“ย้อนหลังไปร้อยปีก่อน เสือโคร่งเบงกอลของอินเดีย
ยืนอยู่บนปากเหวของการสูญพันธุ์
จำนวนของพวกมันค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น
แต่ความสำเร็จทางนิเวศวิทยานี้นำไปสู่ปัญหาใหม่
ที่น่าหวาดหวั่นและความพยายามช่วยพวกมันจากการล่มสลายทางพันธุกรรม”
เราต้องค้นหาอยู่นานถึง 50 วัน กว่าป่าผืนนั้นจะเผยความลับใหญ่หลวงที่สุดของมันให้เราเห็น ห้าสิบวันของ การโยกคลอนไปตามถนนลูกรังในเขตสงวนเสือโคร่งสิมิลิปาลในรัฐโอฑิศาทางตะวันออกของอินเดีย สอดส่องมองหาระหว่างสุมทุมพุ่มไม้ หวังจะได้เห็นเสือโคร่งเจอตัวยากชื่อ ที12 (T12) เจ้าของรูปลักษณ์โดดเด่นที่ทำให้มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของประชากรเสือโคร่งเบงกอล (Panthera tigris tigris) ที่กำลังอยู่บนทางแพร่งอันตราย
คู่หูของผมในการค้นหาคือรฆุ ปูรติ เจ้าหน้าที่สังกัดกรมป่าไม้ส่วนภูมิภาค ที่ไม่เคยเห็นเจ้าที12 กับตาตนเองมาก่อน เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ของเขาเคยเห็นเสือโคร่งตัวนี้แค่ในภาพจากกล้องดักถ่ายที่ติดตั้งไว้ศึกษาการเคลื่อนไหวของส่ำสัตว์ทั่วเขตสงวน แต่การได้เห็นเสือโคร่งในสิมิลิปาลพวกนี้ด้วยตาตนเองจริงๆ จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้มองหาร่องรอยความเจ็บป่วยทางกายที่กล้องอาจจับภาพไม่ได้ บันทึกการพบเห็นเจ้าที12 จะมีคุณค่าเป็นพิเศษ เนื่องจากเสือโคร่งเก็บตัวอายุ 10 ปีตัวนี้ซึ่งเป็นเพศผู้อายุมากที่สุดในสิมิลิปาล ถือเป็นหัวใจสำคัญของแผนการที่จะรับประกันความอยู่รอดของเสือรุ่นต่อไป

ตอนนั้นเป็นช่วงบ่ายคล้อยของวันที่ 50 เมื่อจู่ๆ ร่างดำทะมึนร่างหนึ่งพุ่งตัดหน้ารถกระบะของเราในชั่วพริบตา ผมกระทืบเบรก เบื้องหน้าเรา เสือโคร่งตัวมหึมายืนขวางถนน กำลังจ้องกลับมาที่รฆุกับผม มันเป็นเสือโคร่งเพศผู้อายุมากแล้ว และมีสีขนแปลกประหลาดโดดเด่นแบบที่เรามองหากันอยู่
“มันสีดำ” รฆุพูดเสียงกระซิบหนักแน่น เขาชี้ออกไปอย่างตื่นเต้น พูดซ้ำว่า “มันสีดำ!”
เจ้าเสือโคร่งที12 มีแถบขนสีเข้มพาดปกคลุมเหมือนเสื้อคลุมขาดรุ่งริ่ง และแถบสีส้มเป็นริ้วๆ แทรกอยู่ตลอดลำตัว กับแถบใหญ่กว่าที่ใบหน้าและขาคู่หน้า แถบสีดำของเสือโคร่งที่กว้างขึ้นอย่างผิดปกตินี้ ซึ่งเป็นการกลายพันธุ์หรือการผ่าเหล่าทางพันธุกรรมที่พบได้ยากเรียกว่า ซูโดเมลานิซึม (pseudo-melanism) เป็นลักษณะร่วมของเสือโคร่งราวครึ่งหนึ่งของจำนวน 30 ตัวหรือราวๆ นั้นที่ท่องอยู่ในเขตสงวนสิมิลิปาล และเป็นตัวชี้วัดหนึ่งของเรื่องราวความสำเร็จในการอนุรักษ์ที่กำลังเผชิญกับภาวะแทรกซ้อนที่อาจลงเอยด้วยหายนะ เพราะแม้จำนวนเสือโคร่งในสิมิลิปาลจะแข็งแกร่งขึ้นในรอบหลายทศวรรษ แต่เขตสงวนนี้ตัดขาดทางภูมิศาสตร์จากประชากรเสือโคร่งกลุ่มอื่น ๆ หรือเรียกได้ว่าเป็นเกาะเสือโคร่งที่ยีนพูล (gene pool) หรือแหล่งพันธุกรรมร่วมที่บ่งชี้ถึงความหลากหลายทางพันธุกรรมกำลังลดลงอย่างอันตราย

แต่ในช่วงหลายสัปดาห์ที่รฆุกับผมออกค้นหาเจ้าที12 นั้น มีการดำเนินงานในพื้นที่อื่นควบคู่ไปด้วยเพื่อค้นหาคู่ผสมพันธุ์ที่เหมาะสมให้กับมัน ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญยิ่งในโครงการขยายพันธุ์แบบเจาะจงที่ใช้เวลาพัฒนานานหลายปี และเป็นภารกิจร่วมระหว่างเจ้าหน้าที่อนุรักษ์กับทีมนักนิเวศวิทยาโมเลกุลและผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุศาสตร์ ซึ่งทั้งหมดกำลังทำงานร่วมกันเพื่อช่วยเหลือเสือโคร่งในสิมิลิปาลไม่ให้ผสมพันธุ์กันเองแบบเลือดชิดจนสูญสิ้นเผ่าพันธุ์
ในหลายแง่มุม เสือโคร่งของอินเดียเผชิญความท้าทายแบบเดียวกับเหล่าแมวใหญ่ทั่วโลก กล่าวคือ ถูกล่าจนใกล้สูญพันธุ์โดยพรานล่าสัตว์เป็นรางวัล ท่ามกลางการทำลายและแยกแบ่งถิ่นอาศัยอย่างไม่หยุดยั้งในทศวรรษ 1970 ความตระหนกต่อการลดลงของชนิดพันธุ์อันเป็นสัญลักษณ์นี้ นำไปสู่การก่อตั้งระบบเขตสงวนภายใต้การบริหารจัดการของรัฐ ทว่าเขตสงวนเหล่านั้นขาดการประสานงานด้านการเฝ้าระวังและการบังคับใช้กฎหมาย ล่วงถึงปี 2005 อินเดียจึงจัดตั้งหน่วยงานกลางโดยเฉพาะมา คือองค์การอนุรักษ์เสือโคร่งแห่งชาติ หรือเอ็นทีซีเอ (National Tiger Conservation Authority: NTCA)
แนวคิดสำคัญประการหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังระบบเขตสงวนดังกล่าวคือ โดยทั่วไปแล้ว เหล่าเสือโคร่งจะต้องสามารถเดินทางข้ามไปมาระหว่างเขตคุ้มครองต่างๆ ได้โดยใช้ช่องทางที่เรียกว่า ฉนวนธรรมชาติ (natural corridor) หรือผืนป่าที่เชื่อมต่อกันและพื้นที่อื่นๆ ที่มีเหยื่อชุกชุม ฉนวนพวกนี้มีประโยชน์หลายอย่าง แต่ที่สำคัญที่สุดคือส่งเสริมให้เกิดการผสมพันธุ์ระหว่างประชากรเสือโคร่งที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความหลากหลายทางพันธุกรรมสิมิลิปาลซึ่งมีขนาดราว 2,750 ตารางกิโลเมตร เป็นเขตสงวนขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของอินเดีย เขตสงวนใกล้เคียงที่อยู่ใกล้ที่สุด ซึ่งได้แก่สัตโกสิยาทางตะวันตกเฉียงใต้ และซุนดรบันทางตะวันออกนั้น ล้วนอยู่ห่างออกไปราว 200 กิโลเมตรซึ่งไม่ไกลเกินเสือโคร่งจะเดินถึง

แต่ในเขตสงวนสัตโกสิยาไม่มีเสือโคร่งเหลืออยู่แล้ว และไม่มีฉนวนที่เหมาะสมเชื่อมระหว่างสิมิลิปาลกับซุนดรบัน พื้นที่ระหว่างเขตสงวนสองแห่งนี้ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เมืองหรือเกษตรกรรม แทบไร้พื้นที่ป่าปกคลุมซึ่งเสือชอบใช้เป็นที่หลบซ่อน
เมื่อเอ็นทีซีเอสำรวจเสือโคร่งในธรรมชาติทั่วอินเดียในปี 2006 จำนวนที่นับได้อยู่ที่ราว 1,400 ตัว ลดลงจากที่เคยคาดประมาณไว้ที่ 40,000 ตัวเมื่อหนึ่งศตวรรษก่อนหน้า ในสิมิลิปาล ประชากรเสือโคร่งลดลงต่ำสุดเหลือเพียงสี่ตัวเมื่อปี 2014 ในจำนวนนี้มีเพศผู้เพียงตัวเดียว แต่ในปี 2015 หรือราวหนึ่งปีก่อนมันจะตาย เสือโคร่งเพศผู้ดังกล่าวได้ให้กำเนิดที12 ที่มีแถบขนสีดำแปลกประหลาดอยู่เป็นส่วนใหญ่ จากนั้นมา ที12 ก็ให้กำเนิดลูกเสือเพศผู้อีกหลายตัว
ประชากรเสือโคร่งของอินเดียเริ่มฟื้นตัวในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นผลจากงานอนุรักษ์ของเอ็นทีซีเอกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ อ้างอิงจากการประเมินในปี 2022 ประเทศนี้มีเสือโคร่งอาศัยอยู่มากกว่า 3,100 ตัว และระหว่างที่ประชากรในสิมิลิปาลค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ แต่สม่ำเสมอในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ในตอนแรก จำนวนเสือที่เพิ่มขึ้นดูเหมือนโลกใบเล็กของเรื่องราวความสำเร็จระดับชาติ แต่ในไม่ช้า บรรดาผู้จัดการเขตสงวนก็เริ่มสังเกตเห็นลูกเสือโคร่งจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ มีแถบขนสีเข้มแบบเดียวกับที12 การกลายพันธุ์ดังกล่าวนี้เท่าที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้และนักพันธุศาสตร์พอจะบอกได้ ถือว่าไม่อันตราย เป็นแค่ความแปลกด้านความสวยงามอันเป็นผลจากความผิดเพี้ยนของดีเอ็นเอที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญตามธรรมชาติ

แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า มันเป็นสิ่งบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงปัญหาที่แท้จริงอย่างหนึ่งด้วย หากการกลายพันธุ์นี้สามารถถ่ายทอดสู่ประชากรเสือโคร่งในสิมิลิปาลได้อย่างรวดเร็ว โดยเสือทั้งหมดมีองค์ประกอบทางพันธุกรรมคล้ายคลึงกันมากเพราะเกิดการผสมพันธุ์แบบเลือดชิดอย่างแพร่หลาย ความผิดปกติที่ร้ายแรงกว่านี้ก็ย่อมสามารถถ่ายทอดได้รวดเร็วเช่นกัน ตอนนี้ภารกิจเร่งด่วนของผู้เชี่ยวชาญเสือโคร่งระดับแนวหน้าจำนวนหนึ่งของอินเดีย ได้เบนจากการฟื้นฟูจำนวนเสือโคร่งมาเป็นการทำลายวงจรการผสมพันธุ์แบบเลือดชิดแทนก่อนที่จะสายเกินไป
การเป็นพ่อสื่อแม่ชักทางพันธุกรรมให้เสือโคร่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพื่อเสาะหาคู่ผสมพันธุ์ที่เหมาะสมที่สุดให้กับที12 และลูกหลานของมัน ผู้หวังจะกอบกู้สิมิลิปาลต้องเข้าใจถึงความแตกต่างของเสือโคร่ง ไม่เพียงแค่ในหมู่เสือโคร่งที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน แต่ยังรวมถึงเสือโคร่งในอดีตด้วย

นั่นคือสิ่งที่นำพานักนิเวศวิทยาโมเลกุล อุมา รามกฤษณัน ไปยังห้องจัดแสดงสัตว์ที่ได้จากการล่าเป็นรางวัลและชิ้นส่วนต่างๆ อันมืดสลัวในบ้านหลังใหญ่โอ่อ่าหลังหนึ่งในอกัลตรา เมืองเล็กๆ ทางตอนกลางของอินเดีย รามกฤษณันซึ่งเป็นนักสำรวจของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก และหัวหน้าห้องปฏิบัติการที่ศูนย์วิทยาศาสตร์ชีวภาพแห่งชาติในเมืองเบงคลูรู (บังคาลอร์) ได้รับเชิญไปที่นั่นโดยอนุปัม สิงห์ สิโสดิยา ซึ่งครอบครัวของเขาเคยมีบทบาทเป็นหัวหน้าชนเผ่าผู้ดูแลหมู่บ้าน 51 แห่ง รวมทั้งผืนป่าและเรือกสวนที่อยู่รายรอบ โดยทำหน้าที่ปกป้องชาวบ้านจากสัตว์ป่าอันตราย ครอบครัวของเขามีส่วนในการล่าสัตว์ และห้องดังกล่าวก็เต็มไปด้วยสัตว์ที่สตัฟฟ์ไว้ ทั้งแบล็กบักหรือแอนทิโลปอินเดีย หมีสลอท และแอนทิโลปสี่เขา ที่รวบรวมไว้ระหว่างปี 1920 ถึง 1970 แต่สิ่งที่แผ่อยู่บนโต๊ะตรงหน้ารามกฤษณัน คือหนังเสือโคร่งเบงกอลชุดหนึ่ง หัวของมันยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไร้ที่ติและดูเหมือนกำลังแยกเขี้ยวคำราม
เพื่อตรวจสอบหัวเสือโคร่งตัวนั้นอย่างละเอียด รามกฤษณันกดมีดผ่าตัดลงไปในหนังเสือที่มีอายุราว 80 ปี ด้วยความชำนาญและแม่นยำ เธอเฉือนออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง ใส่ลงไปในขวดแก้วใบเล็กแล้วยกขึ้นดู
“นี่ล่ะขุมทรัพย์ที่แท้จริง” เธอกล่าว

ตอนที่รามกฤษณันเริ่มสร้างฐานข้อมูลดีเอ็นเอ เป้าหมายของเธอคือเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับเสือโคร่งที่ไม่อาจหาคำตอบได้จากการสังเกตพวกมันในภาคสนาม ขณะที่ประชากรหดหายไปเป็นจำนวนมาก เสือโคร่งไม่เพียงสูญเสียอาณาเขตเท่านั้น แต่ยังสูญเสียความหลากหลายทางพันธุกรรมอย่างมีนัยสำคัญด้วย ดีเอ็นเอในอดีตให้เบาะแสสำคัญว่า อาจมีอะไรอื่นอีกบ้างที่ยังหลงเหลืออยู่ในยีนพูล
งานวิจัยของเธอยิ่งสำคัญมากขึ้นในปี 2017 เมื่อเอ็นทีซีเอซึ่งกังวลเรื่องเสือโคร่งแถบขนสีเข้มในสิมิลิปาล ขอให้เธอศึกษาเสือโคร่งในเขตสงวนนั้นอย่างเป็นทางการ ตอนนั้น เจ้าหน้าที่ป่าไม้เห็นชัดแล้วว่า ผลกระทบจากการตัดขาดโดดเดี่ยวของเขตสงวนอยู่ในระดับที่วัดได้แล้ว พวกเขาหวังว่ารามกฤษณันจะสามารถยืนยันสาเหตุทางพันธุกรรม อีกทั้งช่วยพวกเขาหาวิธีแก้ไขด้วย
เมื่อได้ศึกษาเสือโคร่งที่แยกตัวอยู่ในเขตสงวนสิมิลิปาลอย่างใกล้ชิด รามกฤษณันก็ตระหนักอย่างรวดเร็วว่า ยีนซูโดเมลานิซึมซึ่งเป็นยีนด้อยนั้นกำลังแพร่กระจายอยู่ในกลุ่มประชากร เธอบอกว่า การตัดขาดทางพันธุกรรมนี้เปรียบเหมือนระเบิดเวลา หากไม่ได้รับการแก้ไข อาจส่งผลร้ายแรงต่อเสือโคร่งในเขตสงวนแห่งนี้

“เรายังพยายามทำความเข้าใจผลกระทบทั้งหมดของการผสมพันธุ์แบบเลือดชิดนี้อยู่ค่ะ” เธอบอกและเสริมว่า “แต่ที่แน่นอนอย่างหนึ่งคือ การเซาะกร่อนทางพันธุกรรมแบบนี้ไม่มีข้อดีเลย”
ความที่สิมิลิปาลขาดช่องทางเชื่อมต่อกับเขตสงวนอื่นๆ รามกฤษณันจึงแนะนำให้ผู้จัดการสัตว์ป่าระบุเสือโคร่งจากเขตสงวนอื่นสักสองสามตัว แล้วย้ายมาไว้ที่นี่ เมื่อมาอยู่ในสิมิลิปาลแล้ว ก็หวังว่าเหล่าเสือโคร่งเพศเมีย (ผู้จัดการป่าไม้เลือกที่จะย้ายเฉพาะเพศเมียมา) จะผสมพันธุ์กับเจ้าที12 หรือลูกๆ เพศผู้ของมัน ซึ่งเริ่มครอบครองอาณาเขตบางส่วนของที12 แล้ว เนื่องจากโตเต็มวัยและมีลูกของตนเองแล้ว รามกฤษณันบอกว่า การทำเช่นนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความพยายามที่ล่าช้ามานานในการทำให้ยีนพูลของเขตสงวนนี้มีความหลากหลายมากขึ้น
เรื่องและภาพถ่าย ประเสนชิต ยาดัพ
แปล อัครมุนี วรรณประไพ
อ่านเพิ่มเติม : “อีกัวน่าเขียว” เขาพระยาเดินธง ลพบุรี
ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นซึ่งยึดครองพื้นที่มานานกว่า 2 ทศวรรษ
