5 เมืองใหญ่ของอินเดียกำลังจม นักวิทย์เตือนอาคารกว่า 2 หมื่นแห่งเสี่ยงพังใน 50 ปี

5 เมืองใหญ่ของอินเดียกำลังจม นักวิทย์เตือนอาคารกว่า 2 หมื่นแห่งเสี่ยงพังใน 50 ปี

“เมืองที่ใหญ่ที่สุดของอินเดียกำลังจมลง แนวโน้มนี้กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก

งานวิจัยใหม่เผยให้เห็นว่า 5 เมืองใหญ่ของอินเดียทรุดตัวลงอย่างน่ากังวล

ท่ามกลางความพลุกพล่านของทั้งมนุษย์และตึกรามบ้านช่อง ซึ่งอาจคุกคามชีวิตผู้คนนับล้าน” 

ตามที่รายงานบนวารสาร Nature Sustainability ซูซานนา เวิร์ธ (Susanna Werth) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านธรณีวิทยา หนึ่งในทีมวิจัยระบุว่า การใช้น้ำใต้ดินมากเกินไปเป็นสาเหตุหลัก จนทำให้แผ่นดินทรุดตัวลง

“เมื่อเมืองต่าง ๆ สูบน้ำจากชั้นหินอุ้มน้ำมากกว่าที่ธรรมชาติจะเติมได้ พื้นดินก็จะจมลงอย่างแท้จริง” เวิร์ธ กล่าว “การศึกษาของเราแสดงให้เห็นว่าการใช้น้ำใต้ดินมากเกินไปนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับการอ่อนตัวของโครงสร้างในเขตเมือง” 

ทีมวิจัยได้ศึกษามหานคร 5 แห่งในอินเดียซึ่งได้แก่ นิวเดลี มุมไบ เจนไน โกลกาตา และเบงกาลูรู ผ่านเรดาร์ดาวเทียมที่ชื่อว่า InSAR ตั้งแต่ปี 2015 ถึง 2023 ซึ่งภาพกว่า 1,200 ภาพได้แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยพื้นที่กว่า 878 ตารางกิโลเมตรของหลายเมืองกำลังทรุดตัวมากกว่า 4 มิลลิเมตรทุกปี 

ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการสูบน้ำใต้ดินที่มากเกิน นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าเมื่อน้ำโดนสูบออกไป ดินก็จะอัดตัวสร้างพื้นว่างใต้ดิน ซึ่งก็จะทรุดตัวลงมา จากนั้นพื้นผิวก็จะเริ่มจมลง ไม่เพียงเท่านั้นมันยังทำให้น้ำไหลกลับเข้าสู่ชั้นใต้ดินลดลงด้วย 

การศึกษาประเมินว่า อาคารกว่า 2,406 แห่งในนิวเดลี มุมไบ และเชนไน มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดความเสียหายต่อโครงสร้าง และหากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ อาคารอีกว่า 23,000 แห่งอาจเผชิญกับความเสี่ยงสูงมากขึ้นภายใน 50 ปีข้างหน้า เชนไนอยู่ในอันดับต้น ๆ ของรายชื่อเมืองที่คาดว่าจะเกิดความเสียหายในอนาคต ตามมาด้วยเดลีและมุมไบ 

“ความตึงเครียดเงียบ ๆ ที่เราเห็นในปัจจุบันนี้อาจนำไปสู่ภัยพิบัติในอนาคต หากเมืองต่าง ๆ ไม่ปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายการจัดการน้ำใต้ดิน” นิเธชนิรมาล สาธาศิวัม (Nitheshnirmal Sadhasivam) นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่ทำงานร่วมกับเวิร์ธ และผู้เขียนหลักกล่าว

แนวโน้มนี้กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก

การศึกษาในปี 2022 โดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนานยาง ร่วมกับห้องปฏิบัติการขับเคลื่อนไอพ่นของนาซา (NASA’s Jet Propulsion Laboratory) และสถาบันเทคโนโลยีซูริก (ETH Zürich) แสดงให้เห็นว่าบางส่วนของเมืองชายฝั่งหลายแห่งในโลกกำลังจมลงเร็วกว่าระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น

ข้อมูลเรดาร์จากดาวเทียมนาซาได้ทำการวัดระดับความสูงขึ้นพื้นดินทั่วโลก ทำให้สามารถวัดการทรุดตัวของแผ่นดินใน 48 เมืองใหญ่ในระหว่างปี 2014 ถึง 2020 สิ่งที่พบก็คือ หลายเมืองจมลงในอัตราเฉลี่ย 20 มิลลิเมตรต่อปี เช่น นครโฮจิมินห์อยู่ที่ 16.2 มิลลิเมตรต่อปี 

ขณะที่ระดับน้ำทะเลกำลังสูงขึ้นประมาณ 3.7 มิลลิเมตรต่อปี ดังนั้นจึงหมายความว่าบางส่วนของเมืองเช่น นครรีโอเดจาเนโร อาจจมอยู่ใต้น้ำภายในปี 2030 หากไม่มีมาตรการใด ๆ ในการยับยั้งระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น 

แม้แต่แผ่นดินใหญ่อย่างจีนเองก็กำลังประสบปัญหาเดียวกัน งานวิจัยในปี 2024 ระบุว่าเซี่ยงไฮ้ เมืองใหญ่ที่สุดของจีนได้ทรุดตัวลงมากถึง 3 เมตรในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา

“การทรุดตัวเหล่านี้เป็นอันตรายต่อความสมบูรณ์ของโครงสร้างอาคาร และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ทำให้ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศรุนแรงขึ้นในแง่ของน้ำท่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองชายฝั่งที่ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น” ศาสตราจารย์โรเบิร์ต นิโคลส์ (Robert Nicholls ) จากศูนย์วิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทินดอลล์ มหาวิทยาลัยอีสต์แองเกลีย กล่าว 

ก่อนหน้านี้ โอซาก้าและโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นเองก็ประสบปัญหาแผ่นดินทรุดตัวเช่นนั้น ทว่าในช่วงทศวรรษ 1970 ทั้งสองเมืองได้ทำการหยุดใช้น้ำใต้ดิน ทำให้ปัญหานี้ลดลงอย่างมากจนแทบจะหยุดทรุดตัว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าวิธีนี้เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ 

นักวิทยาศาสตร์เรียกร้องให้มีการทำความเข้าใจผลกระทบด้านแผ่นดินทรุดตัวมากขึ้น รวมถึงทำงานร่วมกับนักวางผังเมืองเพื่อพัฒนาวิธีป้องกันให้มีประสิทธิภาพ 

“เมืองและพื้นที่หลายแห่งทั่วโลกกำลังพัฒนากลยุทธ์เพื่อจัดการความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น” ศาสตราจารย์ นิโคลส์ กล่าว “เราจำเป็นต้องเรียนรู้จากประสบการณ์นี้ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากการทรุดตัวของดิน ซึ่งพบได้บ่อยกว่าที่ยอมรับกันในปัจจุบัน”

สืบค้นและเรียบเรียงข้อมูล 

วิทิต บรมพิชัยชาติกุล

ที่มา

https://www.science.org

https://www.science.org

https://www.nature.com

https://www.earth.com


อ่านเพิ่มเติม : สุโขทัย Risks & Resilience

เมืองแห่งการปรับตัวกับน้ำท่วมและน้ำแล้ง

Recommend