คุณลักษณะเหล่านี้รวมอยู่ในตัวปีกัสโซ ผู้คุยโวเรื่องฝีมือทางศิลปะอันเหนือชั้นของตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก หลังได้ชมนิทรรศการศิลปะเด็กเมื่อปี 1946 เขาเอ่ยข้อความที่โด่งดังว่า เขาไม่มีวันเข้าร่วมงานแบบนี้เพราะ “ตอนอายุ 12 ผมก็วาดเหมือนราฟาเอลแล้ว” สมาชิกในครอบครัวเล่าว่า ตอนเป็นเด็ก ปีกัสโซจะวาดรูปซึ่งบางครั้งก็ทำตามคำขอครั้งละหลายชั่วโมงจนวาดไม่ไหว งานชิ้นแรกๆของเขาที่ยังอยู่ในปัจจุบันเชื่อว่ามีอายุย้อนกลับไปได้ถึงปี 1890 ตอนนั้นปีกัสโซมีอายุเก้าขวบ โดยมีภาพวาดสีน้ำมัน “เลปีกาดอร์” ซึ่งเป็นภาพนักสู้วัวกระทิงบนหลังม้ารวมอยู่ด้วย
ภายในไม่กี่ปี ปีกัสโซก็วาดภาพเหมือนของครอบครัวและเพื่อนฝูงได้อย่างช่ำชอง พออายุ 16 ปี ผลงานศิลปะก็ส่งให้เขาได้เรียนที่ราชบัณฑิตยสถานวิจิตรศิลป์ซานเฟร์นันโดอันทรงเกียรติในกรุงมาดริด ซึ่งเขาได้ศึกษางานของบรมครูชาวสเปนที่เขานับถือ รวมถึงเดียโก เบลัซเกซ และเอลเกรโก
เด็กอัจฉริยะส่วนใหญ่ไม่ได้โตขึ้นมาเป็นอัจฉริยะ ไม่ว่าจะฝีมือดีไร้ที่ติเพียงใด อัจฉริยะต้องมีบุคลิกภาพโดดเด่นและท้าทาย เสริมด้วยความกล้าและวิสัยทัศน์ที่จะปฏิวัติวงการ ปีกัสโซยังเป็นแค่เด็กชายตอนที่ปอล เซซาน, ชอร์ช เซอรา และศิลปินแนวอิมเพรสชันนิสม์ยุคหลังคนอื่นๆปลดปล่อยตัวเองจากขนบอิมเพรสชันนิสม์ที่ใช้สีสันสดใสมาเป็นการใช้รูปทรงที่ชัดเจนและเติมความเข้มข้นทางอารมณ์ลงบนผืนผ้าใบ
เมื่อถึงยุคของเขา ปีกัสโซก้าวไปอีกขั้นด้วยความรุนแรงราวกระทิงหนุ่ม ภาพวาด “เลเดอมัวแซลดาวีญง” (“Les Demoiselles d’Avignon”) เมื่อปี 1907 ของเขาปฏิรูปขนบเดิมๆของการจัดองค์ประกอบ ทัศนมิติ และความสุนทรีย์ ในภาพแสดงถึงหญิงเปลือยห้าคนที่ซ่องโสเภณีแห่งหนึ่ง ใบหน้าของพวกเธอบิดเบี้ยว ร่างกายเป็นรอยหยัก แม้กระทั่งพวกเพื่อนสนิทของเขายังตกใจ แต่ภาพนั้นจะกลายเป็นหมุดหมายของขบวนการเคลื่อนไหวทางศิลปะที่พลิกโลกอย่างคิวบิสม์ และ พุ่งขึ้นสู่อันดับหนึ่งของรายการภาพเขียนสำคัญที่สุดแห่งศตวรรษที่ยี่สิบ
โกลด ลูกชายของเขาบอกว่า ศิลปะของปีกัสโซไม่เคยมุ่งเอาใจใคร เขาไม่รับค่าจ้าง แต่วาดสิ่งที่อยากวาดและคาดหวังว่าผู้คนจะสนใจ แล้วทำไมเราจึงรู้สึกว่าภาพวาดของเขาดึงดูดใจนัก วิทยาศาสตร์ให้คำตอบที่น่าสนใจไม่แพ้กันในศาสตร์ใหม่ด้านประสาทสุนทรียศาสตร์ (neuroaesthetics) นักวิจัยใช้ภาพถ่ายสมองทำความเข้าใจการตอบสนองที่คนเรามีต่อศิลปะ ตั้งแต่ภาพดอกบัวของโกลด โมเน ไปจนถึงสารพัดสี่เหลี่ยมของมาร์ก รอทโก
ในการศึกษาชิ้นหนึ่ง เอดเวิร์ด เวสเซล นักประสาทวิทยาศาสตร์จากสถาบันมักซ์พลังค์เพื่อสุนทรียศาสตร์เชิงประจักษ์ในเมืองแฟรงก์เฟิร์ต สแกนสมองของคนขณะจัดลำดับปฏิกิริยาที่พวกเขามีต่อภาพถ่ายงานศิลปะกว่าหนึ่งร้อยภาพ โดยให้คะแนนตั้งแต่หนึ่งถึงสี่ (สี่คือประทับใจมากที่สุด) ไม่น่าประหลาดใจที่ระบบการรับภาพของผู้เข้าร่วมงานวิจัยทำงานทุกครั้งที่พวกเขาชมภาพ แต่มีเพียงงานศิลปะที่ประทับใจที่สุด หรือภาพที่ถูกมองว่าสวยเป็นพิเศษ น่าตื่นตาหรือจับใจ จะกระตุ้นให้วงจร “โครงข่ายค่าเริ่มต้น” (default mode network) ของสมองทำงาน วงจรดังกล่าวทำให้เราเพ่งความสนใจสู่ภายใน และเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดอันเป็นส่วนตัวที่สุดของเราได้
เวสเซลบอกว่า สมดุลของการมองเห็นภายนอกและการครุ่นคิดภายในเช่นนั้นไม่ธรรมดา “มันคือสภาวะพิเศษของสมองครับ” เนิ่นนานก่อนที่วิทยาศาสตร์ด้านสมองจะปะติดปะต่อเรื่องนี้ ปีกัสโซดูจะเข้าใจพลวัตนี้มานานแล้ว เขาเคยพูดไว้ว่า “ภาพจะมีชีวิตก็โดยผ่านคนที่ชมมันเท่านั้น”
เรื่อง คลอเดีย คัลบ์
ภาพถ่าย เปาโล วูดส์ และกาบรีเอเล กาลิมแบร์ตี