(ถ้า) รถ EV มือสอง “ถูกลง” จะซื้อเลยไหม? – ต้อง “คิดอะไร” ก่อนซื้อ

(ถ้า) รถ EV มือสอง “ถูกลง” จะซื้อเลยไหม? – ต้อง “คิดอะไร” ก่อนซื้อ

รถยนต์ไฟฟ้า กำลังมีราคาถูกลงเรื่อย ๆ ทำให้ รถยนต์ไฟฟ้ามือสอง ยิ่งถูกลงไปอีก นี่เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับคนที่มีกำลังซื้อไม่มาก ให้เปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าแล้วรึยัง?

รถยนต์ไฟฟ้ามือสอง – ในปี 2008 เทสล่า (Tesla) ได้ขายรถไฟฟ้ารุ่นแรกของบริษัทในราคาหลายล้าน นับตั้งแต่นั้น พวกเขาก็ปรับลดราคาลงมาเรื่อย ๆ ผลการสำรวจจากตลาดรถยนต์ออนไลน์ของสหรัฐฯ ระบุว่ากว่าร้อย 47 ของผู้ซื้อยานพาหนะไฟฟ้า (EV) นั้นต้องการที่จะจ่ายเงินไม่เกิน 40,000 ดอลลาร์เท่านั้น (ราว 1.4 ล้านบาท) ซึ่งเป็นราคาที่มีอยู่เต็มไปหมดในตลาดโลก รวมถึงประเทศไทย

.
ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีก็มีการปรับปรุงตามไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถใช้งานได้จริงมากขึ้นเมื่อเทียบกับรถสันดาป EV สามารถเดินทางไกลหลายร้อยกิโลเมตรได้ด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียว และการชาร์จไฟกลับก็ใช้เวลาน้อยลงเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน อีกทั้งยังเห็นจุดชาร์จที่ผุดขึ้นมาทั่วประเทศ

.
“ตลาดของ EV ถึงจุดเปลี่ยนแล้ว” แรนดี ปาร์กเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของฮุนได มอเตอร์ อเมริกา กล่าวกับ นิวยอร์กไทม์ “ผู้ใช้งานกลุ่มแรกได้เข้ามาแล้ว พวกเขามีรถของเราแล้ว ตอนนี้คุณจึงเริ่มเห็นเราเปลี่ยนไปสู่ตลาดมวลชนมากขึ้น”

.
ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายทั้งฟอร์ด เจนเนอรัลมอเตอร์ และ จีป เองก็ได้ประกาศแผนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่จะขายในราคาไม่เกิน 875,000 บาท และผู้ผลิตทางญี่ปุ่น ทั้ง โตโยต้า หรือ ฮอนด้า ที่ส่งมอบรถยนต์ราคาไม่แพงที่เชื่อถือได้เองก็ประกาศจะเข้าสู่ตลาด EV ด้วยเช่นกัน แม้จะช้าไปบ้างก็ตาม

.
แต่อะไรทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าตก รวมถึงมือสองด้วยเช่นกัน?
ตามข้อมูลของ ‘Kelly Blue Book’ ระบุว่า เทสลา กินสัดส่วนตลาดรถ EV ถึง 51% (ในสหรัฐฯ) ดังนั้นเมื่อ ‘เจ้าตลาด EV’ ทำอะไร ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นจึงเดินตาม เพื่อเป็นไปตามกระแสตลาด แต่อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา เทสลา ได้เลิกจากพนักงานไปจำนวนมาก ทำให้ต้นทุนในการผลิตลดลง

.
แรดกดดันดังกล่าวจึงทำให้รถไฟฟ้าแบรนด์อื่น ๆ ลดราคาลงไปตาม และนั่นทำให้ราคามือสองต้องลดลงไปด้วย ไม่เช่นนั้น ผู้คนจะหันไปซื้อราคามือหนึ่งมากกว่าเนื่องจากเพิ่มเงินไม่มาก บวกกับในช่วงที่ผ่านมากระแสรถยนต์ไฟฟ้ามีความชะลอตัวลงไปมาก เป็นเพราะเมื่อมีผู้ใช้ EV มากขึ้นก็จะมีการแบ่งปันประสบการณ์ในการใช้รถมากขึ้น ซึ่งก็ทำให้ผู้ซื้อรับรู้ข้อดีข้อเสีย และใช้เวลาในการตัดสินใจมากขึ้น

.
นักวิเคราะห์หลายคนระบุว่า ปัจจัยเหล่านั้นถูกเสริมด้วยการที่ตลาด EV มีตัวเลือกมากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันสูง ผู้ผลิตจึงพยายามสร้างข้อได้เปรียบด้านราคา

.
ทว่าปัญหาใหญ่ของรถยนต์ไฟฟ้าคือ ‘แบตเตอรี่’ และ ‘จุดชาร์จ’

.
จากการสำรวจที่เผยแพร่ของ นิวยอร์กไทม์ ระบุว่าผู้บริโภคมีความกังวลสองปัจจัยใหญ่ ๆ คือ ราคา และการหาที่ชาร์จไม่ได้ ทำให้หลายคนลังเลที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ในสำหรับด้านราคานั้น มีแนวโน้มว่าจะลดลงเรื่อย ๆ และทางแบตเตอรี่ที่ใช้ลิเธียมเองก็ลดลงในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

.
แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะราคาพุ่งขึ้นไปอีกเนื่องจากความต้องการที่สูงขึ้น และถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าการผลิตแบตเตอรี่นั้นไม่ค่อยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเท่าที่ควร ซึ่งเป็นเรื่องที่ยังคงถกเถียงกันอยู่ ทั้งนี้ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่เองก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ได้อย่างน่าประทับใจ

.
“แบตเตอรี่ของรุ่น EV ที่แตกต่างกันมีอัตราการเสื่อมสภาพที่แตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปแล้วอาจอยู่ในช่วง 1%-3% ในเวลา 1 ปี” แมตต์ สต็อก (Matt Stock) ผู้อำนวยการด้านผลิตภัณฑ์ของ Benchmark Mineral Intelligence กล่าว

.
“ในอัตรานี้พวกมันอาจจะมีความจุระหว่าง 90%-70% ของความจุเดิมหลังผ่านไป 10 ปี แต่คาดว่าสำหรับ EV สมัยใหม่ส่วนใหญ่ แบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่านี้” พร้อมเสริมว่า “เมื่อรถยนต์ไฟฟ้าปรากฏตัวครั้งแรก ผู้คนค่อนข้างลังเลเล็กน้อยที่จะซื้อรถยนต์มือสอง เนื่องจากความกังวลเรื่องแบตเตอรี่”

.
แต่สำหรับหลาย ๆ คน ราคากับแบตเตอรี่ไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่ต้องพิจารณา แต่ต้องรวมถึงสถานที่ชาร์จด้วย ผู้คนจำนวนมากอาศัยอยู่ในคอนโดหรืออพาร์ทเมนต์ ซึ่งต้องพึ่งพาที่ชาร์จสาธารณะและต้องใช้เวลาสักพักเพื่อชาร์จให้เต็ม ทำให้ไม่สะดวกเท่าที่ควร

.
อีกทั้งยังเกิดปัญหาเมื่อต้องขับรถท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว ที่จุดชาร์จมักเต็มอยู่เสมอทำให้เสียเวลาเพิ่มขึ้น สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นตัวตัดสินใจในการซื้อหรือไม่ซื้อได้ ผู้ขายจึงพยายามลดราคาเพื่อจูงใจให้มากขึ้น ในขณะที่รถถยนต์สันดาปถูกพิสูจน์มาแล้วทั้งการใช้งาน ระยะทาง และความสะดวก

.
แต่ถ้าคุณยังต้องการรถยนต์ไฟฟ้ามืออยู่ คำแนะนำเหล่านี้อาจช่วยได้
ซึ่งต้องเน้นที่แบตเตอรี่ โดยทั่วไปแล้ว EV จะมาพร้อมกับการรับประกันที่ยาวนาน 8 ปี (บางที่ 10 ปี) หรือราว 100,000 กิโลเมตรขึ้นอยู่กับว่าสิ่งใดถึงก่อน ในช่วงเวลาดังกล่านั้น หากแบตเตอรี่ทำงานผิดปกติ ผู้ผลิตจะทำการเปลี่ยนแบตลูกใหม่ให้ เช่นเดียวกันผู้ผลิตบางรายจะรับประกันเพิ่มว่าหากแบตเตอรี่มีความจุต่ำกว่าเกณฑ์ระดับหนึ่ง เช่น 70% ก็จะทำการเปลี่ยนแบตใหม่ให้เช่นกัน

.
ดังนั้นสิ่งที่จะต้องพิจารณาอย่างจริงจังคือ รถยนต์ไฟฟ้าคันดังกล่าวถูกใช้มานานเท่าไหร่แล้ว วิ่งไปกี่กิโลเมตร และเหลือระยะเวลารับประกันอีกกี่ปี ผู้ซื้อสามารถให้ผู้ขายชาร์จรถให้เต็ม 100% แล้วดูระยะทางที่วิ่งได้มีการลดลงมากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับรถมือหนึ่้ง

.
รวมถึงการขอทดลองขับ จะช่วยให้เราสามารถประเมินได้ง่าย ๆ ว่าแบตเตอรี่ของคันดังกล่าว ‘ลดลง’ เร็วเกินไปหรือไม่ ถ้าเป็นไปได้พาคนรู้จักที่มีความรู้เกี่ยวกับรถไฟฟ้าไปช่วยตัดสินใจ รวมถึงตรวจสอบความผิดปกติในอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

.
แม้รถไฟฟ้าจะมีชิ้นส่วนและความซับซ้อนน้อยกว่ารถสันดาปมาก แต่ก็อาจเกิดปัญหาได้เช่นกัน คงไม่มีใครต้องการเสียเวลาไปกับการเข้าศูนย์เพิ่มเติม แม้จะอยู่ในระยะประกันก็ตาม นอกจากนี้พิจารณาจากไลฟ์สไตล์ของคุณเองว่าขับรถมากน้อยเพียงใด มีเวลาชาร์จไหม ขับทางไกลเป็นประจำหรือไม่ หรืออื่น ๆ

.
การพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณเสียค่าใช้จ่ายน้อยลงในการเลือกยานพาหนะ

.
“ตอนนี้ เรามาถึงจุดที่ใครก็ตามที่ต้องการรถยนต์ไฟฟ้า ก็สามารถซื้อคันที่ใช้งานได้จริง” รีเบคก้า ลินด์แลนด์ (Rebecca Lindland) ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายข้อมูลของ Cars Commerce กล่าว

สืบค้นและเรียบเรียง วิทิต บรมพิชัยชาติกุล

ที่มา
https://www.popsci.com/technology/buying-used-ev/
https://www.nytimes.com/2024/06/03/business/electric-cars-becoming-affordable.html
https://fortune.com/2024/04/16/used-electric-car-ev-market-value-falling-lease-ownership-assets-adoption/


อ่านเพิ่มเติม รถยนต์ไฟฟ้า – รวมคำถามที่ต้องสนใจก่อนตัดสินใจใช้งาน

 

Recommend