ส่งวัวแดงกลับบ้าน สร้างผืนป่าให้สมดุล ด้วยเงินสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อม

ส่งวัวแดงกลับบ้าน สร้างผืนป่าให้สมดุล ด้วยเงินสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อม

“ดูนั่น มันออกมาแล้ว”

เสียงเรียกของพี่บุญเลิศ เทียนช้าง หัวหน้ากลุ่มวิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยวสัตว์ป่าตำบลห้วยระบำ จังหวัดอุทัยธานี ทำให้กลุ่มของพวกเราที่ประกอบไปด้วยอาจารย์ นักศึกษา และทีมงานจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เกือบ 20 ชีวิต ที่ชวนกันออกมาดูวัวแดงที่เขตป่าสงวนทับเสลา-ห้วยระบำแต่เช้าตรู่ต้องหยุดเดินทันที 

เราหันไปตามทิศที่เขาชี้ ก่อนจะเห็นเงาสีแดงค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกมาจากป่าด้านหน้า เป็นฝูงวัวแดงประมาณ 10 ตัว พร้อมลูกอ่อน ที่เดินพ้นแนวป่าออกมาหากิน พวกมันดูระแวงน้อยกว่าที่เราจินตนาการไว้มาก “นั่นเพราะพวกมันรู้ว่าตรงนี้ไม่มีใครทำร้ายมัน” พี่บุญเลิศบอก 

ก่อนเสริมว่า “นกยูงและหมูป่ามักจะเดินหากินพร้อมวัวแดง เพราะตรงไหนมีวัวแดงแปลว่าตรงนั้นอุดมสมบูรณ์ แถมวัวแดงเป็นแหล่งอาหารของเสือโคร่ง และที่นี่ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งที่ผืนป่ายังคงรักษาสายใยสำคัญนี้ไว้ได้”

วัวแดงส่วนใหญ่จะไม่ระแวดระวังตัวมาก เพราะพื้นที่บริเวณนี้เป็นแหล่งหากินประจำของพวกมัน แต่ก็มีบางตัวที่มองเราแบบไม่ละสายตา เพื่อประเมินว่าพวกเราเป็นอันตรายหรือเปล่า

คำพูดนี้ของพี่บุญเลิศทำให้เรานึกถึงเรื่องหนึ่ง มันคือเรื่องราวการกลับมาของวัวแดงในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งภาพในวันนี้ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าเหตุใดการฟื้นฟูวัวแดงในสลักพระถึงมีความจำเป็นอย่างมาก เพราะการหายไปของวัวแดงไม่ได้เป็นเพียงการลดลงของสัตว์ชนิดหนึ่ง แต่คือการหายไปของฟันเฟืองตัวสำคัญในระบบนิเวศ 

และคือเหตุผลที่ทำให้ความพยายามในการฟื้นฟูต้องเกิดขึ้นอย่างจริงจัง ขยายผลจนเกิดเป็นโครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์วัวแดง (Bos javanicus) ที่เติบโตขึ้นด้วยความทุ่มเทของนักวิจัย เจ้าหน้าที่ และการสนับสนุนอย่างมั่นคงจากกองทุนสิ่งแวดล้อม ที่ทำให้วันนี้เราได้เห็นวัวแดงออกมาเดินหากินในสลักพระอีกครั้งหลังหายไปกว่า 30 ปี

กลุ่มของพวกเรา ที่นำโดยรศ.ดร.รัตนวัฒน์ ไชยรัตน์ กำลังเพลินเพลิดกับบรรยากาศยามเช้าบนบ้านต้นไม้ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยวสัตว์ป่าตำบลห้วยระบำ

เป็นเวลานานกว่า 30 ปี ที่วัวแดง สัตว์ป่าหายากและใกล้สูญพันธุ์ (EN) ได้หายไปจากผืนป่าสลักพระ จังหวัดกาญจนบุรี สาเหตุสำคัญมาจากการถูกล่าอย่างหนัก เพื่อนำเขาไปประดับ ใช้เป็นอาหาร หรือเป็นส่วนประกอบในยาแผนโบราณ ทำให้ประชากรวัวแดงลดลงจนแทบไม่เหลือร่องรอย ขณะเดียวกันพื้นที่อาศัยเดิมรอบเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่เคยเป็นแหล่งหากินสำคัญก็ถูกเปลี่ยนเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ชุมชน และพื้นที่เกษตรกรรม ส่งผลให้วัวแดงสูญเสียทั้งแหล่งอาหารตามธรรมชาติและถิ่นอาศัยอย่างสมบูรณ์

ปัญหานี้ผลักดันให้ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าเขาน้ำพุ ได้เริ่มโครงการอนุรักษ์และเพาะพันธุ์วัวแดงขึ้นในปีพ.ศ. 2553 เพื่อฟื้นฟูประชากรวัวแดง และนำไปสู่การจัดทำโครงการ “ปล่อยวัวแดงคืนสู่ธรรมชาติครั้งแรกของโลก” ในปี พ.ศ. 2557 

ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ รศ.ดร.รัตนวัฒน์ ไชยรัตน์ จากคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เข้ามาร่วมทำงานกับศูนย์ฯ เขาน้ำพุ ทั้งในด้านการเก็บข้อมูลพันธุกรรม การติดตามสถานภาพวัวแดงหลังปล่อย และการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน พร้อมจัดทำแผนและคู่มือการอนุรักษ์วัวแดง เพื่อใช้เป็นต้นแบบในการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับสัตว์ป่า ไปจนถึงร่วมพัฒนาให้ศูนย์ฯเขาน้ำพุ กลายเป็น “โรงเรียนวัวแดง” ที่รวมทั้งนักวิจัย เจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครจากในพื้นที่และต่างถิ่นเข้ามาทำงานร่วมกัน

วัวแดงที่ถูกเพาะเลี้ยงในศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าเขาน้ำพุ จังหวัดกาญจนบุรี ภาพถ่ายโดย คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

แม้งานวิจัยและการเพาะพันธุ์จะถูกประเมินว่ามีศักภาพสูง แต่โครงการฯ กลับประสบปัญหาด้านงบประมาณ ทำให้การดำเนินงานบางส่วนต้องหยุดชะงักหลายครั้ง ดังนั้นเพื่อให้โครงการฯ ซึ่งมีศักยภาพในการเป็นต้นแบบของการอนุรักษ์ที่สามารถขยายผลไปยังชุมชนอื่น ๆ ที่มีวัวแดงอาศัยอยู่ได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน กองทุนสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) จึงได้เข้ามาสนับสนุนเงินทุนเงินทุน จำนวน 5 ล้านบาท เพื่อให้โครงการฯ เดินหน้าได้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งในการดำเนินงาน กิจกรรมชุมชน ตลอดจนช่วยต่อยอดโครงการฯ ไปสู่การขยายผลในพื้นที่อนุรักษ์อื่น ๆ ภายในเขตห้ามล่าสัตว์ และอุทยานแห่งชาติ รวม 36 แห่งทั่วประเทศ

ถึงตอนนี้ก็เป็นเวลา 4 ปี แล้ว ที่กองทุนสิ่งแวดล้อม ได้เข้ามาสนับสนุนโครงการฯ โดยผลการดำเนินงานในพื้นที่เรือธงอย่างเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ทีมวิจัยได้ให้ความรู้แก่ชาวบ้านที่อาศัยในรัศมี 1 กิโลเมตรรอบพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ จนเกิดเป็นอาสาสมัครวัวแดงที่ทำหน้าที่ช่วยเฝ้าระวังร่วมกับเจ้าหน้าจำนวน 160 คน กระจายอยู่ในชุมชน 28 แห่ง และเกิดเป็นคู่มือและแผนการอนุรักษ์วัวแดง รวมไปถึงคู่มือและแผนการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และสิ่งแวดล้อมศึกษาระดับจังหวัด 

ทีมวิจัยกำลังติดตั้งกล้องดักถ่ายเพื่อติดตามการปรับตัวของวัวแดงหลังปล่อยคืนสู่ป่า ภาพถ่ายโดย คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ในส่วนของความสำเร็จในการส่งวัวแดงคืนสู่ธรรมชาติ ทางโครงการฯ มีแผนจะมีการปล่อยวัวแดงคืนสู่ธรรมชาติในวันที่ 13 มกราคม 2569 ซึ่งที่ผ่านมาโครงการได้ปล่อยวัวแดงกลับคืนสู่ธรรมชาติไปแล้ว 5 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 16 ตัว โดยกองทุนสิ่งแวดล้อม ภายใต้การบริหารงานของ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้สนับสนุนการติดตามประชากรวัวแดงด้วยเทคโนโลยี เช่น ปลอกคอ VHF และกล้องดักถ่าย เพื่อประเมินการปรับตัวและการขยายถิ่นอาศัย 

และจากการติดตามพบว่าวัวแดงทุกตัวสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพป่าและให้กำเนิดลูกหลานในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระได้เป็นอย่างดี ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เพียงสะท้อนผ่านจำนวนวัวที่เพิ่มขึ้น ที่ปัจจุบันสามารถนับได้ประมาณ 60 ตัว แต่ยังเห็นได้จาก “การกลับมาของผู้ล่าระดับสูงสุดของระบบนิเวศ” ด้วย

รอยตีนของเสือโคร่งที่พบใกล้ ๆ กับบริเวณที่ปล่อยวัวแดง ภาพถ่ายโดย ศุภกร ศรีสกุล

มีการสำรวจพบว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมามีเสือโคร่งกลับเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น เนื่องจากพื้นที่มีความสมบูรณ์ โดยมีวัวแดงเป็นแหล่งอาหารสำคัญของเสือโคร่ง รวมไปถึงสัตว์นักล่าขนาดกลางและขนาดเล็กอื่น ๆ อย่างเสือดาว หมาไน และสัตว์กินซากอย่างแร้งและแม่น ที่ผลัดกันเข้าไปกินกัดแทะกระดูกที่เหลือจากการล่าของเสือโคร่งเพียงหนึ่งครั้ง

และในปีผ่านมากล้องดักถ่ายของศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าเขาน้ำพุ ก็สามารถบันทึกภาพเสือโคร่งที่ไม่เคยระบุอัตลักษณ์มาก่อนเพิ่มอีก 5 ตัว ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่าห่วงโซ่อาหารบริเวณนี้กำลังกลับมาสมบูรณ์ โดยมีวัวแดงคือเป็นในฟันเฟืองสำคัญในการคืนความสมบูรณ์ให้กับผืนป่าอีกครั้ง

เรื่อง อรณิชา เปลี่ยนภักดี

ภาพถ่ายโดย ศุภกร ศรีสกุล และคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล


อ่านเพิ่มเติม : Alien Hunter แอปพลิเคชั่นล่าปลาหมอคางดำ

เพื่อปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ

Recommend