หลายคนในที่นี้อาจเคยมีประสบการณ์ตรง หรือไม่ก็เห็นเรื่องราวทางอ้อมว่า คุณแม่ คุณพ่อ หรือคนรอบตัว ที่ยืนยันหนักแน่นว่า ‘ห้ามเอาแมวเข้าบ้าน’ กลับกลายเป็นว่าเราที่เป็นคนรับเลี้ยงแมวในตอนแรกคือคนที่ถูกทิ้งในตอนหลัง จนมีคำกล่าวที่ว่า “แมว” คือผู้รับมรดกจากพ่อแม่ของเราที่แท้จริง
คนที่เคยบอกว่าไม่ต้องการที่จะเลี้ยงแต่กลับตกเป็นทาสแมว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
“ถ้าคุณเป็นคนประเภทที่ต้องการความภักดี ความรัก และความไว้วางใจ คุณจะมองหาสุนัข แต่ถ้าหากคุณต้องการออกไปยังโลกกว้าง นอกโลกของมนุษย์ ไปสู่อีกโลกหนึ่งที่ซึ่งสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ อาศัยอยู่โดยปราศจากมนุษย์ คุณจะรักแมว” จอห์น เกรย์ (John Gray) นักปรัชญา ผู้เชียนหนังสือ Feline Philosophy: Cats and the Meaning of Life กล่าว
บางทีอาจเริ่มมาจากบุคลิกภาพของเรา ในปี 2010 นักจิตวิทยาสังคม ซามูเอล ดี กอสลิง (Samuel D Gosling) จากมหาวิทยาลัยเท็กซัสได้ออกรายงานฉบับหนึ่งที่ศึกษาลักษณะบุคลิกภาพของ ‘ทาสหมา’ และ ‘ทาสแมว’
เขาระบุว่าคนรักแมวนั้นมีแนวโน้มที่จะเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ มากกว่าคนรักสุนัข หลายคนเผยว่าพวกเขารู้สึกว่าความเป็นอิสระของแมวคือคุณสมบัติที่ดีที่สุด
แมวนั้นเปลี่ยนแปลงเสมอ พวกมันขึ้นชื่อว่าคาดเดาไม่ได้ พฤติกรรมในแต่ละวันของแมวจึงอาจทำให้เจ้าของได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ อยู่เป็นประจำ
บางวันคุณอาจได้ของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือบางวันคุณอาจได้รอยแผลแทน สิ่งเหล่านี้ทำให้แมวรู้สึกเป็นที่รักสำหรับคนที่ชอบอะไรที่ไม่อยู่ในวิถีชีวิตประจำวันเดิม ๆ
กอสลิงกล่าวไว้ว่า การเปิดกว้างนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอารมณ์ ความคิด และสติปัญญา ทาสแมวมักจะเป็นนักคิดที่มีความเป็นนามธรรมมากกว่า มีความคิดสร้างสรรค์ มีจินตนาการ และมีความเป็นปรัชญามากกว่า
ซึ่งแมวนั้นมีพฤติกรรมส่งเสริมและตอบสนองต่อความต้องการด้านนี้ในบางคน จนทำให้รู้สึกเหมือนถูกเติมเต็มและกลายเป็นทาสแมวในที่สุด
“ถ้าคุณคิดถึงบทบาทของสุนัขและแมว พวกมันก็มีปฏิสัมพันธ์ที่แตกต่างกัน หากคุณชอบออกไปเดินเล่นและออกไปข้างนอก สุนัขก็เป็นตัวเลือกที่ชัดเจนกว่า แต่ถ้าคุณเป็นคนเก็บตัวมากกว่า ชอบนั่งบนเก้าอีกและใช้เวลาอยู่ที่บ้าน แมวก็ทำให้ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมน้อยลง” กอสลิงระบุ
งานวิจัยของกอสลิงได้รับการสนับสนุนจากอีกงานวิจัยหนึ่งของ เกรทเชน เอ็ม. รีวี (Gretchen M. Reevy) และ มิเกล เอ็ม. เดลกาโด (Mikel M. Delgado) ที่ได้ใช้บุคลิกภาพชื่อ Big Five โดยกล่าวว่าทาสแมวนั้นมักจะหลีกหนีการเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้คนมากกว่าคนที่เลี้ยงสุนัข (แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน)
ไม่เพียงเท่านั้น ศาสตราจารย์ เดเนียล มิลส์ (Daniel Mills) ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตวแพทยศาสตร์พฤติกรรมจากมหาวิทยาลัยลินคอล์น กล่าวว่าลักษณะทางกายภาพของแมวก็อาจมีส่วนทำให้มนุษย์นั้นหลงแมวหัวปักหัวปำ เนื่องจากเจ้าเหมียวมีบางอย่างที่คล้ายกับเด็กทารกเช่น ตาดำที่กลมโต จมูกสีชมพูเล็ก ๆ และความนุ่มสบายเมื่อได้ลูบขน
“ลักษณะที่เหมือนเด็กทารกเหล่านี้อยู่ในระดับจิตใต้สำนึกซึ่งเข้าถึงอารมณ์ของเรา และทำให้เราอยากที่จะดูแลพวกเขา คุณสมบัติที่เรียบง่ายเหล่านี้เราพบว่ามีเสน่ห์ตามธรรมชาติ” ศาสตราจารย์มิลส์กล่าว
หรืออาจจะเป็นเสียงครวญครางอย่างพึงพอใจของแมวก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า ‘ASMR’ ตามธรรมชาติ แมวมักทำเสียงเหล่านี้เมื่อพวกมันสบายใจ ผ่อนคลาย หรือมีความสุข ซึ่งจะสะท้อนกลับไปให้รางวัลที่สมองว่าเราสามารถทำให้แมวพอใจได้ กระบวนการนี้เหมือนกับตอนที่เราได้รับคำชมจากคนอื่น
วิทยาศาสตร์มีเป้าหมายเพื่อหาคำตอบสำหรับสิ่งที่ยังไม่รู้ และดูเหมือนว่าแมวนั้นยังมีความลับอีกจำนวนมากจนทำให้มนุษย์หมกมุ่นศึกษาอยู่กับพวกมันมาเป็นเวลานาน กระนั้นความลึกลับก็ไม่มีท่าทีที่จะสิ้นสุดลงเลย หากมองในมุมนี้สำหรับวิทยาศาสตร์แล้ว แมวคือหนึ่งในสิ่งที่น่าค้นหาที่สุดในจักรวาล
“เธอ (แมว) สอนบทเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ ความผูกพัน การปล่อยวาง” เชดา ทอร์รัน (Cheyda Torun) ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวตุรกี-อเมริกันที่บันทึกภาพแมวข้างที่อิสตันบูลในสารคดี Kedi กล่าว
“แต่บทเรียนที่ใหญ่กว่าคือการได้รู้ว่าฉันไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกใบใหญ่นี้ หากคุณจำกัดตัวเองกับความสัมพันธ์กับแค่มนุษย์มากเกินไป ก็ง่ายมากที่จะรู้สึกโดดเดี่ยว”
สืบค้นและเรียบเรียง วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา
https://whatyourcatwants.com/ catpersonscience
https://www.researchgate.net/publication/233630429_Personalities_of_Self-Identified_Dog_People_and_Cat_People
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/25517173/
https://www.theguardian.com/lifeandstyle/2023/oct/03/purring-parasites-and-pure-love-what-exactly-makes-someone-a-cat-person
https://www.popsci.com/story/science/cat-or-dog-person/
https://www.psychologytoday.com/intl/blog/tech-support/201507/why-you-may-want-be-cat-person-or-have-one-around