ผงมัทฉะ ขาดตลาด สะท้อนอีกผลกระทบจากโลกร้อน ที่ทำให้ผลผลิตลดลง สวนทางกับความต้องการทั่วโลกที่สูงขึ้น หลังมัทฉะกลายมาเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพยอดนิยมชนิดใหม่ของผู้คนหลากหลายวัย
มีอาหารและเครื่องดื่มหลายชนิดที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน แต่หนึ่งในเมนูที่กำลังเป็นกระแสจนถูกพูดถึงมากที่สุดในช่วงปลายปี 2024 จนถึง ต้นปี 2025 ก็คือ มัทฉะ ซึ่งปัญหาสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง อุณหภูมิที่สูงขึ้น ฝนที่ตกลดลงหรือไม่ตรงตามฤดูกาล ทำให้ใบชาเขียวที่นำมาผลิตเป็นมัทฉะมีคุณภาพตํ่าลง ดังนั้นปริมาณผงมัทฉะจึงมีปริมาณลดลงไปด้วย
ผงมัทฉะคุณภาพสูงยังมีจำกัดอยู่เพียงในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แม้ว่าตอนนี้จะมีหลายประเทศจะสามารถผลิตผงมัทฉะได้ ไม่ว่าจะเป็น จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ไทย และ เวียดนาม แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับมัทฉะคุณภาพเกรด A ของญี่ปุ่นได้ โดยเฉพาะสุดยอดผงมัทฉะ อย่าง อุจิมัทฉะ จากฟาร์มในเกียวโต , นิชิโอะมัทฉะ จากฟาร์มในไอจิ และ ชิซุโอกะมัทฉะ จากฟาร์มในชิซุโอกะ
สำหรับความพิเศษของผงชาเขียวมัทฉะจากญี่ปุ่นคือ กระบวนการผลิตที่ใช้วิธีแบบดั้งเดิม เป็นแรงงานคนเกือบทุกภาคส่วน ไม่ได้ใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ในการบดใบชาเขียวเหมือนกับประเทศอื่นๆ โดยมัทฉะมีการปลูกที่ละเอียดกว่าชาชนิดอื่น ใบเทนฉะ (Tencha) วัตถุดิบในการผลิตมัทฉะมีระยะเวลาการเก็บเกี่ยวที่จำกัด ต้องปลูกในร่มเท่านั้น จากนั้นต้องเก็บนำมานึ่ง ต่อด้วยอบแห้ง แถมยังต้องคัดส่วนของก้านและเส้นใบออก แล้วนำมาบดจนเป็นผงละเอียด กว่าจะได้มาเป็นผงมัทฉะ
กระบวนการดังกล่าว แม้จะได้ผงมัทฉะแบบพรีเมียม คุณภาพสูง แต่วิธีที่ยุ่งยากก็ทำให้ปริมาณผลผลิตต่อปีของมัทฉะญี่ปุ่นค่อนข้างจำกัด รวมถึงใบชาเขียวที่จะนำมาทำผงมัทฉะก็เก็บเกี่ยวได้เฉพาะช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน และปลูกได้เพียง 1 ครั้งต่อปี การจะเพิ่มผลผลิตจึงเป็นไปได้ยาก หากผงมัทฉะหมด ก็ทำได้เพียงรอสินค้าของปีถัดไปเพียงอย่างเดียว
ไร่ชาจำนวนมากในญี่ปุ่นได้รับผลกระทบโดยตรงจากเรื่องนี้ พวกเขาถูกกดดันให้เพิ่มผลผลิต จากความต้องการผงมัทฉะญี่ปุ่นแท้ 100% ที่พุ่งสูงขึ้นในต่างประเทศ การขาดแคลนมัทฉะทั่วโลกเริ่มเข้าสู่ภาวะวิกฤตตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงปีที่ผ่านมา จนบริษัทขายผงมัทฉะชื่อดังในเกียวโตอย่าง Ippodo และ Marukyu Koyamaen ต้องประกาศจำกัดปริมาณการซื้อผงชามัทฉะเป็นครั้งแรก นักท่องเที่ยวและผู้บริโภคในท้องถิ่นพบว่า ร้านค้าจำนวนมากขึ้นราคาผงมัทฉะสำเร็จรูป (ในต่างประเทศราคาผงมัทฉะทั่วโลกราคาสูงขึ้นหลายเท่าตัว) และจำกัดปริมาณการซื้อต่อคนไม่เกิน 2 ชิ้น และมีบางร้านที่สินค้าหมด ไม่มีมัทฉะขายนานหลายหลายเดือน สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในญี่ปุ่น
กระแสเครื่องดื่มชาเขียวนำมาสู่การขาดแคลนมัทฉะทั่วโลก
ก่อนหน้านี้ชาเขียวอาจจะเคยติดอันดับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ในฐานะเป็นใบชาแห้งหรือรูปแบบซอง น้ำชาที่ชงได้จะมีสีเหลืองอมเขียว แม้ว่าจะมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน แต่ปัจจุบันกลายมาเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มประจำชาติญี่ปุ่น กระนั้นเมื่อเทียบกับมัทฉะ ชาเขียวแม้จะมีราคาที่ไม่แพง หาดื่มได้ง่าย แต่ก็มีสารต้านอนุมูลอิสระและมีคาเฟอีนน้อยกว่ามัทฉะ
เมื่อมีข้อมูลเผยแพร่ออกไปในโลกออนไลน์ว่า มัทฉะ มีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงร่างกาย ปรับสมดุลการทำงานของระบบต่างๆ ช่วยให้ผ่อนคลาย บำรุงหัวใจกับหลอดเลือด บำรุงผิวให้สุขภาพดี และยังช่วยในการลดน้ำหนัก ข้อมูลเหล่านี้ทำให้คนดังทั่วโลกต่างหันมาดื่มมัทฉะเป็นประจำ พร้อมทั้งทำคอนเทนท์แนะนำในโลกโซเชียล โดยเฉพาะ Instagram กับ TikTok ส่งผลให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจดื่มชาเขียวมัทฉะในส่ดส่วนที่เพิ่มขึ้น ไม่แพ้การดื่มกาแฟ
นอกจากนี้ การที่มัทฉะมีรสชาติโดดเด่น หวานขมเข้มข้น กลิ่นหอมสดชื่นคล้ายสาหร่ายทะเล สีเขียวสดสวยงาม จึงครองใจวัยรุ่นโดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ได้ไม่ยาก และข้อด้อยของ มัทฉะ ก่อนหน้านี้ ที่หาดื่มยาก ต้องใช้ความพิถีพิถันในการชง เพราะเดิมทีถูกใช้ในพิธีชงชาของญี่ปุ่นเท่านั้น ก็กลับกลายมาเป็นจุดเด่น เป็นความท้าทายให้หลายคนพยายามตามหาผงมัทฉะมาชงดื่ม จากที่เคยเป็นเครื่องดื่มทางการของชาวญี่ปุ่น วันนี้มัทฉะกลายเป็นเครื่องดื่มกระแสหลักในชีวิตประจำวันของโลกไปแล้ว เหมือนที่ครั้งหนึ่งทั่วโลกเคยนิยมดื่มชานมไข่มุกไต้หวัน
ในระยะยาว มัทฉะ มีโอกาสที่จะได้รับความนิยมในวงกว้างกว่านี้ ด้วยประโยชน์ทางสุขภาพที่โดดเด่น เมื่อเทียบกับ ชานมไข่มุก ชาอินเดีย หรือ ชาไทย ที่แม้ว่าจะมีรสชาติอร่อย แต่เครื่องดื่มเหล่านี้มักถูกเตือนเรื่องปริมาณนํ้าตาลที่สูงเกินไป ไม่ดีต่อสุขภาพ เครื่องดื่มมัทฉะจึงเกาะกระแสเทรนด์สุขภาพและสร้างความนิยมแซงหน้าเครื่องดื่มชนิดอื่นแบบก้าวกระโดดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
อนึ่ง ก่อนหน้านี้หนึ่งในชาเขียวอย่าง โฮจิฉะ ของญี่ปุ่นก็เคยได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ของโลก จากคุณสมบัติ ดื่มง่าย มีคาเฟอีนต่ำ กลิ่นหอมคล้ายคาราเมล รสชาติหวานนุ่ม ไม่มีความฝาด แต่ โฮจิฉะ ก็ยังไม่เคยสร้างกระแสความนิยมได้มากจนสินค้าขาดตลาดเหมือน มัทฉะ
ส่วนในประเทศไทยเองตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2024 พบว่า มัทฉะ ถูกค้นหาบน Google ของไทยมากที่สุดในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา และในช่วงต้นปี 2025 ร้านเครื่องดื่มในไทยหลายร้านเริ่มจำกัดจำนวนการขายเครื่องดื่มมัทฉะต่อวัน หลายร้านเริ่มขึ้นราคาเมนูมัทฉะ และบางร้านประกาศงดขายเครื่องดื่มเมนูมัทฉะเพราะขาดแคลนวัตถุดิบ
อนาคตของตลาดมัทฉะในญี่ปุ่น
UnivDatos มีการคาดการณ์ตลาดมัทฉะทั่วโลกว่า จะเติบโตอย่างต่อเนื่องถึง 9.44% ต่อปี ในระหว่างปี 2022-2027 และคาดว่ามีมูลค่าทางการตลาดสูงกว่า 5.5 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 10.39% โดยตอนนี้ประเทศที่ส่งออกมัทฉะมากที่สุดของโลกคือ ญี่ปุ่น แต่ประเทศที่บริโภคมัทฉะมากที่สุดในโลกได้แก่ จีน แน่นอนว่าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในญี่ปุ่น มัทฉะคุณภาพสูงจะกลายเป็นสินค้าหายากและมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ
ปัญหาอยู่ที่ฟาร์มมัทฉะในญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นกิจการขนาดเล็กที่ทำธุรกิจแบบครอบครัว ผู้คนเหล่านี้ยังคงยึดมั่นในวิธีการแบบดั้งเดิมในการผลิตมัทฉะ คือใช้เครื่องบดหินแกรนิตแบบโบราณ ทำให้ผลิตได้ช้าและมีปริมาณน้อย นอกจากจะไม่ใช้เครื่องจักรในอุตสาหกรรมแล้ว ซํ้าร้ายหลายฟาร์มยังประสบปัญหาขาดแคลนผู้สืบทอดกิจการ คนรุ่นลูก รุ่นหลาน จำนวนมาก ย้ายถิ่นฐานมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองใหญ่ หรือไม่ก็เลือกทำอาชีพอื่น ไม่สานต่อกิจการครอบครัว ทำให้ฟาร์มมัทฉะทั่วญี่ปุ่นประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน ไร่ชาบางแห่งถูกทิ้งร้าง
หลายบริษัทผู้ผลิตมัทฉะในญี่ปุ่นรู้ถึงปัญหาว่ามัทฉะกลายเป็นผลิตภัณฑ์หายาก บริษัทจำนวนหนึ่งสามารถเพิ่มการผลิตได้ประมาณ 10% ในแต่ละปีนับตั้งแต่ปี 2019 แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการที่สูงขึ้น การเก็บเกี่ยวชาปี 2025 จะเริ่มประมาณเดือนเมษายน น่าจะสามารถช่วยเติมสินค้าและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนมัทฉะได้ชั่วคราว แต่ก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาในระยะยาว
การบริโภคมัทฉะทั่วโลกพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2024 หากแนวโน้มยังคงดำเนินต่อไป อุตสาหกรรมชาของญี่ปุ่นก็จะต้องเปลี่ยนแปลงกระบวนการเพื่อให้ผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการ โดยแม้ว่าการบริโภคชาเขียวและมัทฉะในญี่ปุ่นจะลดลงในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา แต่คนทั่วโลกกลับดื่มมัทฉะมากขึ้น โดยญี่ปุ่นผลิตมัทฉะได้ 4,176 ตันในปี 2023 เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าจาก 1,471 ตันในปี 2010 ซึ่งปัจจุบันมัทฉะญี่ปุ่นมากกว่าครึ่งหนึ่งถูกส่งออกไปขายในต่างประเทศ
ทั้งนี้ มีคำสั่งซื้อในภูมิภาคใหม่ๆ เช่น ทวีปแอฟริกา ตะวันออกกลาง โดยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กลายมาเป็นผู้บริโภคมัทฉะอันดับต้นๆ พวกเขายอมจ่ายไม่อั้นเพื่อให้ได้มัทฉะคุณภาพสมบูรณ์จากประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ประเทศผู้ผลิตมัทฉะอื่นๆ ก็อาศัยช่วงเวลาที่สินค้าญี่ปุ่นขาดตลาด พยายามนำเสนอผงมัทฉะของตัวเองเพื่อช่วงชิงผู้บริโภค
ด้านเกษตรกรญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งพยายามแก้ปัญหาด้วยการขยายพื้นที่เพาะปลูกใบเทนฉะ แต่ต้องใช้เวลานานถึงห้าปีในการเจริญเติบโต จึงยังไม่สามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนได้ในทันที ขณะที่เกษตรกรหลายคนยังไม่กล้าที่จะลงทุนเพิ่มพื้นที่ในการปลูกใบชาเขียว เนื่องจากเกรงว่ากระแสนิยมมัทฉะจะไม่ได้เฟื่องฟูระดับนี้ไปตลอด อนาคตหากผลผลิตมีมากเกิน ก็อาจเกิดภาวะสินค้าล้นตลาดได้
โรงโม่หินที่ผลิตมัทฉะเกรดคุณภาพก็สำคัญ ศิลปะการบดชาด้วยหินถูกนำเข้ามาในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกโดยพระในศาสนาพุทธนิกายเซน และยังคงได้รับการสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ ผงมัทฉะที่ดีควรจะเป็นผงชาเขียว 100% ไม่มีการผสมแป้ง รวมถึงต้องได้รับการบดอย่างละเอียดด้วยเครื่องโม่หิน (ต้องบดให้เป็นอนุภาคละเอียดประมาณ 10 ไมครอน โดยไม่ทำลายด้วยความร้อนที่เกิดจากแรงเสียดทาน) ใช้เวลาในการผลิตอย่างน้อย 1 เดือน ไม่สามารถเร่งการผลิตได้ เนื่องจากกระทบต่อคุณภาพของผงมัทฉะ
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจการผลิตมัทฉะก็มีต้นทุนที่สูง ใช้เวลาในการเรียนรู้ ต้องฝึกฝนทักษะต่างๆนาน ขั้นตอนการผลิตมีความซับซ้อน อุปกรณ์ในการผลิตราคาสูง โอกาสที่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ชาวญี่ปุ่นจะกระโจนเข้ามาในธุรกิจนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าตอนนี้รัฐบาลญี่ปุ่นจะเริ่มออกนโยบายหลายอย่างมาสนับสนุนผู้ผลิตมัทฉะ แต่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ว่า กระแสความสนใจในมัทฉะของโลกในครั้งนี้ จะเป็นเพียงสิ่งฉาบฉวยระยะสั้นในโลกออนไลน์ หรือ เป็นความสนใจที่ยั่งยืนจริงๆ
สืบค้นและเรียบเรียง สิทธิโชติ สุภาวรรณ์
Photo by Ma li, iStock
อ้างอิง