ทายาทนักตีดาบรุ่นสุดท้ายของญี่ปุ่น

ทายาทนักตีดาบรุ่นสุดท้ายของญี่ปุ่น

“ในอดีตเคยมีช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญการตีดาบคาตานะแบบดั้งเดิม

อยู่หลายพันคนในญี่ปุ่น ปัจจุบัน หลงเหลืออยู่ไม่มากนัก”

ณ โรงนาที่ได้รับการดัดแปลงในตรอกย่านพักอาศัยบนคาบสมุทรทังโกะของญี่ปุ่น ห่างจากเกียวโตไปทางเหนือราว 120 กิโลเมตร ชายสามคนกำลังเล่นกับไฟ ขณะที่เปลวไฟร้อนแรงลามเลียขอบเตาหลอมอุณหภูมิ 1,300 องศาเซลเซียส โคซูเกะ ยามาโซเอะ ใช้ค้อนหนักเจ็ดกิโลกรัมตีเหล็กร้อนจัดก้อนใหญ่ ทำให้เป็นแผ่นแบนเรียบด้วยการตีซ้ำๆ เป็นจังหวะ ด้านหลังสะเก็ดไฟที่โปรายปรายลงบนพื้นดิน โทโมยูกิ มิยากิ ใช้คีมเหล็กคีบแผ่นเหล็ก แล้วใช้ค้อนเล็กตีเป็นทำนองสอดประสานกัน ใกล้ๆกัน เตาเผาขนาดเล็กตั้งอยู่ติดผนังที่เต็มไปด้วยเขม่า โทโมกิ คูโรโมโตะ กำลังชงชา ที่นี่คือสำนักงานใหญ่ของนิปปงเก็นโชชะ หนึ่งในโรงตีดาบคาตานะที่เหลืออยู่ไม่กี่แห่งในโลก

เป็นเวลาหลายร้อยปีที่ช่างตีดาบผู้เชี่ยวชาญตีดาบให้นักรบญี่ปุ่น รวมถึงซามูไรที่โด่งดัง บันทึกยุคแรกๆ ระบุชื่อช่างฝีมือไว้หลายพันคน แต่ศิลปะนี้เริ่มถดถอยในปี 1876 เมื่อมีการออกกฎหมายห้ามพกอาวุธอย่างเปิดเผยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง กองกำลังที่ยึดครองญี่ปุ่นยังสั่งห้ามการผลิตดาบคาตานะ ส่งผลให้เกิดการสูญเสียผลงานและวิถีชีวิตมากขึ้นด้วย ทุกวันนี้ เชื่อว่ามีผู้ผลิตที่ได้รับใบอนุญาตเหลืออยู่ราว 200 คน แต่ไม่ได้ทำงานกันทุกคน ยามาโซเอะ, มิยากิ และคูโรโมโตะ เป็นช่างตีดาบคาตานะเพียงสามคนในภูมิภาคซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานตีเหล็กเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น “เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ศิลปะนี้กำลังจะหายไปครับ” คูโรโมโตะบอกฉันผ่านล่าม แต่ทั้งสามกำลังร่วมกันให้เกียรติและยกระดับศิลปะที่กำลังสูญหายนี้

โทโมยูกิ มิยากิ เป็นหนึ่งในช่างตีดาบคาตานะสามคนที่นิปปงเก็นโชชะ โรงตีดาบที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรทังโกะของญี่ปุ่น

ชายทั้งสามซึ่งปัจจุบันอยู่ในวัยสามสิบเศษ พบกันระหว่างการฝึกงานอันยาวนานถึงสิบปีในกรุงโตเกียว โดยฝึกฝนฝีมือกับโยชิกาซุ โยชิฮาระ และพ่อของเขา โยชินโดะ โยชิฮาระ สองช่างตีดาบที่อยู่ในกลุ่มมีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น (โยชิฮาระผู้พ่อเป็นหลานชายของช่างตีดาบผู้โด่งดังแห่งยุคโชวะ ช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบ) หลังจากพวกเขาแยกย้ายไปทำงานของตนเองในช่วงเวลาสั้นๆ ยามาโซเอะ, มิยากิ และคูโรโมโตะ ก็กลับมารวมตัวกันในปี 2019 และก่อตั้งนิปปงเก็นโชชะขึ้นจากโรงนาร้างของปู่ย่าของยามาโซเอะ

การตีดาบถือเป็นศิลปะที่มีมายาวนานแขนงหนึ่งในญี่ปุ่น และผู้เชี่ยวชาญสามารถระบุอายุของดาบได้เช่นเดียวกับที่ผู้ประเมินเครื่องกระเบื้องสามารถระบุอายุแจกัน หรือรุกขกรสามารถระบุอายุต้นไม้ได้ ดาบของนิปปงเก็นโชชะสร้างขึ้นด้วยมือทั้งหมด มีสนนราคาประมาณ 15,000 ดอลลาร์สหรัฐโดยเฉลี่ย และเป็นที่ต้องการของนักสะสม เช่นเดียวกับดาบคาตานะส่วนใหญ่ ดาบเหล่านี้ทำจาก ทามาฮากาเนะ เหล็กกล้าชนิดหนึ่งที่ได้จากทรายเหล็กซึ่งขุดได้ในจังหวัดชิมาเนะ ทางตอนเหนือของฮิโรชิมะ

ราคาที่สูงถึงหลักหมื่นดอลลาร์เป็นผลจากกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนและยากลำบาก ซึ่งบางครั้งอาจใช้เวลานานถึงหนึ่งปีหรือนานกว่านั้น กระบวนการผลิตเริ่มจากการหลอมเหล็กในเตาดินทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลาสามวัน เทคนิคการให้ความร้อนและการตีเหล็กอย่างเป็นระบบช่วยดึงเอากากถลุงซึ่งเป็นของเสียจากการหลอมออกไป และทำให้เหล็กบริสุทธิ์ขึ้น เหล็กที่ได้จะนำไปหลอมและพับซ้อนกันเป็นชั้นบางๆ หลายร้อยชั้น จากนั้นเหล็กแข็งๆ จะถูกขึ้นรูปให้เป็นดาบ และขอบของใบดาบก็จะถูกลับให้คมกริบ

คูโรโมโตะโชว์ดาบ ทาจิ หรือดาบยาวที่นักรบบนหลังม้าเคยใช้เป็นส่วนใหญ่ ใบดาบในปัจจุบันได้รับการตกแต่งและอาจจัดแสดงในฝักไม้หรือเคสเรซินได้

เสน่ห์ดึงดูดส่วนใหญ่ของดาบอยู่ที่พื้นผิวของใบดาบซึ่งสะท้อนแสงและส่องประกาย “แทนที่จะสะท้อนแสงเป็นลำเดียวอย่างชัดเจน มันจะสะท้อนออกมาเป็นจุดหรือแยกเป็นแฉกๆ แทนครับ” คูโรโมโตะบอก พลางบิดใบดาบที่เพิ่งขัดให้เป็นเงาในแสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา

แต่ขณะที่พวกเขาทำงานเพื่อรักษาศิลปะเก่าแก่ให้คงอยู่ หุ้นส่วนทั้งสามก็ต้องต่อสู้กับความท้าทายอันยากลำบาก ความต้องการดาบคาตานะราคาสูงกำลังลดลงเรื่อยๆ และความสำเร็จของนิปปงเก็นโชชะขึ้นอยู่กับการค้นหาและสร้างเหล่านักสะสมรุ่นใหม่ขึ้นมา ไม่ใช่แค่ดึงดูดนักสะสมที่มีอยู่เดิม ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบของ ฮามง หรือลวดลายที่สลักตามขอบใบดาบ ตามธรรมเนียมแล้ว ช่างตีดาบจะออกแบบฮามงเฉพาะตัว ซึ่งมักเป็นลวดลายภูมิทัศน์ในพื้นที่ที่ผลิตดาบนั้น แต่คูโรโมโตะบอกว่า “ถ้าใครสักคนจากสหรัฐฯ ต้องการภาพทิวทัศน์จากหน้าต่างหน้าบ้านของตัวเอง พวกเขาก็สามารถส่งภาพแพโนรามามาให้เรา และเราก็สร้างลวดลายนั้นได้ครับ”

มิยากิ (ซ้าย), โทโมกิ คูโรโมโตะ (กลาง) และโคซูเกะ ยามาโซเอะ (ขวา) ทำงานร่วมกันในการตี ให้ความร้อน และพับแผ่นเหล็ก กระบวนการที่เรียกว่า ทันเร็น นี้ทำให้โลหะมีความแข็งแรงมากขึ้น

พวกเขายังบุกเบิกวิธีใหม่ในการเก็บรักษาใบดาบ โดยบรรจุในเคสเรซินใสแบบปิดผนึก แทนที่จะใช้ฝักไม้แบบดั้งเดิม “แนวคิดก็คือ วิธีนี้จะเอื้อให้ผู้คนชื่นชมดาบญี่ปุ่นได้อย่างปลอดภัย และด้วยเหตุนั้นจึงให้ความสนใจกับความงามของดาบได้มากขึ้น ศิลปะจะมีความหมายอะไร ถ้าเราไม่สามารถมองเห็นมันได้ล่ะครับ” คูโรโมโตะกล่าว

ในประเทศที่เคารพประเพณีซึ่งสืบทอดมายาวนาน เหล่าช่างตีดาบกำลังพยายามรักษาสมดุลอันละเอียดอ่อน “ดูเหมือนคนทั่วไปมีโอกาสสัมผัสกับศิลปะญี่ปุ่นน้อยลง แต่ทุกวันนี้ ดาบยังคงมีที่ทางในวัฒนธรรมสมัยใหม่ในฐานะผลงานศิลปะครับ” คูโรโมโตะทิ้งท้าย

เรื่อง  เอลเลน ไฮเมลฟาร์บ

ภาพถ่าย  โนริโกะ ฮายาชิ

แปล  กองบรรณาธิการ


อ่านเพื่มเติม : เปิดเผยตำนาน บรรดา ” ซามูไรหญิง ” วีรสตรีนักรบแห่งญี่ปุ่น

Recommend