แม้ความยากลำบากจะแผ่วงกว้างขึ้นเรื่อยๆ แต่ชาวอัฟกันมากมายยังคงมุ่งมั่นทำหน้าที่ช่วยเหลือและเป็นความหวังให้กับ อัฟกานิสถาน
คุณนาวิด อามีนี (Navid Amini) เป็นนักเรียนแพทย์อายุ 24 ปี เขามีความฝันที่จะเรียนรู้ในวิชาการแพทย์และทำงานช่วยเหลือชาวอัฟกันมาโดยตลอด จนเมื่ออัฟกานิสถานถูกตาลีบันยึดครองคนไข้ของคุณอามีนีมีจำนวนเพิ่มขึ้น และยังมีสภาพหิวโซ ยากจนและย่ำแย่ลงเรื่อยๆ อย่างน่าตกใจ คนไข้รายหนึ่งเป็นแม่ม่ายผู้ขอความอนุเคราะห์ในเรื่องยาและอาหารให้เธอและลูกๆ อีกห้าชีวิตของเธอจากคุณอามีนีและคุณหมอท่านอื่นๆ แม้คุณอามีนีจะอยากให้เงินกับเธอ แต่เขากังวลว่าเขาจะทำอย่างไรหากมีคนไข้ในสภาพนี้รายอื่นๆ อีก คุณอามีนีเกิดความกังวลว่าสิ่งที่เขาทำจะเพียงพอต่อการช่วยเหลือชาวอัฟกันหรือไม่
ในคืนหนึ่ง คุณอามีนีนอนนึกถึงครอบครัวชาวอัฟกันอีกหลายครอบครัวที่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก “ผมพยายามนึกถึงช่วงเวลาที่ชาวอัฟกันเคยมีความสุข แต่มันไม่เคยมีอยู่เลย”
กว่าสามส่วนสี่ของงบประมาณรัฐบาลอัฟกันเป็นเงินหนุนจากต่างชาติ แต่เงินส่วนนั้นได้หายไปทันทีเมื่อสหรัฐอเมริกาเรียกถอนกองกำลังทหาร และอัฟกานิสถานถูกยืดครองโดยตาลีบันในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพลันและความอดอยากแผ่วงกว้างอย่างรวดเร็ว ชีวิตของชาวอัฟกันหม่นหมองและมืดมิดลงทุกวัน แต่ยังคงมีหนุ่มสาวชาวอัฟกันอีกหลายชีวิตคอยเป็นแสงสว่างในความมืดและมุ่งทำงานจิตอาสา คอยช่วยเหลือชาวอัฟกันเท่าที่พวกเขาทำได้
วิกฤตขาดแคลนอาหารแผ่วงกว้าง
ในตอนนี้ องค์การยูนิเซฟ (UNICEF) รายงานว่ามีเด็กอัฟกันอายุต่ำกว่า 5 ปีกว่าหนึ่งล้านคนเป็นโรคขาดสารอาหารรุนแรงและเด็กหญิงจำนวนมากเป็นโรคโลหิตจาง ในขณะที่โครงการอาหารโลก (World Food Programme) รายงานว่าตอนนี้ชาวอัฟกันกว่า 9 ล้านชีวิตกำลังเผชิญกับวิกฤตขาดแคลนอาหารขั้นรุนแรง และสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) รายงานว่าชาวอัฟกันกว่า 24 ล้านชีวิตต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
นานาชาติยังคงหาทางช่วยเหลือชาวอัฟกันโดยหลีกเลี่ยงไม่ให้รัฐบาลตาลีบันได้รับผลประโยชน์ แต่หนุ่มสาวชาวอัฟกันหลายคนรู้ว่าอัฟกานิสถานคงรอการช่วยเหลือจากต่างชาติไม่ไหว พวกเขาจึงลงมือทำงานการกุศลด้วยตัวพวกเขาเอง บางรายทำการแจกจ่ายเสื้อผ้าให้กับครอบครัวยากจน บางคนแอบสอนหนังสือให้เด็กผู้หญิงที่ต้องออกจากโรงเรียน มีผู้ประกอบกิจการเบเกอรี่แจกจ่ายขนมปัง และบางรายเป็นอาสาให้กับองค์กร “เลิร์น อัฟกานิสถาน” (Learn Afghanistan)
“เลิร์น อัฟกานิสถาน” เป็นองค์การนอกภาครัฐ (NGO) ซึ่งก่อตั้งในปี พ.ศ. 2561 องค์กรเลิร์นมีเป้าหมายในการพัฒนาระบบและส่งเสริมการเรียนรู้จากที่บ้าน แต่เมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา องค์กรเริ่มมีการแจกจ่ายอาหารแก่ผู้ยากไร้ด้วยเช่นกัน องค์กรนี้รับทุนสนับสนุนจากนักธุรกิจในท้องถิ่นและจากเว็บไซต์ระดมทุน GoFundMe ปัจจุบันเลิร์นมีทีมงาน 15 ชีวิตและอาสาสมัครอีกมากมายซึ่งรวมถึงคุณอามีนีและเพื่อนของเขา คุณชาเบีย ซาฮีด (Shabir Zahid)
ผู้ทำงานจิตอาสา
คุณอามีนีและคุณซาฮีดทำงานเป็นอาสาสมัครให้กับองค์กรเลิร์นด้วยการนำอาหารไปแจกจ่ายตามโรงพยาบาลและตามบ้านเรือน เช้าเดือนกุมภาพันธ์ในเมืองกันดะฮาร์นี้ ทั้งสองคนไปรอรับอาหารจากคุณโมฮัมมัด คาเบีย โฮทาคิ (Mohammad Kabir Hotaki) ซึ่งเขารับทำอาหารจัดห่อเพื่อให้องค์กรนอกภาครัฐนำไปแจกจ่าย
ปัจจุบันคุณชาเบีย ซาฮีดมีอายุ 21 ปี ก่อนที่คุณซาฮีดจะผันตัวมาเป็นพนักงานจิตอาสา เขาเคยเป็นทหารกองทัพอัฟกันมาก่อน หลังจากที่กองทัพยุบตัวลงและตาลีบันเข้ายึดเมืองกันดะฮาร์ คุณซาฮีดกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านของเขาจนกระทั่งมีเพื่อนชักชวนให้ช่วยทำงานกับเลิร์น “ผมอยากทำความดีให้กับประเทศแต่มันก็มีวิธีอื่นนอกจากการเป็นทหาร” คุณซาฮีดกล่าวในขณะที่เขากำลังจัดห่อออาหารใส่ถุงพลาสติก
หลังจากจัดห่ออาหารเสร็จ คุณอามีนีและซาฮีดนำอาหารไปส่งให้โรงพยาบาลเมอร์ไวส์ ที่โรงพยาบาลมีเด็กหลายรายป่วยด้วยโรคขาดสารอาหาร หลายเตียงมีเด็กน้อยสองถึงสามคนนอนอยู่ด้วยกัน คุณหมอโมฮัมมัด ซาดีก (Mohammad Sadiq) ตรวจสอบรายชื่อคนไข้ที่ต้องการอาหารมากที่สุดก่อนนำอาหารไปแจกจ่าย
แม้คุณซาดีกจะยินดีกับการบริจาค แต่ความช่วยเหลือแบบชั่วคราวนี้ก็ยังทิ้งความกังวลสำหรับอนาคตให้กับคุณหมอ “ความช่วยเหลืออย่างเดียวมันไม่ยั่งยืน มันต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาด้วย เอาอาหารมาให้ผม ผมกินได้หนึ่งเดือนแล้วก็หิวอีก ทางที่ดีคือเอาแม่ไก่ให้ผม 10 ตัวแล้วผมจะได้เอาไข่มากินหรือขาย”
ปัจจุบันคุณซาดีกมีอายุ 50 ปี แม้แพทย์ผู้นี้ยังยืนหยัดทำหน้าที่ของเขา แต่เขาก็ไม่ได้วางแผนจะทำงานนี้ไปตลอด พ่อและพี่ชายของเขาเสียชีวิตในสงคราม ทำให้เขากลายเป็นเสาหลักเดียวของครอบครัว ตอนนี้เขาเริ่มคิดถึงการไปหางานในต่างประเทศ “มันเป็นการตัดสินใจที่ลำบากนะ แต่ถ้าสถานการณ์มันไม่ดีขึ้น ผมคงต้องไปจริงๆ” คุณซาดีกกล่าว
ข่าวสารจากคลินิกนายแพทย์
ในย่านชานเมืองทางตอนใต้ของจังหวัดกันดะฮาร์ มีคลินิกเล็กๆ ของนายแพทย์อีกราย คุณหมอราฟิวอุลลา ฟาซลิ (Rafiullah Fazli) อายุ 28 ปี ผู้บริหารคลินิกชี้ไปที่แผนภูมิบนกำแพงและเล่าว่าปีที่แล้ว คลินิกมีคนไข้ราว 500 รายต่อเดือน แต่ตอนนี้เพิ่มขึ้นถึง 1,500 รายต่อเดือน และกว่าร้อยละ 80 ของคนไข้ต่างเป็นโรคขาดสารอาหารหรือโรคอื่นๆ ที่สาเหตุเกี่ยวข้องกับความยากจน
“สถานการณ์มันแย่ลงทุกวัน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างเป็นโรคขาดสารอาหารและยาก็แพงขึ้นเรื่อยๆ” คุณหมอกล่าว เขาเล่าว่าเขาและพนักงานไม่รับเงินเดือนมาสามเดือนแล้ว และพวกเขายังต้องยอมอดมื้อเที่ยงเพื่อรับคนไข้เพิ่มขึ้นด้วย
“เราทุกคนเหนื่อยกันมาก” คุณอาร์โซ โฮแท็ก (Arzo Hotak) แพทย์ผดุงครรภ์อายุ 23 ปีของคลินิกเล่า เธอมีความฝันอยากจะเป็นนักการทูตที่วอชิงตัน ดี.ซี. แต่พ่อแม่ของเธออยากให้เธอทำอาชีพนี้ซึ่งพวกเขาคิดว่าเป็นอาชีพที่เหมาะสำหรับผู้หญิงอย่างเธอ และคุณโฮแท็กก็มีท่าทีจะยอมรับความคิดนั้น “จริงๆ แล้วงานนี้ดูเหมือนจะช่วยเหลือคนได้มากกว่านะ ในสถานการณ์แบบนี้”
แต่เธอก็ยังไม่ละทิ้งความฝันของเธอ ทุกๆ เช้าเธอจะเดินทางไปเข้าเรียนวิชารัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยก่อนมาเปิดคลินิกตอน 8 โมงครึ่ง ท่ามกลางการต่อต้านของตาลีบัน
เครือข่ายลับให้ความช่วยเหลือ
ตลาดแมนดาวี (Mandawi) เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของคาบูลและเป็นแหล่งสินค้าให้กับหญิงสาวสองรายอายุ 24 ปีและ 19 ปี ที่ตลาดมีข้าวสารอาหารแห้งเช่นถั่วเลนทิลขายแบบเปิดกระสอบ หญิงสาวทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายลับที่คอยให้ความช่วยเหลือชาวอัฟกัน 55 ครอบครัว (เพื่อความปลอดภัยของหญิงสาวทั้งสองคน จึงต้องสงวนชื่อไว้)
ประชากรส่วนใหญ่ในเมืองหลวงคาบูลเคยเป็นชนชั้นกลาง แต่ความยากจนเริ่มขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ สมาชิกในเครือข่ายลับส่วนใหญ่เคยเป็นพนักงานของรัฐบาลและต้องสูญเสียรายได้เมื่อตาลีบันขึ้นมามีอำนาจ หลายคนเป็นผู้หญิงที่เคยทำงานเช่นตำรวจและพนักงานอัยการซึ่งกำลังใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ และมีสมาชิกของเครือข่ายคอยซื้อเสบียงไปให้ หญิงสาววัย 19 ปีเคยได้รับความช่วยเหลือจากเครือข่ายก่อนที่เธอตัดสินใจออกมาช่วยทำงานด้วยตัวเอง
หัวหน้าของหญิงสาวทั้งสองคนพูดอย่างขำๆ ว่าสองคนนี้เก็บเงินได้ไม่ดีและเอาไปแจกคนอื่นซะหมด หลังจากที่เธอสองคนแวะซื้อเตาและฟืนไฟให้ชายคนขับแท็กซี่อายุ 75 ที่ไม่มีเครื่องทำความร้อนที่บ้าน การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นี้ หญิงสาวทั้งสองคิดว่ามันยังเป็นการทำเพื่อตัวพวกเธอเองของอีกด้วย
“ช่วงเวลานี้ทุกคนในประเทศต่างรู้สึกเจ็บปวดและสิ้นหวังกันไปหมด” หญิงวัย 24 ปีผู้เคยเป็นนักศึกษากล่าว
ส่วนหญิงอายุ 19 ปีเล่าว่าการให้เวลาแก่ผู้อื่นทำให้เธอลืมทุกสิ่งที่เธอเสียไป
“ฉันอยากออกไปทำงานตอนกลางคืนด้วย ฉันไม่อยากมีเวลาว่างไปคิดถึงอนาคต”
แปล นิธิพงศ์ คงปล้อง
โครงการสหกิจศึกษากองบรรณาธิการเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย