หลังจากประชากรโลกประสบกับการระบาดของโควิด-19 และต้องกักตัวอยู่นานนับปี ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นสาสน์ที่ผู้คนเฝ้ารอ นั่นคือ ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วสามารถเข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย รวมไปถึงยุค การท่องเที่ยวหลังโควิด-19
ในแถลงการณ์รายงานว่า ประชากรในสหรัฐอเมริการ้อยละ 11 จะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างครบถ้วน และร้อยละ 21 จะได้รับอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ซึ่งสำหรับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องการหลังจากนั้นคือการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวหลังโควิด-19
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ที่ผ่านมา ผู้คนกว่า 1.357 ล้านคน เดินทางโดยใช้บริการสนามบินทั่วสหรัฐฯ ตามรายงานของ Transportation Security Administration กล่าวว่า เป็นช่วงที่มีจำนวนผู้โดยสารสูงที่สุด นับตั้งแต่องค์การอนามัยโลกประกาศเรื่องการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในเดือนมีนาคม 2020 ซึ่งแนวทางล่าสุดของ CDC ยังคงเตือนว่า แม้ผู้ที่ได้รับวัคซีนอย่างครบถ้วนแล้ว ก็ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางหากไม่มีความจำเป็น
เมื่อข้อปฏิบัติเรื่องการเดินทางเริ่มมีผลบังคับใช้ สิ่งใดบ้างที่นักท่องเที่ยวที่ได้รับการฉีดวัคซีน จำเป็นต้องรู้ก่อนวางแผนการเดินทางระหว่างประเทศ
วัคซีนป้องกันคุณจากการติดเชื้อ
การเดินทางจะปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน “ในฐานะนักเดินทางที่ได้รับการฉีดวัคซีนเกือบทุกคน คุณจะได้รับการปกป้องจากโรคระบาดหากสัมผัสกับเชื้อ” โมนิกา คานธี แพทย์เฉพาะทางโรคติดเชื้อ และศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย กล่าว
จอยซ์ ซานเชซ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคติดต่อ และผู้อำนวยการ วิทยาลัยแพทยศาสตร์ วิสคอนซิน กล่าวว่า “แม้การศึกษาในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนไม่น่าจะแพร่เชื้อและรับเชื้อโควิด-19 ได้ แต่จนกว่าจะมีการยืนยันผลจากการทดลองที่มีข้อมูลและหลักฐานทางการแพทย์มากขึ้น ทางคลินิกหลายแห่งยังคงแนะนำให้ผู้ได้รับวัคซีนควรระวังการเป็นผู้แพร่เชื้อ” เธอกล่าวเสริมว่า “การสวมหน้ากาก การรักษาระยะห่าง การล้างมือ และหลีกเลี่ยงพื้นที่แออัด สิ่งเหล่านี้ยังควรต้องปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง”
ไปไหนได้บ้าง
ในส่วนของคำแนะนำในการเดินทาง คุณสามารถศึกษาผ่านทางเว็บไซต์ของ CDC ที่ CovidControls.co ซึ่งสามารถติดตามข้อมูลอัตราการฉีดวัคซีน รวมถึงข้อปฏิบัติการเดินทางเข้าประเทศ และสถานการณ์การเปิดปิดพรมแดนของประเทศต่าง ๆ
หลายประเทศเปิดให้นักเดินทางจากสหรัฐอเมริกาเดินทางเข้ามาได้ โดยมีข้อกำหนดและกฎระเบียบในการเยี่ยมชมสถานที่บางแห่ง เช่น สหราชอาณาจักรเปรู นักเดินทางต้องแสดงผลการตรวจเชื้อโควิด-19 และผลการกักตัว ส่วนประเทศในแถบทะเลแคริบเบียนหลายแห่งรวมถึงจาไมกา เซนต์คิตส์ เนวิส และโดมินิกา อนุญาตให้นักเดินทางชาวอเมริกัน ที่ได้รับผลตรวจเชื้อเป็นลบที่รับรองจากห้องปฏิบัติการ ซึ่งต้องมีอายุไม่เกิน 72 ชั่วโมง เมื่อเดินทางมาถึง เข้าประเทศได้ และเซเชลส์เปิดประเทศให้เฉพาะนักเดินทางที่ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างครบถ้วนและแสดงหลักฐานได้เท่านั้น สิ่งเหล่านี้เป็นหนึ่งในเรื่องปกติใหม่สำหรับ “การท่องเที่ยวหลังโลกมีวัคซีน”
หนังสือเดินทางฉบับวัคซีน หรือ vaccine passport สำหรับพลเมืองที่ได้รับวัคซีนของประเทศต่าง ๆ เช่น ไอซ์แลนด์ โปแลนด์ และโปรตุเกส เช่นเดียวกับบัตรเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ จากองค์กรต่าง ๆ เช่น World Economic Forum และ International Air Transport Assocition ทาง CDC ยังไม่อนุมัติใช้โปรแกรมดังกล่าว เนื่องจากอาจมีปัญหาในทางปฏิบัติและจริยธรรม อีกทั้งการรับรองการฉีดวัคซีนอาจถูกปลอมแปลงได้
ประเทศที่จัดการการแพร่ระบาดได้ดี มีแนวโน้มที่ดีที่จะเปิดการท่องเที่ยวอีกครั้ง สถานที่เหล่านี้ปลอดภัยสำหรับทุกคนเมื่อพรมแดนเปิดกว้างขึ้น เช่น ฟินแลนด์มีผู้ป่วยโควิด-19 น้อยกว่า 70,000 ราย อีกทั้งมีบริการแอปพลิเคชันติดตามผู้เดินทางเข้าประเทศชื่อ Koronavilkku และโปรแกรม FINENTRY ให้การทดลองใช้ฟรีสำหรับผู้เดินทาง
เดินทางอย่างมีความรับผิดชอบ
เนื่องจากขณะนี้มีความพยายามในการฉีดวัคซีนจำนวนมาก จุดหมายปลายทางและกิจกรรมที่คุณเลือกในฐานะนักเดินทางจึงสำคัญต่อการป้องกันคนในท้องถิ่นที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน
เมื่อมีการเปิดประเทศและอนุญาตให้ชาวอเมริกันเดินทางไปยังประเทศต่างๆ ได้ อัตราการแพร่กระจายของไวรัสอาจมีแนวโน้มลดลงในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูง เช่น อิสราเอล เซเชลส์ และมัลดีฟส์ และสร้างความเสียหายมากในประเทศที่มีการฉีดวัคซีนน้อย และโครงสร้างพื้นฐานด้านการดูแลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพต่ำ เหล่านี้คือตัวมาตรการการฉีดวัคซีนให้กับประชากรกลุ่มเสี่ยงของประเทศไทยอาเซียน
สิงคโปร์ คนงานขนส่ง และผู้ที่เป็นแนวหน้าที่มีความเสี่ยงเกือบทั้งหมดได้รับการฉีดวัคซีนเป็นกลุ่มแรก
บาหลี อินโดนีเซีย แรงงานการท่องเที่ยวที่มีความสำคัญในได้รับการฉีดวัคซีนเป็นกลุ่มแรก
ประเทศไทยซึ่งจัดการกับการแพร่ระบาดได้ดี มีความพยายามในการเร่งฉีดวัคซีนให้กับผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ท่องเที่ยวยอดนิยม เช่น ภูเก็ต โดยมีเป้าหมายเพื่อให้นักท่องเที่ยวที่ได้รับการฉีดวัคซีนสามารถท่องเที่ยวได้อย่างปลอดภัย ภายในเดือนตุลาคม ปี 2021
เมื่อกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เริ่มผ่อนคลาย การพักผ่อนที่ลดการใช้ขนส่งสาธารณะ และการแออัดของฝูงชน จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการท่องเที่ยวในช่วงนี้ เช่น การท่องเที่ยวในบริติชโคลัมเบียของแคนาดา หรือสำรวจเมืองในมอลตา
คุณจะช่วยปกป้องคนในท้องถิ่นได้อย่างไร
จนกว่าทุกคนจะสามารถเข้าถึงวัคซีนได้ นักเดินทางจำเป็นต้องสร้างสมดุลในการสนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่นที่พึ่งพาการท่องเที่ยวโดยไม่ทำให้ผู้อยู่อาศัยและระบบการดูแลสุขภาพตกอยู่ในความเสี่ยง
การแพร่ระบาดทำให้ช่องว่างระหว่างคนชายขอบกับคนที่มีสิทธิพิเศษในการเดินทางกว้างขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่า สิ่งสำคัญคืออย่าหลีกเลี่ยงจุดหมายปลายทางที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 จนกว่าประชากรในท้องถิ่นจะได้รับการฉีดวัคซีน
จูดี เคเฟอร์ โกนา ผู้เสนอวาระเรื่องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในแอฟริกา กล่าวว่า “การพิจารณาเศรษฐกิจอย่างมีจริยธรรมนั้นต้องไม่แบ่งแยกพื้นที่ เนื่องจากหลายพื้นที่ในแอฟริกาไม่สามารถรับวัคซีนได้ตรงเวลา”
“สำหรับประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศ ความเสี่ยงของการติดโรคเป็นสิ่งที่ยอมรับได้มากกว่าความเสี่ยงจากความล้มเหลวของอุตสาหกรรม และการลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางเศรษฐกิจ” เกร็ก คลาสเซน หุ้นส่วนของบริษัทจัดทัวร์ Twenty31 Consulting กล่าวและเสริมว่า “การตัดสินใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับพลเมืองในประเทศที่พัฒนาแล้วที่จะตัดสินใจให้กับพลเมืองในประเทศที่กำลังพัฒนา”
กล่าวโดยย่อคือ บริษัทที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานและชุมชนของพวกเขา รวมถึงเลือกจุดหมายปลายทางที่มีการปกป้องคนในท้องถิ่นและมีระบบรักษาพยาบาลที่แข็งแกร่ง การสืบค้นข้อมูลและการวางแผนอย่างมีความรับผิดชอบ จะส่งผลดีต่อทุกคนมากกว่าการแจกแอลกอฮอล์ล้างมือให้กับคนท้องถิ่น
เรื่อง : โจฮันนา รีด
ภาพภ่าย : วาลิด เบอราแซก