“รายงานใหม่เผย แม้พื้นที่ไฟไหม้ทั้งหมดจะลดลง 26% แต่กลับมีคนได้รับผลกระทบจากไฟป่าเพิ่มขึ้น 40% หรือกว่า 440 ล้านคนในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา”
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โลกดูเหมือนจะเผชิญกับไฟป่าเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจทั้งในหลายรัฐของสหรัฐอเมริกา สเปนกับโปรตุเกสในยุโรป รัสเซีย แคนาดา หรือแม้แต่เกาหลีใต้ในช่วงกลางปีนี้ ทำให้สถานการณ์ดูเหมือนว่าจะสามารถเกิดไฟป่าครั้งใหญ่ได้ในทุกที่ของโลก
ทว่าตามรายงานใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Science ชี้ให้เห็นว่าอันที่จริงแล้วพื้นที่ไฟไหม้ทั้งหมดบนโลกลดลงกว่าร้อยละ 26 ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา แต่ปัญหาที่แท้จริงคือ ในระหว่างปี 2002 ถึง 2021 กลับมีมนุษย์ได้รับผลกระทบจากไฟป่าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 40
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าภัยพิบัติไฟป่าที่เป็น ‘ข่าวใหญ่’ ดูจะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และออสเตรเลีย แต่ความจริงก็คือร้อยละ 85 ของคนที่ได้รับผลกระทบกลับเกิดขึ้นในแอฟริกา ทวีปที่ได้รับความสนใจน้อยที่สุด
“ด้วยความเชี่ยวชาญของเราในด้านวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศและไฟป่า รวมถึงการสร้างแบบจำลองเชิงภูมิสารสนเทศ เราได้วิเคราะห์กิจกรรมไฟป่าทั่วโลกในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา” โมจทาบา ซาเดกห์ (Mojtaba Sadegh) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมโยธา และผู้เขียนรายงาน กล่าว
“ผลวิจัยชี้ให้เห็นถึงความเข้าใจผิดที่พบบ่อยบางประการ และแสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ต่อมนุษย์นั้นกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร”
พื้นที่ไฟไหม้ทั่วโลกลดลง แต่ไฟป่ารุนแรงขึ้น
โดยทั่วไปแล้วไฟป่าเป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่ดำรงอยู่มานานตั้งแต่พืชพรรณได้ปลกคลุมโลก ไฟป่าตามธรรมชาตินั้นดีต่อระบบนิเวศ เพราะมันจะช่วยกำจัดเศษไม้แห้ง ใบไม้แห้ง และกิ่งไม้ต่าง ๆ ออกไป ซึ่งจะกลายเป็นสารอาหารต่อดินรวมถึงกำจัดเชื้อเพลิงที่จะกลายเป็นไฟป่ารุนแรงในอนาคตได้
แต่เมื่อมีมนุษย์เข้ามา ไฟป่าเหล่านี้ก็กลายเป็นอันตรายต่อทั้งชีวิต โครงสร้างพื้นฐาน และเศรษฐกิจ ยิ่งกว่านั้นเมื่อมนุษย์ขยายที่อยู่อาศัยเข้าไปพื้นที่เสี่ยงต่อไฟป่า ผลกระทบก็เพิ่มขึ้นไปตามนอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศทั่วโลกก็ได้ซ้ำเติมความเสี่ยงนี้
นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าในสี่ทศวรรษที่ผ่านมามีจำนวนวันที่ ‘เอื้อ’ ต่อการเกิดไฟป่ารุนแรงและการเกิดไฟป่าครั้งใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 ทั่วโลก สิ่งนี้ทำให้ผลกระทบ (เช่นทรัพย์สิน พื้นที่ โครงสร้างพื้นฐาน หรือจำนวนผู้อพยพ) สร้างสถิติใหม่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
“ทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ต่างเผชิญกับไฟป่ารุนแรงที่เพิ่มขึ้นในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ตัวอย่างที่โดดเด่นได้แก่ ไฟป่าแคมป์ไฟร์ในรัฐแคลิฟอร์เนียปี 2018 และไฟป่าแคนาดาที่ทำลายสถิติในปี 2023 ซึ่งก่อให้เกิดควันไฟที่ปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแคนาดาและภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา และแม้กระทั่งลุกลามไปถึงยุโรป” ซาเดกห์ เขียน
อย่างไรก็ดี สภาพอากาศร้อนจัดไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยเดียวที่มีอิทธิพลต่อความเสี่ยงไฟป่า ปริมาณพืช สภาพพื้นที่ ไปจนถึงแหล่งกำเนิดไฟเช่นยานพาหนะและสายไฟในพื้นที่ป่าเองก็เป็นปัจจัยได้เช่นกัน ทั้งหมดนี้ทำให้ไฟป่าสามารถลุกลามได้รุนแรงกว่าเดิม
อเมริกาเหนือเป็นเพียงเศษเสี้ยวของภาพใหญ่
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภัยพิบัติจากไฟป่าดูมีจำนวนมากขึ้นในอเมริกาเหนือ ยุโปร และออสเตรเลีย เนื่องจากได้รับความสนใจจากทั่วโลก เปลวเพลิงเหล่านั้นเข้าสู่ชุมชนมนุษญ์มากขึ้น คร่าชีวิตและทำลายความเป็นอยู่ของประชาชน
“อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากไฟป่าไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภูมิภาคที่มีชื่อเสียงเหล่านี้เท่านั้น” ซาเดกห์ กล่าว “เราเพียงได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับภูมิภาคเหล่านี้มากขึ้นเท่านั้น”
ทีมวิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลของประชากร และบันทึกการเกิดไฟป่ามากกว่า 18.6 ล้านรายการ ตั้งแต่ปี 2002 ถึง 2021 พบว่ามีประชากรทั่วโลกประมาณ 440 ล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากไฟป่าที่ลุกลามเข้าสู่ชุมชน ทว่าการเพิ่มขึ้นนี้ไม่ได้มาจากไฟป่าที่เพิ่มขึ้น แต่เกิดจากการเติบโตของประชากร กับการอพยพย้ายถิ่นฐานเข้าไปยังพื้นที่เสี่ยง
แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือ 5 ประเทศในทวีปแอรฟริกากลาง ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซูดานใต้ โมซัมบิก แซมเบีย และแองโกลา กลับเผชิญกับความเสี่ยงต่อไฟป่าถึงครึ่งหนึ่งของมนุษย์ทั้งโลก ซึ่งประเทศเหล่านี้มีสัดส่วนน้อยกว่าร้อยละ 3 ของประชากรโลก ขณะเดียวกันก็คิดเป็นร้อยละ 65 ของพื้นถูกไฟป่าทั่วโลกด้วยเช่นกัน
ประเทศเหล่านี้ได้รับความชื้นเพียงพอที่จะช่วยสนับสนุนการเจริญเติบโตของพืช แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูแล้ว ก็แห้งแล้งมากพอที่ต้นไม้และพืชจะลุกไหม้เป็นไฟบ่อยครั้ง ซึ่งในบางพื้นที่เกิดขึ้นหลายครั้งต่อปี
“กิจกรรมทางการเกษตรในแอฟริกากำลังทำให้พื้นที่ป่าที่เสี่ยงต่อการถูกไฟไหม้มีความเสี่ยงสูงมากขึ้น” ซาเดกห์ บอก “แม้ไร่นาที่เพาะปลูกกับถนนจะสามารถช่วยหยุดยั้งการลุกลามของไฟป่าได้ แต่การมีฟาร์มและการพัฒนาในพื้นที่ป่ามากขึ้น ก็หมายถึงมีผู้คนมากขึ้นที่ต้องเผชิญกับไฟป่าด้วยเช่นกัน”
สำหรับในยุโรปและโอเชียเนียนั้นแตกต่างออกไป งานวิจัยพบว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าลดลง โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากผู้คนย้ายจากชนบทไปสู่เขตเมืองมากขึ้น ซึ่งชี้ให้เห็นว่าทั้งปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ต่างก็มีบทบาทสำคัญต่อความเสี่ยงไฟป่า
รายงานเหล่านี้เน้นย้ำถึงความจริงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคที่ได้รับความสนใจจากนานาชาติน้อยอย่างแอฟริกา พร้อมกันนั้นยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการกำหนดกลยุทธ์ทั้งเชิงรุกและเชิงป้องกัน เพื่อปกป้องชุมชนจากไฟป่า
ตัวอย่างเช่น การจัดการพืชพรรณ การเผาป่าตามแผน สามารถหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดไฟไหม้รุนแรงได้ การให้ความรู้แก่ประชาชน การบังคับใช้นโยบาย และแนวทางแก้ไขทางวิศวกรรม เช่น การลดจำนวนพืชพรรณและการปัดกวาดตามถนนกับสายไฟฟ้า สามารถช่วยลดการเกิดไฟไหม้ที่มาจากมนุษย์ได้
“เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงขึ้น สภาพอากาศที่ร้อนจัด และประชากรโลกยังคงขยายตัวเข้าสู่พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ การบรรเทาผลกระทบเชิงรุกจะมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการลดความเสี่ยงของภัยพิบัติจากไฟป่าในอนาคต” อามีร์ อากา คูชัก (Amir AghaKouchak) ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อมของอธิการบดีมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เออร์ไวน์ ผู้ร่วมเขียนงานวิจัย กล่าว
สืบค้นและเรียบเรียง
วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา
https://news.uci.edu/2025/08/21/uc-irvine-led-research-team-uncovers-global-wildfire-paradox/