ใกล้วัน หวย ออก ป้าอ้วน ศิวณัฐ รัชตดำรงรัตน์ ต้องคอยบอกให้คนที่อยากได้เลขเด็ดจากเธอ ไปบนบาน “พระเจ้าทันใจ”
ด้วยธูปสามดอก แล้วเขย่ากระบอกเสี่ยงเซียมซีหาเลขเอาเอง “เบื่อค่ะ มีแต่คนมาขอ หวย ฉันไม่ได้ใบ้หวยนะคะ” เธอบอกด้วยนํ้าเสียงหงุดหงิด
นับจากวันที่เราพูดคุยกัน เธอถูก หวย ติดกัน 29 งวดจนกลายเป็นข่าวดัง ป้าอ้วนตกเป็นเป้าของขบวนนักแสวงโชคที่แห่มาเยือนวัดพระธาตุดอยคำ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ราวสิบกิโลเมตร เธอเป็นคณะกรรมการวัดและช่วยทางวัดจำหน่ายวัตถุมงคลในซุ้มใกล้ ๆ กับศาลาประดิษฐานพระเจ้าทันใจ พระพุทธรูปเก่าแก่อายุ กว่า 500 ปี
ป้าอ้วนเชื่อว่า “โชคลาภ” ที่เธอได้รับมาจากอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าทันใจและ “เสบียงบุญ” ที่ สะสมมาหากคืนไหนฝัน วันรุ่งขึ้นเธอจะตีความเรื่องราวในฝันออกมาเป็นตัวเลข โดยอาศัยตำราทำนายที่อ่านเป็นประจำเห็นคนตายก็เป็นศูนย์ ดอกบัวนี่เป็นเก้าอยู่แล้ว ที่รู้เพราะชอบอ่านค่ะ ของพวกนี้ต้องศึกษา” ป้าอ้วนว่า
ที่ผ่านมา เธอเคยให้เลขเด็ดกับคนที่แวะเวียนมาเยือนแต่ระยะหลังต้องปฏิเสธ พอกันที “เค้าบ่นว่าซื้อเลขป้าอ้วนไม่เคยถูกเลย ทำ ไมป้าอ้วนถูกเอา ๆ หาว่าป้าอ้วนหลอกลวง ไปซื้อเลขมาโปรโมตวัด ฉันจะทำอย่างนั้นทำไม เค้าไม่เห็นนี่ว่าฉันเล่นยังไง” เธอบ่น
“แล้วเล่นยังไงครับ” ผมถาม
ป้าอ้วนเดินไปที่โต๊ะทำงาน ไขลิ้นชัก ควักลอตเตอรี่ปึกใหญ่ขึ้นมาวางบนโต๊ะ คลี่เป็นแผง ผู้คนที่ผ่านไปมาเหลือบตามอง “นี่ตรวจแล้วไม่ถูก นี่ยังไม่ได้ตรวจนี่อีกเยอะ” เธอพลิกทีละปึก “ฉันเล่นงวดละหลายหมื่นบางทีก็เป็นแสน นี่ไง โอกาสมันก็ต้องเยอะ” เธอไม่วายเหน็บว่า เวลาไม่ถูกรางวัลไม่เห็นมีใครมาทำข่าว
“ทำไมชอบเล่น หวย” ผมถามต่อ
“ก็ฉันชอบท้าทาย” เธอดูผ่อนคลายลง “เวลาฝันแล้วเอามาตีเป็นเลข ก็ได้ลุ้นว่าจะถูกไหม มันท้าทายดีนะคุณ”
ตามที่มีบันทึก หวย บนแผ่นดินสยามมากับคนจีนโพ้นทะเล (ซึ่งเล่นมาตั้งแต่ครั้งอยู่ที่ประเทศจีน เป็นการพนันทายป้ายแผ่นไม้ บนนั้นเขียนเป็นรูปดอกไม้ชนิดต่างๆ เลยเรียกกันติดปากว่า “ฮวยหวย” แปลว่า “ชุมนุมดอกไม้”) ในสมัยรัชกาลที่ 3 ช่วงที่เศรษฐกิจฝืดเคืองผู้คนไม่จับจ่ายใช้สอยและนำเงินไปซ่อนในไหฝังดิน รัชกาลที่ 3 จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงหวยขึ้นในเดือนยี่ ปีมะแม พ.ศ. 2375 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตามคำกราบบังคมทูลของคหบดีจีนรายหนึ่ง โรงหวยยุคนั้นออกรางวัลโดยใช้แผ่นป้ายเขียนอักษรไทย 34 ตัว เรียกว่าหวย ก.ข. ออกวันละหนึ่งครั้ง
โรงหวยสร้างรายได้ให้รัฐมากพอ ๆ กับสร้างนักพนัน หวย ซึ่งติดกันงอมแงม มีเจ้ามือหวยเถื่อนตามต่างจังหวัดเกิดขึ้นมากมาย จนล่วงเข้าสู่สมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 จึงเริ่มทยอยยกเลิกอากรทั้ง “บ่อน” และตามมาด้วยยกเลิกอากร “โรงหวย” ช่วงรอยต่อก่อนปิดฉากยุคโรงหวย เป็นห้วงเวลาของอิทธิพลตะวันตกบนแผ่นดินสยาม และเป็นครั้งแรกของการออกสลากกินแบ่ง เฮนรี อาลาบาสเตอร์ ข้าราชการอังกฤษในราชสำนักไทย
ผู้ถวายงานใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวบันทึกไว้ว่า วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2417 ซึ่งตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จ พระพุทธเจ้าหลวง ฝ่ายทหารมหาดเล็กได้เชื้อเชิญบรรดาพ่อค้าฝรั่งให้นำสินค้าหรือข้าวของแปลกๆ มาจัดแสดง นิทรรศการ “โรงมุเซียม” ระหว่าการขนส่งสินค้าเกิดแตกหักหลายชิ้น ทางฝ่ายผู้จัดงานนึกเห็นใจ จึงเปิดโอกาสให้พ่อค้าฝรั่งเหล่านั้นออกตั๋ว ‘ลอตเตอรี่’ ตามแบบยุโรปเพื่อให้คนซื้อได้เสี่ยงโชครับเป็นของหรือเงินรางวัล
นับจากนั้น ธรรมเนียมการออกสลากกินแบ่งก็ดำเนินเรื่อยมา ส่วนมากเป็นไปเพื่อระดมทุนให้สาธารณกุศล ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีการออกสลากเสือป่าล้านบาท ราคาใบละหนึ่งบาทจำนวนล้านฉบับ (งวดหนึ่งโดนผู้ดูแลการออกสลากโกงรางวัลเสียเอง กลายเป็นข่าวเกรียวกราว) ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 มีการออกลอตเตอรี่รัฐบาลสยามชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปจากนโยบายลดเงินรัชชูปการ (เงินที่จ่ายเพื่อไม่ต้องเกณฑ์ทหาร) สลากกินแบ่งทำหน้าที่ระดมทุนได้ดี จนกระทั่งรัฐบาลเห็นชอบจัดตั้งสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลขึ้นใน พ.ศ. 2482 เพื่อระดมเงินจากการออกสลากเป็นรายได้รัฐบาลอีกทางหนึ่ง
ตลาดลอตเตอรี่ที่อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เช้าวันที่21 ตรงกับวันศุกร์และวันพระ ลานจอดรถละลานตาไปด้วยรถยนต์สารพัดชนิด สองฝั่งถนนหลวงมีรถจอดเรียงเป็นแถวยาว ควันไฟลอยโขมงมาจากตลาดนัดข้างๆ ใต้โรงเรือนหลังคาสูงตรงนั้น ผู้คนเบียดเสียด ส่งเสียงอื้ออึงต่อรองต่อราคา สินค้าบนแผงไม่ใช่ของที่เราพบเห็นกันตามตลาดนัด หากเป็นลอตเตอรี่ทั้งนั้น มีทั้งแบบเป็นเล่ม (100 คู่) และแยกขาย ในราคาขายส่งให้พ่อค้าแม่ขายรายย่อยที่มาจับจ่ายเพื่อนำไปขายต่อ ในตู้กระจกหลายใบมีเงินสดปึกหนาวางอยู่
ตลาดแห่งนี้จะคึกคักทุกวันที่ 4-6 และ 19-21 ของทุกเดือน พ่อค้าแม่ค้าลอตเตอรี่จะเดินทางจากกรุงเทพฯ มาขายที่นี่ด้วยตัวเอง ตลาดค้าส่งแบบนี้นอกจากแถวสนามบินนํ้า จังหวัดนนทบุรี และสี่แยกคอกวัว ซึ่งอยู่ใกล้กับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลทั้งที่ใหม่และที่เดิมแล้ว ก็มีที่อำเภอวังสะพุงนี้อีกแห่งเดียวที่เป็นแหล่งกระจายลอตเตอรี่สู่ภูมิภาค
เลขเด็ดงวดนี้ได้แก่ 87 และ 88 เลขพระชนมายุของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สนนราคาอยู่ที่ 10 ใบ 700 บาท หรือตกคู่ละ 140 บาท ส่วนอีกเลขเป็นเลขเครื่องของเฮลิคอปเตอร์ที่เพิ่งตกและมีนายทหารเสียชีวิตเป็นข่าวเมื่อไม่กี่วันก่อน ราคาเกินร้อยเหมือนกัน “เห็นไหมคะราคาที่ตลาดขายส่งก็มาเกินราคาแล้ว” ผู้ซื้อคนหนึ่งบอก “แล้วจะให้เราขายตํ่ากว่านี้ได้ยังไง”
มูลค่าของลอตเตอรี่ขึ้นอยู่กับความนิยมตัวเลขในช่วงนั้น ข่าวสารบ้านเมืองเป็นเชื้อฟืนชั้นดีที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้ลอตเตอรี่บางเลข ราคาขึ้นลงตามอุปสงค์และอุปทานไม่ต่างจากสินค้าโภคภัณฑ์ คนเล่นสนุกกับข่าวสารบ้านเมือง ขณะที่คนขายก็สนุกกับมูลค่าที่เพิ่มขึ้น แต่กระนั้นวงจรสลากเกินราคากลับสะท้อนให้เห็นความเหลื่อมลํ้าและความเอารัดเอาเปรียบ
แม้จะมีสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นต้นธาร แต่วงจรลอตเตอรี่ก็อยู่ภายใต้เงาสีเทา (ค่อนข้างมืด) ที่คนขายทุกคนเรียกกันว่า “5 เสือ” เป็นบริษัทนิติบุคคล “ระดับบิ๊ก” 5 แห่ง มีหน้าที่รับลอตเตอรี่จากสำนักงานสลากฯ แล้วกระจายลงไปสู่รายย่อยตามลำดับ บริษัททั้งห้านี้มีเจ้าของจริง ๆ เพียงไม่กี่คน และเป็นคนที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับนักการเมืองระดับชาติ (กระนั้นในปีที่ผ่านมา มีนายทหารคนหนึ่งพุ่งขึ้นมาคว้าโควตาลอตเตอรี่ชุดใหญ่ไปจำหน่าย และกลายเป็น “ผู้ยิ่งใหญ่” แห่งวงการลอตเตอรี่ย่านสี่แยกคอกวัวอีกคน) 5 เสือ ดังกล่าวจะได้ทั้งโควตาลอตเตอรี่จากสำนักงานสลากฯ รวมทั้งรับซื้อลอตเตอรี่ต่อจากคนที่ได้รับโควตา ทำให้ลอตเตอรี่ส่วนใหญ่ที่พิมพ์ตกอยู่ในมือของพวกเขา
เมื่อมีลอตเตอรี่จำนวนมากอยู่ในมือ จนกลายเป็นกึ่งผูกขาด พวกเขาจึงสามารถสลับและจัดเป็นชุดได้แทบจะตามอำเภอใจ แน่นอนว่าเลขบนลอตเตอรี่แต่ละงวดมีทั้งเลขที่ขายไม่ค่อยได้ (อย่างเลข 0 เลขที่เพิ่งออกรางวัลหรือเลขเบิ้ล) และเลขยอดนิยม วิธีกระจายเลขพวกนี้คือจัดชุดให้คละกัน แล้วส่งขาย ทำให้ลูกค้าที่มาซื้อต่อไม่มีสิทธิเลือกตัวเลข เป็นการผลักภาระให้ผู้ขายรายย่อยเนื่องจากลอตเตอรี่ส่วนใหญ่อยู่ในมือคนไม่กี่คนพวกเขาจึงสามารถเพิ่มราคาได้ตามใจ พ่อค้าคนกลางอาจบวกราคาลอตเตอรี่เพิ่มขึ้นนิดหน่อย (สักสองถึงสามบาท) แล้วขายต่อไปยังพ่อค้าแม่ค้าที่จะเพิ่มราคาและขายต่อไปเป็นทอด ๆ และกว่าจะไปถึงมือผู้ค้ารายย่อยก็เกินราคาที่ระบุหน้าสลากไปนับสิบบาท
ผลการสำรวจชิ้นหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ชี้ว่า กว่าจะมาถึงมือนักเสี่ยงโชค ผู้ซื้อลอตเตอรี่ต้องจ่ายเงินส่วนเกินเหล่านี้รวมแล้วประมาณ 17,000 ล้านบาทต่อปี เงินจำนวนมหาศาลนี้ตกอยู่ในมือคนไม่กี่คน
บรรพต จุลพล เป็นทั้งกำนันบ้านศรีเจริญ จังหวัดเลย และ “เถ้าแก่” ลอตเตอรี่ผู้ครํ่าหวอดในวงการมากว่า 15 ปี เขาหัวเราะร่วนก่อนพูดว่า “ไม่มีใครโค่นลงหรอกครับ แม้แต่ทหารในยุคนี้ คิดดูสิว่าใหญ่ขนาดไหน” เขาพูดถึง 5 เสือ “แล้วพอมาถึงคนขายรายย่อย เดินขายก็ขายยาก เพราะตำรวจจับหาว่าขายสลากเกินราคา”
สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลพยายามแก้ไขภาพลักษณ์กึ่งผูกขาดด้วยการออกระบบ ‘โควตา’ ให้ผู้ค้ารายย่อยมาลงทะเบียนเพื่อรับสลากในราคาจากโรงพิมพ์ (74 บาท) แต่พ่อค้าแม่ขายรายย่อยหลายรายบอกว่า นั่นเป็นเพียงปาหี่ “ตำบลเลยวังไสย์ส่งชื่อไปสามสี่ร้อยคน ได้มาคนเดียว บางคนไปลงชื่อได้คิวที่พันกว่า แต่ลำดับโควตาได้ลำดับที่สามแสนกว่า แล้วจะไม่ให้เราสงสัยเรื่องความโปร่งใสได้ยังไงครับ” บรรพตตั้งคำถาม
บรรพตไต่เต้าจากเด็กขายสลากมาจนถึงเถ้าแก่ (ลงทุนรับลอตเตอรี่มาแล้วกระจายให้ลูกน้องไปเดินขาย แบ่งรายได้ตามจำนวนสลากที่ขายได้ ไม่รับคืน) ทุกวันนี้ในแต่ละงวดเขาลงทุนประมาณ 10-20 ล้านบาทเป็นอย่างตํ่า แน่นอน เขายอมรับว่าเป็นคนหนึ่งในวงจรที่ทำให้ราคาสลากสูงขึ้น “ผมยอมรับว่ากินเพิ่ม แต่ไปถามได้เลย คนที่เป็นเถ้าแก่ย่อย ๆ อย่างพวกผม กินกันอย่างมากก็ใบละบาทเดียวเท่านั้น” เขาบอก
วัตถุประสงค์แรกเริ่มของการออกลอตเตอรี่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก มักเป็นการระดมทุนเพื่อช่วยเหลือกิจกรรมทางสังคมที่งบประมาณรัฐลงไปไม่ถึง แต่ลอตเตอรี่ในประเทศไทยมักถูกมองว่าเป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์โดยเฉพาะในภาคการเมือง รัฐบาลยุคหนึ่งเคยนำหวย ‘ใต้ดิน’ ขึ้นมาอยู่ ‘บนดิน’ นัยหนึ่งคือนำเงินนอกระบบมาเป็นรายได้ให้รัฐบาล และอีกนัยหนึ่งคือทอนกำลังพวกนอกกฎหมายและทลายอิทธิพล
เงินจากหวยบนดินในรัฐบาลยุคนั้นไม่ต้องผ่านระบบคลัง รัฐบาลจึงสามารถนำเงินไปใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ได้อย่างคล่องตัว ส่วนมากเน้นไปที่การตั้งกองทุนการศึกษาและพัฒนาชนบท แน่นอนว่าเป็นการสร้างคะแนนนิยมไปในตัว ทว่านโยบายนั้นก็มีอีกมุมหนึ่ง เมื่อถูกฝ่ายคัดค้านชี้ว่าเป็นการนำเงินจาก ‘อบายมุข’ ไปใช้เป็นเครื่องมือหาเสียง อีกทั้งเงินนั้นยังเอื้อต่อการทุจริต เรื่องราวบานปลายใหญ่โตกระทั่งศาล ‘บั่นคอ’ รัฐบาลชุดนั้น
เป็นการปิดฉากหวยบนดิน จนกลายเป็นของร้อนที่ไม่มีใครกล้ายุ่งเกี่ยวอีก (แม้หลายรัฐบาลอยากทำใจจะขาด)
ทุกวันนี้ รัฐบาลได้รายได้จากลอตเตอรี่งวดละประมาณ 1,657 ล้านบาท เงินก้อนนี้วิ่งเข้าไปรวมกับเงินอื่น ๆ ในคลัง ก่อนนำไปจัดสรรตามลำดับความสำคัญของนโยบายแต่ละรัฐบาล แต่ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ จากศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่เห็นด้วย และชี้ว่า ระบบนี้ทำให้กองทุนต่าง ๆ ที่ควรได้รับงบประมาณมากขึ้น เช่น เรื่องวัฒนธรรม คนชรา กีฬา ผู้พิการ และคนด้อยโอกาส ไม่มีโอกาสได้รับงบประมาณที่ควรจะได้ “เราอยากให้เป็นสลากเพื่อสังคมค่ะ ไม่ใช่เพื่อการหารายได้ให้รัฐบาล”
เธอยกตัวอย่างระบบสลากกินแบ่งในประเทศอังกฤษที่รายได้ร้อยละ 28 นำเข้ากองทุนจัดสรรเงินรายได้เพื่อสาธารณประโยชน์ มีคณะกรรมการกำกับดูแลว่าจะนำเงินไปใช้อย่างไร และเปิดโอกาสให้ประชาชนลงประชามติว่าต้องการให้นำเงินไปช่วยเหลือสาธารณประโยชน์ด้านใด
เสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปสลากกินแบ่งรัฐบาลดังมานานแล้ว ดร.นวลน้อยชี้ว่า แม้แต่การแก้ปัญหาสลากเกินราคาสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลยังแก้ไม่ได้ “ถ้าผลิตสินค้าออกมาแล้วปล่อยให้ขายเกินราคา นั่นย่อมสะท้อนความล้มเหลวของการจัดการทั้งหมด นี่คือสินค้าของรัฐนะคะ”
ขณะที่หวยใต้ดินเป็นเหมือนวิญญาณอมตะ ว่ากันว่าวงการหวยใต้ดินมีเงินหมุนเวียนมากกว่าแสนล้านบาทคนเล่นมากกว่า 20 ล้านคน และมีสารพัดกลเกมให้ได้ลุ้นทั้งการลุ้นเลขสามตัวหน้ารางวัลที่หนึ่ง การแทงเลขเดี่ยว การให้เครดิตแทงก่อนจ่ายทีหลัง ไปจนถึงโปรโมชั่นลดราคาหวยใต้ดินเป็นระบบการพนันแบบอัตราต่อรอง ซึ่งเจ้ามือจะมีความเสี่ยงระหว่าง ‘รวยไปเลย’ กับ ‘เจ๊งไปเลย’ นักสังคมศาสตร์ชี้ว่า หวยใต้ดินมองได้หลายมิติ ทั้งกิจกรรมทางสังคมของแม่บ้าน การลงทุน และกิจกรรมนันทนาการ
การช่วงชิงหวยใต้ดินให้กลับขึ้นมาอยู่บนดินอีกครั้งเป็นแนวคิดที่รัฐบาลทุกสมัยจับตามอง แต่อุปสรรคคือความโปร่งใส “ทุกวันนี้หวยใต้ดินอยู่ได้เพราะประชาชนคิดว่าเลขออกโดยรัฐ เจ้ามือไม่เกี่ยว” ดร.นวลน้อยบอก เธอเล่าถึงผลสำรวจหนึ่งที่ชี้ว่า ประชาชนเกินกว่าครึ่งเชื่อว่าการออกรางวัลมี ‘เลขล็อก’ เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นจริงมาแล้วสองงวด “จริงหรือไม่จริงอันนี้ไม่รู้นะคะ แต่เมื่อภาพลักษณ์เสียไปแล้ว พอมาทำหวยบนดินก็จะไม่ประสบความสำเร็จอีกแน่ๆ ค่ะ”
ปีนี้ข้าวโพดกิโลกรัมละห้าบาท ถ้าสีแล้วตกกิโลกรัมละหกบาท กนกอร ชูเนตร และสามีกำลังเร่งหักข้าวโพดเพื่อส่งขาย เธอจ้างเพื่อนบ้านมาช่วยอีกสามถึงสี่คน ให้ค่าแรงกระสอบละ 30 บาท กนกอรใส่เสื้อแขนยาวกางเกงขายาว สวมหมวก และคลุมใบหน้าเหลือแค่ดวงตาตามแบบเกษตรกรทั่วไป ข้าวโพดในกระสอบใหญ่กระสอบละ 40 กิโลกรัม สามีของเธอแข็งแรงขนาดแบกกระสอบข้าวโพดขึ้นภูเขาได้คนเดียว “นี่แหละค่ะ ชีวิตจริง ๆ ของคนขายลอตเตอรี่” เธอบอก
กนกอรขายลอตเตอรี่อยู่ที่ปั๊มนํ้ามันแห่งหนึ่งบริเวณถนนเลี่ยงเมือง จังหวัดชลบุรี แต่บ้านของเธออยู่ริมถนนหลวงที่บ้านศรีเจริญ อำเภอภูหลวง จังหวัดเลยเปิดเป็นร้านขายของชำให้แม่และพ่อวัยเกษียณได้พอมีอะไรทำเธอกำลังจะออกรถไถใหม่อีกสองคันมาใช้งานในไร่ “ได้เงินจากลอตเตอรี่ก็มาลงในไร่หมดแหละค่ะ” เธอเล่า
แม้จะเพิ่งกลับมาบ้านได้เพียงห้าวัน แต่พรุ่งนี้เธอจะต้องเดินทางลงไปซื้อลอตเตอรี่ที่สนามบินนํ้า จังหวัดนนทบุรี (รับมาก่อนแล้วจ่ายทีหลังได้) แล้วส่งลูกน้องไปช่วยขายลอตเตอรี่ที่ชลบุรี จากนั้นจะตีรถกลับขึ้นมาบ้านที่เลย อาจได้พักไม่กี่ชั่วโมง แล้วจะยิงยาวจากบ้านตอนคํ่าไปถึงชลบุรีแต่เช้า และเริ่มกางแผงขายลอตเตอรี่ “เหนื่อยค่ะ เครียด กดดันมาก เรามีหนี้แสนสองแสน แต่มีเวลาหาคืนแค่หกเจ็ดวัน” เธอว่า
กนกอรเป็นอดีตพนักงานออฟฟิศ และเคยทำงานที่ อบต. แต่เงินเดือนไม่พอใช้ สามีเลยชวนมาขายลอตเตอรี่ที่ชลบุรีตั้งแต่ พ.ศ. 2551 จากนั้นจึงขยับมาเช่าแผงในปั๊มนํ้ามัน ก่อนหน้านั้น เธอเคยเป็น ‘เถ้าแก่’ แต่ถูกโกงเงินค่าลอตเตอรี่หกแสนบาท กระนั้น เธอก็ไม่ยอมถอยจากอาชีพนี้ “จะว่ายังไงดีล่ะ มันเป็นอาชีพที่ได้เงินเร็วแถมเดือนหนึ่งได้สองครั้ง หาไม่ง่ายนะคะจากอาชีพอื่น”
กนกอรมีลูกสามคน เย็นนี้ลูกชายคนโตที่เรียนอยู่โรงเรียนประจำในอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์จะกลับมานอนบ้าน สามีเธอขับรถไปรับพร้อมกับลูกสาวคนกลางและลูกชายคนเล็ก ครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้ากันแม้เพียงไม่กี่ชั่วโมง แม่ของเธอทำกับข้าวต้อนรับผม เราล้อมวงกินข้าวกัน เสียงพูดคุยระหว่างมื้อคํ่าในครอบครัวชนบทถามไถ่เรื่องส่วนตัวกัน อากาศรอบตัวเริ่มเย็น “ขายลอตเตอรี่เป็นอาชีพที่ทำให้เราได้กลับบ้าน ถึงจะไม่กี่วันก็จริง แต่ก็คือบ้านค่ะ” เธอบอก
กลางเดือนมกราคมก่อนหวยออกหนึ่งวัน ลานจอดรถของวัดพระธาตุดอยคำคลาคลํ่าไปด้วยรถยนต์จากทั่วสารทิศ ทุกครั้งที่มีรถถอยเข้าซองจอด บรรดาพ่อค้าแม่ขายลอตเตอรี่จะกรูกันเข้าไปช่วยอำนวยความสะดวกพร้อมกับยื่นสลากกินแบ่งรัฐบาลที่เลขท้ายสองตัวตรงกับทะเบียนรถคันนั้นๆ หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียง
“ที่นี่ลอตเตอรี่ขายดีมากครับ มีเท่าไรก็ไม่พอขาย” สมนึก สุธรรมา บอก “ผมเคยไปมาทั่วประเทศแล้วครับที่ไหนดัง เราจะไปที่นั่น” เขายิ้ม สมนึกเป็นชาวอำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ขายลอตเตอรี่มากว่า 20 ปีแล้วเขาขับรถมากับญาติและเพื่อนบ้านจากอำเภอวังสะพุงกว่า 8 ชั่วโมงเพื่อมาขายลอตเตอรี่ที่เชียงใหม่
ตั้งแต่ยอดดอยถึงริมทะเล เราจะพบคนขายลอตเตอรี่ได้ทุกที่ แต่ข้อสงสัยแรก ๆ ของผมคือ ทำไมคนขายลอตเตอรี่ส่วนใหญ่จึงมาจากจังหวัดเลย
“ผมคิดว่าเพราะลอตเตอรี่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะ การจะชวนใครไปขายก็ต้องรู้จักกันก่อนในระดับหนึ่งครับ” บรรพตให้ความเห็น “แต่เท่าที่ผมรู้ คนที่ไปขายคนแรกมาจากตำบลทรายขาว กลับมามีบ้านมีรถ เลยชวนญาติพี่น้องไปกัน” เขาหมายถึงตำบลทรายขาว อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย (ผมตามหาบุคคลที่ว่าไม่พบ บางคนลงความเห็นว่าเขาอาจเสียชีวิตไปแล้ว) แต่ที่แน่ๆ เขาคงเป็นคนแรกๆ ที่แผ้วถางเส้นทางสายลอตเตอรี่ในฐานะทางลัดช่วยให้ (เซลล์แมน) ชนบทลืมตาอ้าปากได้ และเป็นต้นแบบหรือโมเดลการขายลอตเตอรี่ในปัจจุบัน
ยกตัวอย่างเช่นหากคุณมีเงินทุนสักก้อนหนึ่ง (ไม่ได้หยิบยืมมา) การลงทุนซื้อลอตเตอรี่สักชุดจากตลาดขายส่งมาขายต่อเป็นวิธีง่ายที่สุด แน่นอนเงินลงทุนค่อนข้างสูง นั่นคือความเสี่ยงที่คุณเลือกเอง ถ้าโชคดีก็ได้กำไรร้อยละ 25-30 แต่หากไม่มีเงินมากนัก คุณคงต้องพึ่งพาเถ้าแก่ นั่นคือคนที่มีฐานะสักหน่อยในชุมชน เขาจะไปรับลอตเตอรี่จำนวนมากจากตลาดค้าส่งมาจัดชุดให้คุณขาย โดยที่คุณยังไม่ต้องควักเงินสักบาท คุณอาจจะรับมาสักสิบเล่ม (1,000 คู่) ในราคาหนึ่ง (ผมตีให้คู่ละ 95 บาท) และนำไปบวกเพิ่มในอีกราคาหนึ่ง (เช่นคู่ละ 110 บาท) เถ้าแก่จะมีรถรับ-ส่ง รวมถึงที่พักในจังหวัดที่คุณไปขาย บางรายอาจมีข้าวปลารายวันให้ด้วย หลังการขายในแต่ละวัน คุณต้องทยอยจ่ายค่าลอตเตอรี่ที่ขายได้ให้เถ้าแก่จนครบหนี้ และส่วนที่เหลือคือกำไรของคุณ โดยเฉลี่ย ถ้าคุณขายหมดเกลี้ยง 1,000 คู่ กำไรคู่ละ 15 บาท ก็เท่ากับ 15,000 บาทต่องวด เดือนหนึ่งขายได้สองงวดเท่ากับ 30,000 บาท “เป็นรายได้ที่คนจบแค่ ป.4 หรือ ป.6 หาไม่ได้หรอกครับ” บรรพตบอก
แต่เอาเข้าจริงการขายลอตเตอรี่ไม่ใช่งานที่ใครก็ทำได้บรรพตบอกว่า “เหมือนชวนคนไปหาปลาในหนองเดียวกันย่อมได้ปลาไม่เท่ากัน” ในกรณีที่คุณขายลอตเตอรี่ไม่หมดไม่มีใครรับซื้อคืน คุณต้องเก็บส่วนที่เหลือไว้เอง แล้วความหวังเดียวก็คือลุ้นให้หนึ่งใน “ของเหลือ” เหล่านั้นถูกรางวัลบ้างเพื่อนำมาจ่ายหนี้ นี่เป็นผลจากนโยบายของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ไม่รับซื้อคืนลอตเตอรี่ แน่นอนกรณีนี้ทำให้สำนักงานสลากฯ “ลอยตัว” และได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยในแต่ละงวด แต่สำหรับพ่อค้าแม่ขายรายย่อยแล้ว นี่คือแรงกดดันและทำให้หนี้สินเพิ่มขึ้น
ละมัย พันเงิน เป็นแม่ค้าอีกคนที่รับลอตเตอรี่จากเถ้าแก่มาขาย งวดไหนขายไม่หมด (และไม่ถูกรางวัล) หนี้จะทบกับของเก่าที่ค้างอยู่ บวกด้วยดอกเบี้ย เธอหยิบลอตเตอรี่ปึกหนึ่งออกมาให้ดูพร้อมใบเสร็จรับเงิน งวดนี้เธอรับมา 5 เล่ม หรือ 500 คู่ (เล่มละ 9,400 บาท) คิดเป็นเงิน 47,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยจากเงินค้างเก่าอีก 705 บาท (เธอไม่แน่ใจว่าเท่าไร) “ไม่แน่ใจค่ะ แต่เค้าเขียนมาอย่างนี้ก็ต้องหาไปจ่ายเขา” เธอบอก
ไม่กี่เดือนก่อน ละมัยเพิ่งเสียสามีคู่ทุกข์คู่ยากไปจากอุบัติเหตุรถชนระหว่างไปขายลอตเตอรี่ที่จังหวัดชลบุรี ขณะที่นงนุช พันเงิน ลูกสาวของเธอ ก็แยกทางกับสามี ส่วนหลานชายเลิกเรียนกลางคัน “พอแม่ไม่ค่อยได้อยู่กับเค้า ก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ” นงนุชบอก
แม้ว่าอาชีพขายลอตเตอรี่จะเป็นความหวังของคนชนบท แต่เหรียญอีกด้านหนึ่งช่างน่าสะพรึง โครงสร้างสังคมชนบทส่วนหนึ่งเปลี่ยนไปเพราะลอตเตอรี่ ในช่วงขายลอตเตอรี่ เกือบทุกหมู่บ้านในจังหวัดเลยจะเงียบเหงา มีเพียงผู้เฒ่าและเด็กเล็ก เป็นที่รู้กันว่าการหย่าร้าง ชู้สาว หนี้สิน การพนัน ติดเหล้า อุบัติเหตุไปจนถึงการฆ่าตัวตาย มีอัตราค่อนข้างสูงในหมู่คนขายลอตเตอรี่ แรงกดดันจากหนี้สินและสิ่งล่อใจทำให้หลายคน ‘หลุด’ จนกู่ไม่กลับ ที่หมู่บ้านของละมัยมีคนกินยาฆ่าหญ้าตายเพื่อหนีหนี้สิน ละมัยบอกว่า “ไม่รู้สิคะ ทำอย่างอื่นก็ไม่ได้แล้ว คงต้องขายลอตเตอรี่ไปเรื่อยๆ ที่ดินทำกินเราก็ไม่มี ผู้ชายบ้านนี้ก็ไม่มีแล้ว”
หวยออกงวดนี้ตรงกับวันอาทิตย์ เป็นฝันร้ายของคนขายลอตเตอรี่หลายคนที่พบว่า ตลอดทั้งวันผู้คนมักเอกเขนกอยู่บ้าน และไม่ค่อยออกมาจับจ่าย กนกอรกับสามีตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ และพาลูกชายคนเล็กไปฝากคนรับจ้างเลี้ยงพอหกโมงเช้าก็มากางแผงขายลอตเตอรี่ที่หน้าห้องนํ้าในปั๊มนํ้ามัน เธอจะจอดรถ (ปิกอัพป้ายแดง) ทิ้งไว้ที่ปั๊มจากนั้น สมควร ไกรพล สามีของเธอ จะติดแผงขายลอตเตอรี่บนจักรยาน วันนี้เขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวมอซอเตรียมออกปั่นจักรยานไปตามตรอกซอกซอยผมปั่นตามเขาไป “วนไปเรื่อย ๆ แหละครับ ไม่มีเส้นทางแน่นอน” เขาบอก
เช้าวันนั้นอากาศยังเจือไอเย็น และรถราไม่มาก สมควรเข้า-ออกตามทางคดเคี้ยวย่านหนองไม้แดง จังหวัดชลบุรี ชุมชนละแวกนั้นมีทั้งหอพัก แคมป์คนงานและบ้านเก่า เขาปั่นเร็วมากราวกับเร่งเข้าเส้นชัยและสั่นกระดิ่งไปเรื่อย ๆ และแล้วชายคนหนึ่งก็กวักมือเรียกให้เขาจอดหลังใส่บาตรพระ เขาเลือกลอตเตอรี่ไปหนึ่งคู่ “อีกคู่เถอะนะครับ โชคดีแน่ๆ” สมควรพยายามขาย แต่ชายคนนั้นไม่ซื้อ
ผมถามสมควรว่ากินข้าวมาหรือยัง เขายิ้ม ๆ ตอบว่า “วันนี้เป็นวันที่ต้องสู้ ผมอยู่ได้ ไม่ต้องกินข้าวปลาหรอกครับ” หากความขยันของเขามีค่าเป็นน้ำสักหยดมันคงท่วมชลบุรีแน่ ๆ หลายวันกับคนขายลอตเตอรี่มากหน้าหลายตาทำให้ผมทึ่งในความขยัน เป็นความขยันที่ไม่หวังพึ่งโชคใดๆ ช่างตรงข้ามกับสิ่งที่พวกเขาขาย
ผลการสำรวจชิ้นหนึ่งจากศูนย์ศึกษาปัญหาการพนันคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าคนไทยเกินครึ่งซื้อลอตเตอรี่ค่อนข้างบ่อย (เกือบทุกงวด) โดยให้เหตุผลว่า ‘หวังรวย’ การสำรวจทำนองเดียวกันเมื่อ พ.ศ. 2556 ชี้ว่า คนไทยเล่นทั้งหวยใต้ดินและลอตเตอรี่ยาวนานติดกันเฉลี่ยถึง 12 ปี คนเล่นหวยส่วนใหญ่มีรายได้เฉลี่ยตํ่ากว่าเดือนละ 20,000 บาท และคนที่เล่นหวยมากที่สุดมีรายได้ตํ่ากว่า 10,000 บาท นั่นคือคนยากจน “ถ้าคนจนหวังรวยจากหวย ก็ตีความได้เลยค่ะว่า เขาไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะดีขึ้นได้ด้วยอาชีพการงาน รู้สึกสลดนะคะที่ประเทศเราไม่มีความหวังสำหรับคนจนเลยหรือ” ดร.นวลน้อย บอก
นักวิชาการแนะวิธีเลิกหวยที่น่าสนใจคือ ‘แทงตัวเอง’ คือหากระป๋องมาหนึ่งใบสำหรับใส่เงิน แล้วแทงเลขไปตามใจแต่ละงวด ถ้าเสียก็ใส่เงินในกระป๋องทบไปเรื่อยๆ หากถูกรางวัลก็เอาเงินจากในกระป๋องออกมาตามอัตราต่อรองแบบใต้ดิน ดร.นวลน้อย บอกว่า “เผลอ ๆ ได้เงินออมอีกด้วยค่ะ”
แต่สำหรับบางคน วิธี ‘หักดิบ’ ได้ผลชะงัดกว่า พิภพ ปานแย้ม เป็นรองนายกเทศมนตรีอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เขาซื้อลอตเตอรี่คราวละมาก ๆ ติดต่อกันมานานนับสิบปี ตัวเลขมาจากความคิดของเขาเอง “นี่ไม่นับหวยใต้ดินนะครับ” เขาบอก แน่นอนว่ามากโข
วันหนึ่งเขาลองคำนวณดู เอาเฉพาะลอตเตอรี่ที่ลงทุนไปกว่าสิบปี ถูกรางวัลเล็กบ้าง กลางบ้าง แต่ไม่เคยถูกรางวัลที่หนึ่งหรือแจ็กพอต รวมแล้วได้เงินประมาณสี่แสนบาท “แต่ที่เสียไปร่วมสี่ล้านบาทครับ” เขาบอก “มาคิดดูว่าที่เสียไปนี่แพงกว่าบ้าน แพงกว่ารถอีก ลูกสาวมาอ้อนวอนขอให้เลิก ผมเลยเลิก ไม่ซื้อ ไม่เล่นแล้ว”
ดู ๆ ไปอาจเหมือนการประชดประชัน หรือเป็นงานศิลปะแนวเสียดสี พิภพซึ่งเป็นอดีตนักเรียนศิลปะจึงติดผนังบ้านด้วยลอตเตอรี่ที่ไม่ถูกรางวัลลอตเตอรี่ที่มีค่าให้ลุ้นนับล้าน ๆ ก่อนวันออกรางวัล กลายเป็นวอลล์เปเปอร์กลบรอยด่างหลังนํ้าท่วมบ้านเมื่อปี 2554 “ที่จริงผมชอบศิลปะบนลอตเตอรี่ด้วยครับ มีภาพวาดสวย ๆ ไม่ซํ้ากันเลยเห็นไหม” เขาชี้ “คิดดูสิครับ แค่ไม่กี่วินาที จากเงินเป็นล้าน ๆ กลายเป็นกระดาษแทบไม่มีค่าเลย” เขาคลี่ลอตเตอรี่ปึกใหญ่ออกมาหนาพอๆ กับของป้าอ้วนแห่งวัดพระธาตุดอยคำ
”แต่ผมทำให้มันมีค่า นี่ไงครับ„ เขาชี้ไปตามผนังห้อง เรานั่งคุยกันบนโต๊ะและเก้าอี้ที่ลายพร้อยไปด้วยลอตเตอรี่
“เข้าไปดูอีกห้องก็ได้นะครับ ติดลอตเตอรี่ไว้เต็มแล้วเหมือนกัน นั่นห้องลูกผมเอง”
เรื่อง ราชศักดิ์ นิลศิริ
ภาพถ่าย บัณฑิต โชติสุวรรณ
เผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย เดือนมีนาคม 2558