สัมภาษณ์ ดร.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หนึ่งในคณะกรรมการร่าง พ.ร.บ. โรงงานอุตสาหกรรม ถึงเรื่องที่คนไทยต้องโฟกัสให้ดีหากประเทศต้องเดินหน้าไปพร้อมๆกับเอ็มโอยูไทย-สหรัฐ
จนถึงวันนี้บันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MoU) ว่าด้วยความร่วมมือระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ (critical minerals) ยังเป็นประเด็นที่สังคมไทยกำลังตั้งคำถาม ทั้งการเชื่อมโยงไปถึงผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ ภูมิศาสตร์และอำนาจอธิปไตยของแต่ละประเทศในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
ยิ่งเฉพาะในมิติสิ่งแวดล้อม ซึ่งบันทึกความเข้าใจสุ่มเสี่ยงต่อการเปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ เช่น โรงถลุงแร่หายาก หรือแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earths) จากสหรัฐอเมริกามาตั้งฐานการผลิตในไทย สุ่มเสี่ยงต่อการได้มลพิษจากกัมมันตรังสี ในขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ยังไม่มีความเชี่ยวชาญมากพอในอุตสาหกรรมด้านนี้
ในวันที่เศรษฐกิจไทยสำคัญพอๆกับความสมดุลทางสิ่งแวดล้อม การจัดวางประเทศในสงครามภูมิรัฐศาสตร์สำคัญพอๆกับคุณภาพชีวิตของประชาชน National Geographic ฉบับภาษาไทย ชวน ดร.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการร่าง พ.ร.บ. โรงงานอุตสาหกรรม สนทนาถึงเรื่องที่คนไทยต้องโฟกัสให้ดีหากประเทศต้องเดินหน้าไปพร้อมๆกับเอ็มโอยู

ในฐานะนักวิชาการสิ่งแวดล้อม มองการลงนามเอ็มอูโยเรื่องนี้ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาอย่างไร?
ถึงวันนี้มันกลับไปมองถึงอดีตไม่ได้แล้ว เมื่อเซ็นไปแล้ว ภาพใหญ่คือต้องเตรียมความพร้อม ทั้งมิติการศึกษา การร่างข้อกฎหมาย หรือการหามาตรการควบคุมป้องกันผลกระทบ และสำรวจหาพื้นที่ที่มีแร่อย่างเป็นทางการ
เราต่างรู้ว่า ในเชิงการทำเหมืองแร่ระดับอุตสาหกรรม กระบวนการที่นำมาซึ่งแร่หายากมีความซับซ้อนสูง เกิดผลกระทบสูง ตั้งแต่การหาแร่ในชั้นหิน ดีบุก ซึ่งต้องระเบิดภูเขา ทำแบบเหมืองทั่วไป หรือการทำเหมืองใต้ดินสำหรับแหล่งแร่ที่อยู่ลึกจากนั้นจึงมีกระบวนการอย่าง การบดหิน (crushing) บดละเอียด (grinding) และการแยกแร่ (beneficiation) เพื่อรวมแร่ธาตุหายากเข้าด้วยกัน แร่ที่ได้จะถูกนำไปผ่านกระบวนการแยกด้วยสารเคมีและวิธีทางกายภาพ เช่น การลอยแร่ด้วยฟองอากาศ (froth flotation)การชะล้างด้วยกรดหรือด่าง (leaching) และ การสกัดด้วยตัวทำละลาย (solvent extraction) เพื่อแยกทำให้ธาตุหายากแต่ละชนิดบริสุทธิ์ออกจากส่วนผสม ซึ่งแต่ละกระบวนการจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป ดังนั้นเมื่อฟังว่ามีขั้นตอนดังนี้แล้วจึงเป็นไปไม่ได้เลยว่าจะไม่กระทบกับสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศโดยตรง มันเหมือนกับการมีโรงงานอุตสาหกรรมมาตั้งในบ้านคุณ
ก่อนจะพูดเรืองนี้ ผมขอนิยามคำว่าแร่หายากในความหมายของผมก่อน แร่หายากหรือแร่แรร์เอิร์ธ คือกลุ่มของธาตุ 17 ชนิด ที่มีอยู่มากมายในธรรมชาติ ถูกนำมาใช้ผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีมากมาย เช่น ฮาร์ดไดรฟ์คอมพิวเตอร์ มอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า เครื่องยนต์เจ็ท และอุปกรณ์ทางทหาร โดยมันทำให้วัตถุมีขนาดเล็กลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นแร่หายากเพราะพบได้น้อยมากในรูปแบบบริสุทธิ์ และเป็นอันตรายอย่างยิ่งในการสกัด ซึ่งการที่อเมริกาเลือกที่จะแสวงหาในประเทศอื่นก็มาจากปัญหาการค้ากับจีน
สำหรับประเทศไทย การที่รัฐบาลเราจะทำอะไรที่มีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมสูง โดยหลักการก่อนลงนามข้อตกลงรัฐจำเป็นที่จะต้องชี้แจงกับประชาชนให้รับทราบก่อน และในช่วงที่สหรัฐอเมริกาลงนามข้อตกลงกับหลายประเทศ เราได้ยินข่าวในเวลาเดียวกันนี้คือประเทศออสเตรเลีย มาเลเซีย ประเทศเหล่านี้เท่าที่ติดตามเขามีการชี้แจงกับประชาชนก่อนลงนาม และมีการวางแผนโดยคำนึงถึงเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ประเทศออสเตรเลียก็บอกประชาชน แตกต่างจากไทยที่บอกเพียงว่า ไม่มีปัญหาและสามารถยกเลิกเมื่อใดก็ได้ ทั้งในความเป็นจริงเรากล้ายกเลิกจริงๆหรือไม่ ดังนั้นมันไม่ใช่เป็นเรื่องที่ยกเลิกได้หรือไม่ แต่เป็นเรื่องที่ทำไมคนไทยไม่รู้มาก่อนเลยจนกระทั่งเข้าสู่การลงนาม แต่เอาละ เมื่อมันถอยหลังกลับไม่ได้ เราก็ต้องกลับมาเตรียมตัวให้ดี
จากการศึกษาในต่างประเทศ การทำเหมืองแร่ในลักษณะเดียวกันนี้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง?
โดยกระบวนการของเสียจากกระบวนการชะล้างแร่ (Leaching) มักไหลลงสู่แหล่งน้ำใต้ดินและลำธาร สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนใกล้เคียงที่พึ่งพาแหล่งน้ำเหล่านั้น ตัวอย่างจากพื้นที่ภูเขาทางตอนใต้ของจีน และตอนเหนือของเมียนมา ซึ่งถูกนำมาประโยชน์อย่างหนักเพื่อขุดแร่ ชุมชนในพื้นที่เหล่านี้เผชิญกับปัญหาน้ำดื่มที่ปนเปื้อน ส่งผลให้เกิดโรคผิวหนัง มะเร็ง และความผิดปกติทางพันธุกรรม นอกจากนี้ สัตว์ป่าและพันธุ์ปลาท้องถิ่นเสี่ยงสูญพันธุ์ เนื่องจากห่วงโซ่อาหารถูกทำลาย
ผมลองค้นข้อมูลดูว่าในสหรัฐอเมริกามีการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ เพียง 2 แห่งเท่านั้น คือที่รัฐแคลิฟอร์เนีย และรัฐจอร์เจีย ทั้งๆที่ในประเทศมีแร่สำคัญจำนวนมากเป็นอันดับ 7 ของโลก คำถามคือทำไมเขาถึงไม่ทำเองมากกว่านี้ แต่กลับพยายามส่งต่อมาที่ประเทศในอาเซียน เหตุผลส่วนหนึ่งก็เพราะว่ากระบวนการทั้งหมดมีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมสูง
อย่างที่บอกไป แร่พวกนี้จะเกาะอยู่ในแร่ดีบุก ทังสเตน หินแกรนิต ซึ่งต้องระเบิดภูเขา ขณะเดียวกันเมื่อนำมาสกัดออก มันต้องใช้สารเคมีลงไป ซึ่งเชื่อมโยงกับมลภาวะในน้ำ ในดิน เพราะแร่แรร์เอิร์ธที่นำมาสกัด มักปนเปื้อนด้วยธาตุทอเรียม (Thorium) และยูเรเนียม (Uranium) ซึ่งเป็นสารที่มีกัมมันตภาพรังสีสูง การแยกแร่เหล่านี้ออกจากกันจึงต้องใช้กระบวนการที่ซับซ้อนและต้องจัดการของเสียอย่างระมัดระวัง หากเกิดข้อผิดพลาด
เราต่างรู้ดีว่า ในเวลานี้จีนควบคุมไม่ส่งออกแร่หายาก 12 ชนิด จาก 17 ชนิดให้สหรัฐ ซึ่งเรื่องแร่หายากนี้ถือเป็นจุดอ่อนของสหรัฐ แต่เป็นจุดแข็งของจีน เพราะเวลานี้จีนควบคุมห่วงโซ่การผลิตอุตสาหกรรมแร่หายากสัดส่วนกว่า 90% ของโลก ซึ่งห่วงโซ่อุปทานที่สหรัฐได้เดินสายดึงประเทศในเอเชีย และอาเซียน รวมถึงไทยเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานแร่หายากของสหรัฐ ก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสหรัฐและพันธมิตรว่า จะมีแร่หายากใช้ในอีก 5–10 ปีข้างหน้า เพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น รถยนต์ EV แบตเตอรี่ เซมิคอนดักเตอร์ อาวุธ การแพทย์ และอวกาศ ที่ต้องใช้แร่หายากเป็นวัตถุดิบในการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่าง
สำหรับผมถึงตรงนี้ ไม่ได้ว่าใครนะแต่เมื่อเราทำไปแล้ว และไปยกเลิกไม่ได้ ดังนั้นเมื่อถึงวันนี้รัฐบาลจึงต้องไปเตรียมแผนให้พร้อม กรมทรัพยากรธรณีฯ ต้องมีมาตรการที่เตรียมรับผลกระทบ มีข้อกำหนดขั้นต่ำที่ทุกประเทศที่เข้ามาต้องทำ เพื่อให้เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม และชุมชนที่เกี่ยวข้อง สอดคล้องไปด้วยกัน และต้องให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมและให้ความคิดเห็น มิใช่บอกแค่ว่าพื้นที่ตรงไหนมี และมีมูลค่ามหาศาล แต่เมื่อมันไปกระทบกับชีวิต แหล่งท่องเที่ยว ป่าไม้
เราเคยมีแหล่งสัมปทาน อย่างเหมืองทองอัครา เหมืองแร่โปรแตส ที่เคยเป็นข่าวก่อนหน้านี้ บทเรียนนี้สอนอะไรกับเรา?
การให้สัมปทานไม่ใช่การปล่อยให้ทำอะไรก็ได้ และคำถามของผมกับประเด็นนี้คือเรารู้จักเทคโนโลยี ในการหาแร่หายากแค่ไหน ในเมื่อเราไม่เคยทำ ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี เราต้องกลับไปศึกษาต่างประเทศที่เคยทำมาแล้วทำอย่างไร สิ่งใดคือจุดเสี่ยง ทั้งสองกรณีคือบทเรียนที่บอกว่าในทุกขั้นตอนอาจมีเรื่องไม่คาดคิด มีความไม่เข้าใจเทคโนโลยี หรือมีช่องว่างจนเกิดความผิดผลาด ซึ่งบทเรียนด้านสิ่งแวดล้อมของการทำเหมืองเป็นอย่างไรก็อย่างที่เราทราบกัน
ก่อนการลงทุนมีการศึกษาที่รอบคอบแค่ไหน และมันถูกทำโดยใคร หลักการสำคัญที่ภาครัฐต้องทำ คือโครงการอะไรก็ตามที่สามารถสร้างผลกระทบสูงจะต้องมีการประเมินความเสี่ยงในช่วงก่อนทำ อีกทั้งต้องเข้มงวดเรื่องมาตรการไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรก็ตาม ทั้งระเบิด ไฟไหม้ สารเคมีรั่วไหล จะต้องมีแนวทางรับมือ (action plan) ให้ชัดเจน นอกจากนี้รัฐบาลเองจะต้องตั้งภาคประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในทุกคณะกรรมการในการออกกฎหมายและออกกฎระเบียบ ที่เรียกว่า Public Participation
หากจะเดินหน้าจริง สำหรับแร่หายาก อะไรคือเทคโนโลยีสะอาดที่เหมาะสมที่สุด และควรจะทำที่ไหน อย่างไร ดังนั้นกรมทรัพยากรธรณี และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ต้องมีข้อมูลอย่างละเอียด ก่อนเขียนเป็นข้อกำหนด โดยที่รัฐต้องบอกประชาชนว่าเราจะทำอะไรต่อไป ให้โปร่งใส


กระบวนการทำแร่มีหลายขั้นตอน ก่อนหน้ามีรายงานว่าประเทศไทยมีโรงงานแต่งแร่ เพื่อส่งต่อให้อีกประเทศ กระบวนการนี้สร้างปัญหาใดแล้วหรือไม่?
เปรียบเหมือนว่าเรารับจ้างผลิต แต่ในฐานะเจ้าของประเทศแทบไม่รู้อะไรเลย ประเด็นนี้ผมยังตอบไม่ได้ เพราะเกือบทั้งหมดทำอยู่ในระบบปิด และน้อยคนมากที่จะรู้รายละเอียด และเมื่อมีประเด็นเราถึงจะรู้ว่าว่าโรงงานประเภทนี้กำลังจะขอตั้งที่บริเวณทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี สิ่งเหล่านี้มันถูกหลบซ่อน ไม่มีใครรู้ ซึ่งผลกระทบมีอย่างไรคงไม่รู้ ซึ่งโดยหลักการถ้าแร่ที่ทำเป็นเหล็กก็คงไม่กระทบมากเท่าใด แต่เราก็ไม่รู้ว่ามันมีธาตุทอเรียม (Thorium) และยูเรเนียม (Uranium) บ้างไหม ผมยังไมไ่ด้ศึกษาในประเด็นนี้

ทั้งการสัมปทาน การทำเหมือง โครงการต่างๆ มีปัจจัยเบื้องหลังคือมิติเศรษฐกิจ มองว่าจะทำไรให้การพัฒนาเศรษฐกิจไปด้วยกันกับมิติด้านสิ่งแวดล้อม?
การสร้างสมดุลคือหัวใจ และสำหรับผมไม่ได้กล่าวโทษใคร แต่ต้องทำให้มันไปทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม ชุมชน ในเมื่อเซ็นไปแล้ว มันคงเกิดขึ้นแน่ แต่ก่อนที่จะเกิดขึ้นเรามีสิ่งป้องกันตัวเองแค่ไหน เราต้องหามาตรการป้องกันลดผลกระทบ ศึกษาเทคโนโลยีที่จะช่วยลดความรุนแรงทางสิ่งแวดล้อมได้ ประชาชนต้องรู้ว่าพื้นที่ตรงไหนที่จะทำและร่วมมีส่วนร่วม
เราไม่ขัดขวางการพัฒนาแน่นอน แต่ก่อนจะเกิดขึ้นการประเมินเพียง EIA (Environmental Impact Assessment หรือการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) มันคงไม่พอ ที่สำคัญคือชุมชน ที่ต้องประเมินพื้นที่ว่าคือแหล่งเกษตรกรรม แหล่งท่องเที่ยว พื้นที่ป่าไม้หรือพื้นที่ชุ่มน้ำหรือไม่
เรามีประสบการณ์มาแล้วในการโครงการอื่นๆมาก่อน เช่น การทำนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบับ ที่มีการเวนคืนพื้นที่ ซึ่งต้องทำให้โปร่งใสและเป็นธรรม ให้เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน
ยกตัวอย่างหากมีการเวนคือก็ต้องให้ผลตอบแทนประชาชนที่สมเนื้อสมเนื้อ ดูกลุ่มอาชีพที่อ่อนไหวหลังจากความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะพื้นที่ท่องเที่ยว ป่าไม้ ทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ เพราะผลลัพธ์ของเรื่องนี้เราอาจจะได้แร่จริง ประสบความสำเร็จในเชิงการให้สัมปทาน แต่สิ่งที่ตามมาทั้งหางแร่ จำนวนขยะ มลพิษ อยู่ที่ประเทศไทยหมด เหมือนกับการเป็นเจ้าของบ้านและให้เขามาทำกินแลกกับทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆที่
เมื่อเซ็นเอ็มโอยูไปแล้ว เรามาช่วยกันดีกว่า กลับมาป้องกันตัวเอง ทำให้ประชาชนเข้าใจ ทำประชาสัมพันธ์ให้รู้ว่าการทำครั้งนี้เรามีจุดดี และข้อด้อยอะไรที่ต้องระวัง โดยที่รัฐบาลต้องตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาเรื่องนี้โดยเฉพาะโดยมีประชาชนมีส่วนร่วมอย่างจริงใจ มิเช่นนั้นเราอาจประสบความสำเร็จเรื่องการค้นพบ ในเชิงการทำอุตสาหกรรม แต่อีกด้านคุณภาพชีวิตของคนไทยไม่ได้ดีขึ้นตาม
เรื่อง : อรรถภูมิ อองกุลนะ
ภาพถ่าย : อภินัยน์ ทรรศโนภาส
อ่านเพิ่มเติม : มหาสมุทรจะฟื้นตัว ความหวังของ Sir David Attenborough นักทำสารคดีวัย 99 ปี ชายผู้หลงรักโลกใต้ทะเล
