ชีวิตท่ามกลางซากปรักหักพังของเมืองโมซูล
เมืองโมซูลถูกยืดคืนโดยกองกำลังอิรักอย่างเป็นทางการ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา กลายเป็นซากปรักหักพัง หลังสิ้นสุดปฏิบัติการทวงคืนเมืองจากกลุ่มก่อการร้ายไอเอสที่กินระยะเวลานาน 9 เดือน ผู้คนหลายพันคนเสียชีวิต อีกราว 900,000 คนต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่น เมื่อบ้านเรือนของพวกเขาถูกทำลายย่อยยับจากการต่อสู้
เฟลิเป้ ดานา ช่างภาพจากสำนักข่าวเอพี เคยกล่าวถึงสถานการณ์ในเมืองโมซูล ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอิรักไว้ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ว่าชัยชนะของกองกำลังอิรักครั้งนี้เป็นแค่ชัยชนะของปฏิบัติการเท่านั้น ไม่ใช่ชัยชนะของสงคราม “แม้ว่าทุกอย่างจะสิ้นสุดลงในวันนี้ก็ตาม แต่ผมเองไม่คิดว่าผู้คนจะลุกขึ้นมาซ่อมแซมบ้านเรือน และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติเช่นเดิมได้ มันจะไม่เป็นเช่นนั้น”ดานากล่าวกับเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก สิ่งที่เขากังวลไม่ใช่แค่การบูรณะเมืองและจิตใจของผู้คน แต่ยังรวมถึงแนวคิดแบบกลุ่มไอเอส ที่อาจกลายเป็นอันตรายมากยิ่งขึ้น
การเดินทางเข้าไปถ่ายทอดบรรยากาศของพื้นที่อันตรายเป็นเรื่องท้าทาย “คุณต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง เพราะทุกจุดคือความเสี่ยงต่อชีวิต” เขากล่าว “การเข้าไปถึงเมืองยากมาก เราถูกจำกัดทุกอย่างโดยทหาร มีหลายครั้งที่คุณได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้แล้ว แต่หากอะไรๆไม่เป็นแบบที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ คุณก็ต้องออกมาจากสถานที่นั้นให้ไวที่สุด”
อย่างไรก็ดี แม้จะถูกจำกัดการทำงาน แต่ผลงานของดานาได้ถ่ายทอดความจริงของเมืองโมซูลออกมาให้โลกได้เห็น ตัวเขามุ่งความสนใจไปที่ผู้คนมากกว่าสงคราม มองผ่านซากของรถยนต์ที่ถูกเผา กลุ่มควันสีดำจากการทิ้งระเบิด และซากของอาคารที่ถูกโจมตี ดานามองเห็นหญิงสาวและเด็กๆชาวเมืองโมซูลที่ต้องมีชีวิตอยู่ท่ามกลางสงคราม “ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเมืองเป็นเรื่องน่าตกใจ แต่สำหรับผมความน่าสนใจที่สุดคือผู้คนที่ต้องอาศัยอยู่ภายในนั้น” ดานากล่าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเด็กๆ ภาพของเด็กผู้ชายขี่จักรยานผ่านซากตึกถล่ม หรือเด็กผู้หญิงในชุดสีชมพูกำลังไกวชิงช้าเล่น ในพื้นที่สงคราม สำหรับเขาสิ่งเหล่านี้ราวกับเป็นเรื่องเหนือจริง ฉากเลวร้ายเหล่านี้ดูราวกับเป็นเรื่องธรรมดาและไม่ยากที่เด็กๆเหล่านี้จะผ่านมันไปได้ แต่ก็ไม่ใช่กับทุกคนที่สามารถลืมฝันร้ายได้ลง
ย้อนกลับไปเมื่อ 2 วันก่อน เด็กชาย 2 คนผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องกันถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาล จากอาการบาดเจ็บเพราะถูกยิงพวกเขาหิวโหย และเอาแต่กรีดร้องอย่างไม่อาจควบคุมได้ ทั้งคู่บอกว่าพ่อและแม่ของตนถูกฝังทั้งเป็นอยู่ใต้ซากอาคารพวกเขาอ้อนวอนขอให้ใครก็ตามได้โปรดเดินทางไปช่วย “พวกเขากรีดร้องอยู่อย่างนั้น” ดานาเล่า “ผู้คนที่โรงพยาบาลยื่นบิสกิตและน้ำให้เพราะทั้งคู่ดูหิวโหยมาก แต่พวกเขาก็ยังคงกรีดร้องขณะกินอาหารไปด้วย สำหรับเด็กๆพวกนั้นแล้ว ผมไม่รู้จริงๆว่าอนาคตของพวกเขาจะเป็นเช่นไร”
เรื่องราวทำนองนี้บ่งชี้ว่าการปลดแอกจากไอเอสไม่ใช่เรื่องง่าย “มันเป็นเรื่องซับซ้อนมากๆ การต่อสู้ที่กินระยะเวลานานผู้คนเป็นพันล้มตาย เด็กๆจำนวนมากขาดพ่อแม่ พ่อแม่สูญเสียลูก สิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีเหตุผลที่จะเฉลิมฉลองการล่มสลายของไอเอสเลยสักนิด” ดานากล่าว
และในอีกหลายเดือนข้างหน้า ตัวเขามีแผนที่จะเดินทางกลับไปยังเมืองโมซูลอีกครั้ง เพื่อถ่ายทอดชีวิตหลังสงคราม
“ผมจะไปชมการก่อร่างสร้างเมืองใหม่ของผู้คน พวกเขาจะกลับมามีชีวิตเหมือนเดิมกันอย่างไร เมื่อไม่มีกลุ่มไอเอสแล้ว” เขากล่าว “ในครั้งนี้จะมุ่งเน้นไปที่ผลกระทบจากสงครามครับ”
เรื่อง อเล็กซานดรา เกโนวา
ภาพ เฟลิเป้ ดานา
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามและความรุนแรง
เมื่อสงครามกลางเมืองจบ หมู่บ้านแห่งนี้เหลือเพียงผู้หญิงและเด็ก