“ดูเหมือนว่าเราจะมีลูกพี่ลูกน้องคนใหม่
ที่อาศัยอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษของเราเมื่อ 2.6 ล้านปีก่อน”
นักวิทยาศาสตร์พบฟอสซิลฟันที่มีอายุระหว่าง 2.6 – 2.8 ล้านปี โดยฟอสซิลฟันดังกล่าวเป็นของ ออสตราโลพิเธคัส ซึ่งยืนยันว่าญาติของลูซีนี้เคยใกล้ชิดกับบรรพบุรุษของ โฮโม มาก่อน
เมื่อประมาณ 3 ล้านปีก่อน ในแอฟริกาตะวันออกได้มีเอปอยู่หลายกลุ่ม หนึ่งในนั้นที่ได้พัฒนาเป็น ออสตราโลพิเธคัส อะฟาเรนซิส (Australopithecus afarensis) หรือก็คือสายพันธุ์ของลูซี กำลังค่อย ๆ จางหางไป แต่แล้วราว 1 ล้านปีต่อมา โฮมินิน 2 สายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคแห่งนี้ซึ่งได้แก่ โฮโม (Homo) ยุคแรกผู้เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ยุคใหม่ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
และ พารานโทรปัส (Paranthropus) ซึ่งดูเหมือนจะเป็นวิวัฒนาการที่จบลงด้วยทางตัน โดยพวกเขามีลักษณะเด่นคือฟันกรามและโหนกแก้มขนาดใหญ่ นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันมานานแล้วในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งระหว่างนั้น ออสตราโลพิเธคัส ได้แตกแยกออกเป็น 2 สายคือ โฮโม และ พารานโทรปัส
แต่แล้วในปี 1990 ก็ได้ค้นพบ ออสตราโลพิเธคัส การ์ฮี (Australopithecus garhi) ที่มีอยู่เมื่อประมาณ 2.5 ล้านปีก่อนก็ทำให้เห็นได้ว่าสายพันธุ์บรรพบุรุษนั้นซับซ้อนกว่าที่ใครคาดไว้มาก ดังนั้นการสืบสายนพันธุ์ระหว่างมนุษยโบราณเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาอย่างยิ่ง
“เรามีช่องว่างในบันทึกประมาณ 500,000 ปี” เจสสิกา ทอมป์สัน (Jessica Thompson) นักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยเยล กล่าว “สิ่งที่คุณรู้ก็คือ ในท้ายที่สุด เราพบว่ามนุษย์ โฮโม และ ออสตราโลพิเธคัส หายไปเกือบหมดแล้ว แต่แล้วก็มีสิ่งน่าสนใจเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น”
ตามรายงานใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Nature เผยให้เห็นว่า ฟอสซิลฟันที่เพิ่งค้นพบนี้ ดูเหมือนจะเป็นสปีชีส์ใหม่ล่าสุดที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อนในสกุล ออสตราโลพิเธคัส ซึ่งกำลังท้าทายมุมมองวิวัฒนาการของเราจากเอปสู่มนุษย์ที่เป็นเส้นตรงว่า แท้จริงแล้วซับซ้อนราวกับพุ่มไม้
“งานวิจัยใหม่นี้แสดงให้เห็นว่าภาพที่พวกเราหลายคนมีในใจเกี่ยวกับ เอปสู่มนุษย์ นีแอนเดอร์ทัล และมนุษย์ยุคปัจจุบันนั้นไม่ถูกต้อง วิวัฒนาการไม่ได้ดำเนินไปแบบนั้น” เคย์ รีด (Kaye Reed) นักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยแอริโซนาสเตตกล่าว “ในที่นี้ เรามีสายพันธุ์โฮมินิน 2 สายพันธุ์ที่อยู่ร่วมกัน และวัวฒนาการของมนุษย์ไม่ได้เป็นเส้นตรง มันเป็นพุ่มไม้ มีรูปแบบต่าง ๆ ที่สูญพันธุ์ไป”
แหล่งโบราณคดีแห่งใหม่
เพื่อเติมเต็มช่องว่างและทำให้เรื่องราวต้นกำเนิดของเราชัดเจนขึ้น ทีมวิจัยที่นำโดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซนา (ASU) ได้เริ่มค้นหาพื้นที่ประมาณ 100 ตารางกิโลเมตรที่รู้จักกันในชื่อ เลดี-เกอรารู ในภูมิภาคอาฟาร์ของเอธิโอเปีย
เพื่อมองหาหินและหุบเขาที่มีอายุเหมาะสม โดยอ้างอิงจากการวิเคราะห์ทางธรณีวิทยาของเศษซากการปะทุของภูเขาไฟและแร่ธาตุที่ตรวจสอบอายุแล้ว ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กโลก การค้นหาเริ่มต้นในปี 2002 ต้องรออีกสักพักทีมวิจัยถึงจะค้นพบวัตถุโบราณที่มีอายุ 2.6 ล้านปีในปี 2013 และ 2015
มันเป็นตัวอย่างแรกสุดของเทคโนโลยียุคหินที่แพร่หลายโดยนักวิทยาศาสตร์โอลโดวัน และอีกครั้งก็พบส่วนหนึ่งของกระดูกขากรรไกรที่มีอายุย้อน 2.8 ล้านปี ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นตัวอย่างเก่าแก่ที่สุดของสายพันธุ์ โฮโม และแล้วในท้ายที่สุดทีมวิจัยก็ค้นพบฟอสซิลฟัน 13 ซี่จากแหล่งตะกอนที่มีอายุ 2.8 ล้านปีก่อน
และอีก 2 ซีที่มีอายุประมาณ 2.6 ล้านปี เพื่อดูว่าฟันเหล่านี้เป็นของสายพันธุ์ใดกันแน่ นักวิทยาศาสตร์จึงได้เปรียบเทียบฟันเหล่านี้กับฟันที่พบและระบุสปีชีส์แล้วอีกกว่า 700 ซี่จากโฮมินิน 11 ชนิดรวมถึง ออสตราโลพิเธคัส พารานโทรปัส และ โฮโม
“โดยพื้นฐานแล้ว การวิเคราะห์นี้กำลังเปรียบเทียบฟันเหล่านี้กับฟันอื่น ๆ ที่อาจมีอยู่” รีด กล่าว
ฟัน ออสตราโลพิเธคัส และฟัน โฮโม
การวิเคราะห์เผยว่า ตัวอย่าง 3 ชิ้นมีความคล้ายคลึงกับฟันที่พบในขากรรไกรของ โฮโม จากเลดี-เกอรารู และแหล่งโบราณคดีฮาดาร์ที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้เป็นที่ค่อนข้างชัดเจนว่าฟันเหล่านี้อยู่ในสกุลเดียวกัน แต่ที่เหลือนั้นเรียกได้ว่า สั่นสะเทือนวงการ
“ผมไม่สามารถทำให้มันตรง อะฟาเรนซิส (สปีชีส์ของลูซี่) ได้ ผมไม่สามารถทำให้มันตรงกับ โฮโม และผมไม่สามารถทำให้มันตรงกับ พารานโทรปัส ได้” ลูคัส เดลีซีน (Lucas Delezene) นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยอาร์คันซอ ผู้วิเคราะห์การค้นพบ กล่าว
เขาและเพื่อนร่วมงานสรุปว่าฟันอีก 10 ซี่น่าจะเป็นของ ออสตราโลพิเธคัส สายพันธุ์ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ซึ่งน่าจะเป็นสายพันธุ์เดียวที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้หลายแสนปีร่วมกับ โฮโม
เมื่อรวมกับหลักฐานจากแหล่งอื่น ๆ แล้วหมายความว่าในตอนนี้ โฮมินิน ถึง 4 สายพันธุ์ได้แก่ โฮโม พารานโทรปัส และ ออสตราโลพิเธคัส อีกสองสายพันธุ์ เคยเดินแตร่อยู่ในทุ่งหญ้าแห่งแอฟริกาตะวันออกเมื่อระหว่าง 3 ถึง 2.5 ล้านปีก่อน
“หนึ่งในนั้นอาจเป็นต้นกำเนิดของเรา หรือที่อื่น ฟอสซิลอื่นที่เราพบอาจเป็นต้นกำเนิดของเรา” รีด บอก “มันเป็นปริศนาที่เราพยายามประกอบเข้าด้วยกัน และทุกชิ้นส่วนก็มีความสำคัญ”
ชารา เบลีย์ (Shara Bailey) นักมานุษยวิทยาโบราณจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ผู้เชี่ยวชาญด้านฟันโฮมินิน ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษาครั้งนี้ให้ความเห็นว่า สิ่งที่ดีที่สุดที่นักวิจัยสามารถทำได้คือ จำกัดขอบเขตให้แคบลงเหลือเฉพาะสายพันธุ์ที่เป็นไปได้มากที่สุด พร้อมอธิบายเหตุผล
ขณะเดียวกัน การวิเคราะห์เพิ่มเติมโดยใช้การสแกนภาพตัดขวางด้วยไมโครคอมพิวเตอร์ ซึ่งช่วยให้นักวิจัยสามารถมองเห็นฟันเสมือนจริงใต้เคลือบฟันชั้นนอกได้ อาจช่วยเพิ่มความชัดเจนในการระบุว่าฟันเหล่านั้นเป็นของสายพันธุ์ใด
ยังไงก็ตาม การค้นพบนี้ได้เน้นย้ำว่าวิวัฒนาการของมนุษย์นั้นดูจะเป็นรูปแบบ ‘พุ่ม’ มากกว่าจะเป็นเส้นตรง
“ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าตลอดประวัติศาสตร์วิวัฒนาการส่วนใหญ่ของเรา มีมนุษย์หลายสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ร่วมกันในเวลาเดียวกัน” จอห์น ฮอว์กส์ (John Hawks) นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในงานวิจัยใหม่นี้ กล่าว
ทีมวิจัยวางแผนที่จะศึกษาชั้นเคลือบฟันที่เพิ่งค้นพบ เนื่องจากคุณสมบัติทางเคมีของชั้นเหล่านี้สามารถเปิดเผยสิ่งที่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้กิน ซึ่งอาจช่วยไขความกระจ่ายได้ว่า โฮมินิน เหล่านี้กินสิ่งเดียวกันและแย่งชิงทรัพยากรที่คล้ายกันหรือไม่
“ตอนนี้เราแทบไม่สามารถพูดอะไรได้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์โดยตรงระหว่าง ออสตราโลพิเธคัส และ โฮโม” ฟรานเซส ฟอร์เรสต์ (Frances Forrest) นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยแฟร์ฟิลด์ ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในงานวิจัยใหม่นี้ กล่าว
“เรารู้ว่าบางครั้งทั้งสองสกุลจะทับซ้อนกันทั้งในด้านเวลาและพื้นที่ แต่ยังไม่มีหลักฐานทางพฤติกรรมที่เชื่อมโยงทั้งสองสกุลนี้เข้าด้วยกัน”
เช่นเดียวกัน ชิมแปนซีและกอริลลาที่อาศัยอยู่ในป่าเดียวกัน แต่ส่วนพวกมันก็ไม่ได้อยู่ร่วมกันอย่างแท้จริง ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์คิดว่าบางทีโฮมินินเหล่านี้อาจอยู่ใกล้กัน แต่ก็ไม่ได้อยู่ร่วมกัน
“พวกมันอาจไม่ได้กินสิ่งเดียวกัน” รีด กล่าว “แต่ตอนนี้เรายังไม่ทราบแน่ชัด ทุกสิ่งที่เราพบคือชิ้นส่วนของปริศนาวิวัฒนาการมนุษย์”
สืบค้นและเรียบเรียง
วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา