“พ.ร.บ. อากาศสะอาด ผ่านแล้ว หมุดหมายสำคัญในการคืนอากาศหายใจที่ปลอดภัยให้กับคนไทย
แม้จะมีสิ่งที่ต้องทำต่อไปอีกมาก แต่การลงมติเห็นด้วยนี้ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ
ต่อการจัดการปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพคนไทยมาอย่างยาวนาน”
เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรแห่งประเทศไทยได้ผ่านการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘พ.ร.บ. อากาศสะอาด’ ในวาระ 3 ซึ่งมีผู้ลงมติเห็นชอบกับกฎหมายดังกล่าว 309 เสียง ไม่มีเสียงไม่เห็นด้วย มีงดออกเสียง 4 เสียง และไม่ลงคะแนน 5 เสียง
พ.ร.บ อากาศสะอาดนี้ได้รับการผลักดันโดยภาคประชาชนมานานตั้งแต่ปี 2019 เนื่องจากปัญหาฝุ่น PM2.5 มีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนสร้างปัญหาสุขภาพให้กับคนจำนวนมาก โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคเหนือ ซึ่งมีค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐานเป็นประจำ
การผ่านร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการคืนอากาศสะอาดให้กับคนไทยได้หายใจอย่างปลอดภัย โดยจะยึดหลักการที่ว่า ‘ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย’ (Polluter Pays Principle) พร้อมใช้แนวคิด ‘Carrot and Stick’ ในการจัดการ
“ในชั้นกรรมาธิการ ฉบับประชาชนไม่เหมือนกันกับอีก 6 ร่าง แต่จากการทำงานร่วมกันอย่างหนักก็ทำให้แนวคิดทางกฎหมายที่มาจากฉบับของประชาชนเสนอเข้าชื่อ ได้รับการยอมรับและนำมาปรับในร่างกฎหมายถึง 90%” รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม สมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ และ รองประธานคณะกรรมาธิการฯ คนที่ 1 เผยกับ The Active
หลักการ Polluter Pays Principle
หลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่ายหรือ Polluter Pays Principle นั้นมีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 ผ่านชุดข้อเสนอแนะขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)
ตามคำนิยามของ Oxford Public International Law ระบุว่า โดยหลักฐานพื้นฐานแล้ว แนวคิดนี้เป็นนโยบายทางเศรษฐกิจที่ใช้จัดสรรต้นทุนจากมลพิษหรือความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมที่หน่วยงานภาครัฐเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งภาครัฐจะต้องบังคับใช้ต่อไปให้ผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามที่รัฐได้กำหนดไว้
“เพื่อให้แน่ใจว่าสภาพแวดล้อมจะอยู่ใน ‘สภาวะที่ยอมรับได้’ และ ‘ต้นทุนของมาตรการเหล่านี้ควรสะท้อนอยู่ในต้นทุนของสินค้าและบริการที่ก่อให้เกิดมลพิษในการผลิตหรือการบริโภค” เว็บไซต์ของ Oxford Public International Law ระบุ
กล่าวอย่างง่ายที่สุดแบบไม่ใช่ภาษาทางกฎหมายก็คือ ผู้ใดที่ก่อมลพิษ ควรเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดการมลพิษเพื่อป้องกันความเสียหายต่อสุขภาพของมนุษย์หรือสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่างเช่น โรงงานที่ผลิต ‘สารที่อาจเป็นพิษ’ ที่เป็นผลพลอยได้จากกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงงาน จะต้องรับผิดชอบในการกำจัดสารดังกล่าวอย่างปลอดภัย
ในสหราชอาณาจักร หลักการนี้เป็นรากฐานของกฎระเบียบส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อดิน น้ำ และอากาศ หรือก็คือสิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้มีการปนเปื้อนจากสารที่อาจเป็นอันตราย อย่างไรก็ตามภาครัฐแต่ละประเทศต้องมีการปรับใช้ให้เหมาะสมกับนโยบายของตัวเอง
“ข้อตกลงเหล่านี้ไม่มีข้อตกลงใดที่ใช้แนวทางเดียวกันในการจัดการกับการสูญเสีย แต่ทั้งหมดสามารถอธิบายได้อย่างสมเหตุสมผลว่าเป็นใช้แนวทางแนวที่ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย” Oxford Public International Law ระบุ
ในส่วนของ Carrot and Stick นั้นเป็นสำนวนภาษาอังกฤษที่ใช้กล่าวในบริบทนี้คือ กลไกการจูงใจและบังคับลงโทษ เช่น การสนับสนุนอย่างลดหย่อนภาษี เงินอุดหนุน ถือเป็นการจูงใจด้วยแครอท ขณะที่การปรับชดใช้ค่าเสียหายคือการลงโทษด้วยไม้เรียว (Stick)
“การกำกับดูแลสังคมด้วยกลยุทธ์ Carrot and Stick เป็นเหมือนการแก้ปัญหาทั้งเชิงรุกและเชิงรับ ทั้งป้องกันไม่ให้สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย ทั้งยังจูงใจให้ช่วยกันรักษา และยังมีหนทางในการเยียวยาเมื่อเกิดปัญหาขึ้นอีกด้วย” เว็บไซต์ของ Thailand Clean Air Network ระบุ
อย่างไรก็ตามยังมีงานอีกมากที่ต้องทำเกี่ยวกับกฎหมายอากาศสะอาด ทั้งต้องมีการบังคับใช้ได้จริงโดยไม่ถูกครอบงำ หรือการเชื่อมโยงระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่ภาคอุตสาหกรรม คมนาคม ป่าไม้ เกษตรกรรม เมือง หรือแม้แต่มลพิษที่มาจากต่างประเทศ กฎหมายอากาศของแต่ละส่วนจะต้องเสริมหนุนซึ่งกันและกัน ซึ่งหมายความว่าต้องมีการทำงานร่วมกัน
หากประเทศไทยสามารถบรรลุกฎหมายอากาศสะอาดที่สามารถใช้งานได้จริง ก็จะสามารถป้องกัน ควบคุม และแก้ไขปัญหามลพิษให้กับประชาชนชาวไทยให้มีสุขภาพแข็งแรง พร้อมกับมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป
สืบค้นและเรียบเรียง
วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา
https://opil.ouplaw.com/display
https://theactive.thaipbs.or.th