“หลุมหนูชิคาโกอันโด่งดัง ที่เป็นกระแสในปี 2024
ไม่ได้เกิดจากหนู การวิเคราะห์รอยบนทางเท้าระบุว่ามีความเป็นไปได้ 99%
ที่จะเกิดจากสิ่งมีชีวิตอื่นมากกว่าหนู”
ในเดือนมกราคม 2024 ชาวชิคาโกได้พบกับสิ่งประหลาดใหม่ มันคือหลุมบนทางเท้าคอนกรีตที่มีรูปร่างคล้ายหนู ซึ่งถูกตั้งชื่อในเวลาต่อมาว่า ‘Chicago Rat Hole หรือ “Splatatouille” และกลายเป็นกระแสฮือฮาจนดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมรอยนี้ บางคนถึงกับโยนเหรียญใส่เข้าไปเพื่ออะไรสักอย่าง
ในตอนแรก ทุกคนดูเหมือนจะเห็นตรงกันว่าหลุมนี้มีต้นกำเนิดจากหนูบ้านทั่วไป มันน่าจะติดอยู่บนชั้นคอนกรีตที่ยังเปียก ติดอยู่เช่นนั้น และไม่มีวี่แววว่าจะหนีรอดออกไปได้ ดังนั้นมันน่าจะเสียชีวิตในท้ายที่สุดแล้วถูกกำจัดออกไปเหลือแต่ร่องรอยไว้เมื่อคอนกรีตแห้งลง
ไม่มีใครโต้แย้งที่มาที่ไปของร่องรอยนี้จนกระทั่ง ดร. ไมเคิล กรานาโตสกี (Michael Granatosky) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านนิเวศวิทยาและชีววิทยาวิวัฒนาการ จากมหาวิทยาลัยเทนเนสซี น็อกซ์วิลล์ ได้ตรวจสอบความจริง
“(รอยนี้) เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการสร้างความตื่นเต้นใหักับสาธารณชนเกี่ยวกับธรรมชาติและโลกรอบตัวพวกเขา” เขา กล่าว
ด้วยการใช้วิธีที่คล้ายคลึงกับการศึกษาต้นกำเนิดรอยฟอสซิล บวกเข้ากับความเพลิดเพลินเล็กน้อย ผลลัพธ์ถูกระบุไว้บนงานวิจัยใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Biology Letters ว่าจริง ๆ แล้วหนูบ้านไม่ใช้ตัวต้นเหตุ แต่เป็นสัตว์ฟันแทะตัวอื่นที่ชื่อว่า กระรอก ต่างหาก
“สิ่งที่เราต้องการแสดงให้เห็นคือ แม้จะเจอกับสถานการณ์ที่เกือบสมบูรณ์แบบ แต่การจะค้นพบผลลัพธ์ที่ดีจริง ๆ จากรอยประทับเหล่านี้นั้นเป็นเรื่องยากเพียงใด” กรานาโตสกี กล่าว
ฟันแทะเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน
หนูสีน้ำตาล หนูบ้าน หรือหนูท่อ แล้วแต่จะเรียกนี้พบได้ทั่วไปในชิคาโก มันมีเยอะมากจน Orkin บริษัทกำจัดศัตรูพืชชื่อดังยกย่องให้เมืองนี้เป็นเมืองที่มี ‘หนูมากที่สุด’ ของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นปีที่ 10 ติดต่อกัน
แต่นอกจากรูปร่างของหลุมแล้ว ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่ยืนยันได้ว่ามาจากหนูเหล่านี้จริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นรอยบนคอนกรีตก็ถูกกำจัดออกไปแล้วกลายเป็นทางเท้าเรียบปกติ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถลงไปศึกษาโดยตรงได้ แต่ขอบคุณกระแสของมัน ทำให้มีรูปภาพอยู่เต็มอินเตอร์เน็ตไปหมด
กรานาโตสกี และทีมงานได้ทำการวัดรอยเหล่านี้ผ่านรูปภาพ ตั้งแต่จมูกถึงหาง ความกว้างของหัว โคนหาง ความยาวของนิ้วมือและกรงเล็บที่ระบุตัวตนได้ จากนั้นเทียบกับตัวอย่างหนูชนิดต่าง ๆ กระรอก ชิปมังก์ หนูมัสคแร็ต หนูตีนขาว กระรอกบิน และอื่น ๆ
ข้อมูลเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่า ความยาวของขาหน้า ความยาวอุ้งเท้าหลัง และนิ้วที่สามของอุ้งเท้าแต่ละข้างนั้นมีขนาดเกินค่าที่วัดได้ของหนูสีน้ำตาล แต่กลับไปคล้ายกับกระรอกสีเทาตะวันออก หนูมัสคแร็ต และกระรอกจิ้งจอกมากกว่า
“ความหลากหลายของลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้รวมกันทำให้เรานึกถึงกระรอก” กรานาโตสกี กล่าว “กระรอกมักมีนิ้วที่ยาวกว่าเพราะพวกมันอาศัยอยู่บนต้นไม้ และนั่นก็ถือเป็นลักษณะเด่นที่ค่อนข้างชัดเจน”
แต่หลายคนอาจสงสัยได้ว่า ‘แล้วทำไมหางในรอยถึงแคบแหลมตรงเหมือนหางหนูทั่วไปมาก?’ เหตุผลก็เพราะขนหางกระรอกนั้นแทบจะไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้เลยเมื่อพวกมันเสียชีวิต คล้ายกับขนที่เก็บรักษาไว้ในฟอสซิลได้ยากมาก
ข้อมูลต่อมาก็คือจำนวนทางสถิติของสัตว์แต่ละชนิด เนื่องจากกระรอกสีเทานั้นพบได้บ่อยกว่าหนูมัสคแร็ตหรือกระรอกจิ้งจอกในชิคาโก ทำให้ทีมวิจัยสรุปได้ว่ามีความเป็นไปได้ร้อยละ 98.67% ที่รอยนี้จะเป็นกระรอก และมีโอกาสที่ 50.67 เปอร์เซ็นที่จะเกิดจากกระรอกสีเทาตะวันออกโดยเฉพาะ
หลุมหนูหรือไม่ว่าจะชื่ออะไรก็ตาม
ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับสิ่งที่ ดร. เซธ แม็กเกิล (Seth Magle) ผู้อำนวยการอาวุโสของสถาบันสัตว์ป่าในเมือง (Urban Wildlife Institute) จากสวนสัตว์ลินคอล์นพาร์คในชิคาโก ซึ่งเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในงานวิจัยแต่เป็นผู้ตรวจสอบรายงานนี้ สงสัยในตอนแรก
“ผมหมายถึง มันเป็นหนึ่งในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในชีวิตเรา” แม็กเกิล กล่าวติดตลก “ตอนที่ผมเห็นงานวิจัยนี้ ผมค่อนข้างประหลาดใจที่มีคนต้องการทุ่มเทความพยายามอย่างมากขนาดนี้เพื่อยุติเรื่องนี้ แต่บางทีผมก็คิดว่าไม่ควรแปลกใจ เพราะนี่คืองานวิจัยประเภทที่ดึงดูดจินตนาการของสาธารณชนได้อย่างแท้จริง”
เมื่อหลุมหนูนี้กลายเป็นไวรัล แม็กเกิลและทีมงานของเขาก็ทดลองทางความคิดว่ามันกลายเป็นรอยได้อย่างไร ซึ่งตระหนักได้ว่าสัตว์ตัวนี้น่าจะตกลงมาหรือจำเป็นต้องโดนทิ้งมาจากระยะที่ไกลพอ เนื่องจากไม่มีรอยเท้ารอบข้างที่แสดงให้เห็นว่าสัตว์ตัวนี้เดินมา
และไม่มีรอยลากใด ๆ เลย ดังนั้นมันน่าจะตกลงมาจากด้านบน แม็กเกิลเองก็เคยเห็นกระรอกตกหรือกระโดดลงมาจากต้นไม้มากมายขณะเดินอยู่ในเมือง ทีมวิจัยยังพิจารณาด้วยว่าพื้นคอนกรีตน่าจะเปียกชื้นในตอนกลางวันหลังจากเทเสร็จใหม่ ๆ และแห้งกว่าในตอนกลางคืนอีกหลายชั่วโมงต่อมา
ข้อมูลนี้สำคัญเนื่องจากกระรอกจะออกหากินในเวลากลางวัน ขณะที่หนูเป็นสัตว์หากินตอนกลางคืนเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เบาะแสทั้งหมดชี้ไปที่กระรอกมากกว่าหนูจริง ๆ
“ผมรู้สึกโล่งใจที่การประเมินของพวกเขามีการวิเคราะห์เชิงปรมาณและแม่นยำกว่ามาก ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเชิงนิเวศวิทยาของเราเกี่ยวกับสิ่งที่น่าจะสร้างร่องรอยเช่นนั้นได้” แม็กเกิล กล่าว
ผู้เขียนงานวิจัยเสนอให้เปลี่ยนชื่อจาก ‘หลุมหนู’ เป็น ‘หลุมกระรอก’ ที่เหมาะสมกับที่มาของมันและสอดคล้องกับหลักฐานทั้งหมดมากกว่า อย่างไรก็ตาม หลายคนไม่เชื่อและยืนยันว่ามันคือหนูไม่ใช่อย่างอื่น ขณะเดียวกัน ทางเมืองเองก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยยอมรับการเปลี่ยนแปลงชื่อนี้มากนัก เนื่องจาก ‘หลุมหนู’ กลายเป็นชื่อที่ติดหูไปแล้ว
“ด้วยความเคารพอย่างสูงต่อชุมชนวิทยาศาสตร์ หลุมหนูเป็นส่วนหนึ่งของตำนานเมืองชิคาโกในปัจจุบัน เช่นเดียวกับอาคารเซียร์ส (วิลลิส) ทาวเวอร์ และโคมิสกีย์พาร์ค (เรทฟิลด์)” ไรอัน เกจ (Ryan Gage) ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาธารณะของกรมถนนและสุขาภิบาลเมืองชิคาโก กล่าว
ชีวิตในเมืองที่ไม่ง่ายเลย
สิ่งต่าง ๆ เช่นรอยเท้าที่ทิ้งไว้ในซีเมนต์เหล่านี้ ทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจถึงนิเวศวิทยาในเมือง หรือปฏิสัมพันธ์ระหว่างสัตว์ พืช และมนุษย์ในสภาพแวดล้อมในเมือง
ในตอนที่แม็กเกิลเริ่มงานด้านนิเวศวิทยาในเมืองเมื่อราวสองทศวรรษที่แล้ว เขาจำได้ว่านักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ ไม่เห็นด้วยกับสาขานี้มากนัก และตั้งคำถามว่าทำไมจะต้องไปสนใจนกพิราบ หนู หรือหมาป่าโคโยตี้ แทนที่จะเป็นสายพันธุ์ในป่าลึก แต่แม็กเกิลสังเกตว่าผู้คนก็สนใจสัตว์และพฤติกรรมของพวกมันในเมืองด้วยเช่นกัน
“ผมคิดว่า ทำไมไม่ลองศึกษาสัตว์ที่มีอยู่ สถานที่ที่ผู้คนอยู่ และสัตว์ที่กำลังทำสิ่งต่าง ๆ ซึ่งสำคัญสำหรับคนส่วนใหญ่” แม็กเกิลกล่าว
ดร.เอลิซาเบธ คาร์เลน (Elizabeth Carle) นักวิจัยหลังปริญญาเอกในภาควิชาชีววิทยา มหาวิทยาลัยวอชิงตันในเซนต์หลุยส์ กล่าวว่ารอยเท้านี้เป็นตัวอย่างของคุณค่าของการใช้วิทยาศาสตร์เพื่อตอบคำถาม
“แม้ว่างานวิจัยเหล่านี้อาจดูไร้สาระ เล่นกับกระแสนิยม แต่มันก็ทำให้สาธารณชนได้เห็นภาพกระบวนการทางวิทยาศาสตร์” คาร์เลนกล่าว “จะเป็นอย่างไร ถ้าภาพจำลองนี้เป็นฟอสซิล นักบรรพชีวินวิทยาก็จะระบุสิ่งมีชีวิตที่สร้างฟอสซิลนี้ด้วยวิธีเดียวกัน”
ไม่มีหลักฐานว่ากระรอกที่ตกลงไปในซีเมนต์เดินหนีไป มันน่าจะโดนทิ้งโดยนกนักล่า หรือตกจากต้นไม้ แล้วถูกนักล่าเอาไป โดนใครบางคนเอาออกไป หรือเน่าเปื่อยไปในที่นั้นแม้ว่าจะไม่มีซากเหลืออยู่ก็ตาม ซึ่งชี้ให้เห็นว่าชีวิตในเมืองนั้นไม่ง่ายเลย ทั้งกับมนุษย์และสัตว์ที่อยู่ในระบบนิเวศเหล่านี้
สืบค้นและเรียบเรียง
วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา
https://royalsocietypublishing.org