่ยวกับการศึกษาใหม่ กล่าว “แม้ว่าจะมีปริมาณแอลกอฮอล์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3.1% และสูงถึง 6.9% โดยปริมาตรก็ตาม” 

ทำให้บางตัวมีพฤติกรรมแปลก ๆ เล็กน้อย เธอเสริมว่านั่นเป็นสถานการณ์ที่ดูไม่ปกติ นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าอาจมีคำอธิบายทางพันธุกรรมว่าทำไม การศึกษาก่อนหน้านี้โดยคาร์ริแกนและเพื่อนร่วมงานเผยว่า ชิมแปนซี มนุษย์ และกอริลล่า มีการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมร่วมกันตรงจุดของเอนไซม์ที่เกี่ยวกับการเผาผลาญแอลกอฮอล์

ทำให้เอนไซม์ดังกล่าวทำงานได้เร็วกว่าไพรเมตอื่น ๆ ถึง 40 เท่า ซึ่งหมายความว่าหากพวกเขาดื่มแอลกอฮอล์ในอาหารแทนที่จะดื่มเพียงอึกเดียวเหมือนมนุษย์ แอลกอฮอล์ส่วนใหญ่ก็จะสลายไปก่อนจะถึงเลือด 

ชวนก๊ง

แต่ก็เช่นเดียวกับมนุษย์ แอลกอฮอล์อาจมีบทบาทที่สำคัญกว่านั่นก็คือ สร้างความสัมพันธ์ทางสังคมให้กับชิมแปนซี เมื่อเร็ว ๆ นี้ ฮอกคิงส์ ซึ่งมีส่วนร่วมในงานวิจัยที่พบว่าชิมแปนซีในกินี-บิสเซา ใช้ผลไม้หมักตามธรรมชาติร่วมกัน

โดยเสนอว่า “การแบ่งปันและการบริโภคอาหารที่มีเอทานอลนั้นมีอยู่มากมาย และอาจมีบทบาทมายาวนานในสังคมโฮมินอยด์” เธอบอก 

การมีอาหารอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์สามารถช่วยลดความตึงเครียดทางสังคมได้ ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้ทั้งทดสอบและเสริมสร้างความผูกพัน หลังจากกินมะเดื่อแล้ว มาโร เล่าว่าบางครั้งชิมแปนซีตัวผู้บางกลุ่มก็หายไปในป่าด้วยกันเพื่อล่าหรือลาดตระเวนตามเขตแดนของพวกมัน 

“การลาดตระเวนเป็นกิจกรรมที่อันตราย เนื่องจากชิมแปนซีของกลุ่มต่าง ๆ เสี่ยงต่อการเสียชีวิตในการเผชิญหน้า การคิดว่าได้แอลกอฮอล์ในผลไม้ก่อนสักหน่อยอาจช่วยให้พวกมันรวบรวมความกล้าได้ก่อน” มาโร บอก

ที่มา

https://www.science.org

https://www.nationalgeographic.com


อ่านเพิ่มเติม : “เจน กูดดอลล์” ผู้เปลี่ยนวิธีที่โลกมอง “

ความเป็นมนุษย์” ในสัตว์ เธอทำได้อย่างไร?

Recommend