ที. เร็กซ์หลบไปไกลๆ เพราะสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่ที่สุดและร้ายกาจที่สุด ที่เคยท่องพื้นพิภพคือ สไปโนซอรัส
เย็นวันที่ 3 มีนาคม ปี 2013 นักบรรพชีวินวิทยาหนุ่มนาม นิซาร์ อิบรอฮีม นั่งอยู่ที่ร้านกาแฟริมถนนในเมืองเอร์ฟูด ประเทศโมร็อกโก เหม่อมองแสงตะวันกำลังลาลับ พลางรู้สึกว่าความหวังของเขาก็กำลังริบหรี่ตามไปด้วย สามวันก่อนหน้านั้น อิบรอฮีมกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคนมายังเอร์ฟูดเพื่อตามหาชายคนหนึ่งซึ่งอาจไขปริศนาที่ครอบงำจิตใจเขาตั้งแต่สมัยเด็กๆ
ชายคนที่อิบรอฮีมตามหาเป็นฟุยเยอร์ หรือนักล่าฟอสซิลในท้องถิ่น ซึ่งขาย “สินค้า” ให้ร้านค้าและนายหน้า ในบรรดาฟอสซิลลํ้าค่าที่สุดคือกระดูกไดโนเสาร์จากชั้นหินเคมเคม ซึ่งเป็นผาชันยาว 250 กิโลเมตรที่มีตะกอนทับถมมาตั้งแต่กลางยุคครีเทเชียส หรือระหว่าง 100 ถึง 94 ล้านปีก่อน
หลังจากตระเวนไปตามแหล่งขุดค้นต่างๆ ใกล้หมู่บ้านเอลเบกาอยู่นานหลายวัน นักวิทยาศาสตร์ทั้งสามก็หันไปเดินหาตามถนนสายต่างๆ ในเมืองด้วยความหวังว่าจะพบชายคนดังกล่าว ในที่สุดพวกเขาก็ถอดใจถอยมาตั้งหลัก ดื่มชาสะระแหน่และปลอบใจกันที่ร้านกาแฟแห่งนี้ “ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมฝันไว้ดูเหมือนจะสูญสลายไปหมดครับ” อิบรอฮีมเท้าความหลังให้ฟัง
ความฝันของอิบรอฮีมผูกพันแนบแน่นกับความฝันของนักบรรพชีวินวิทยาอีกคนซึ่งผจญภัยไปในทะเลทรายแห่งนี้ เมื่อหนึ่งศตวรรษก่อน ระหว่างปี 1910 ถึง 1914 แอนสท์ ไฟรแฮร์ ชโตรเมอร์ ฟอน ไรเคนบาค ชนชั้นสูงชาวบาวาเรีย และทีมงานของเขาออกสำรวจที่ใช้เวลายาวนานหลายครั้งในทะเลทรายสะฮาราของประเทศอียิปต์ โดยลัดเลาะไปตามชายขอบด้านตะวันออกของระบบแม่นํ้าโบราณซึ่งมีชั้นหินเคมเคมก่อตัวเป็นพรมแดนด้านตะวันตก
โตรเมอร์พบไดโนเสาร์ จระเข้ เต่า และปลาชนิดต่างๆ รวมทั้งสิ้นประมาณ 45 ชนิด ในบรรดาสิ่งที่ชโตรเมอร์ค้นพบได้แก่โครงกระดูกบางส่วนของไดโนเสาร์ชนิดใหม่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษสองโครง ไดโนเสาร์ชนิดนี้เป็นสัตว์นักล่าขนาดมหึมา มีขากรรไกรยาวหนึ่งเมตร และเต็มไปด้วยฟันรูปกรวยที่สบกันได้พอดี ทว่าลักษณะโดดเด่นที่สุดของมันคือโครงสร้างคล้ายกระโดงยาว 1.7 เมตรบนหลัง ซึ่งมีเงี่ยงกระดูกยาวคํ้ายันอยู่ภายใน ชโตรเมอร์ตั้งชื่อไดโนเสาร์ชนิดนี้ว่า สไปโนซอรัส อีจิปเทียคัส (Spinosaurus aegyptiacus)
การค้นพบของชโตรเมอร์ ซึ่งได้รับการจัดแสดงอย่างสวยงามในพิพิธภัณฑ์บรรพชีวินวิทยาและธรณีวิทยา รัฐบาวาเรียกลางเมืองมิวนิก ส่งผลให้เขามีชื่อเสียงโด่งดัง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาพยายามอย่างสุดกำลังที่จะเคลื่อนย้ายฟอสซิลออกจากมิวนิกเพื่อให้รอดพ้นจากรัศมีทำการของเครื่องบินทิ้งระเบิดฝ่ายสัมพันธมิตร แต่กลับได้รับคำตอบปฏิเสธจากผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นนาซีหัวรุนแรง และไม่ชอบหน้าชโตรเมอร์ เนื่องจากเขาวิพากษ์วิจารณ์การปกครองระบอบนาซีอย่างเปิดเผย
ในเดือนเมษายน ปี 1944 พิพิธภัณฑ์และฟอสซิลของชโตรเมอร์เกือบทั้งหมดถูกทำลายจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร สิ่งที่เหลืออยู่เกี่ยวกับสไปโนซอรัส มีเพียงบันทึกภาคสนาม ภาพวาด และภาพถ่ายสีซีเปียจำนวนหนึ่ง อิบรอฮีม ผู้เติบโตขึ้นในกรุงเบอร์ลิน รู้จักยักษ์ใหญ่หน้าตาประหลาดของชโตรเมอร์ครั้งแรกในหนังสือเกี่ยวกับไดโนเสาร์สำหรับเด็กพิมพ์เป็นภาษาเยอรมัน ตั้งแต่นั้นมา ไดโนเสาร์ก็ครอบงำจินตนาการและกลายเป็นความหลงใหลของเขา อิบรอฮีมไปชมพิพิธภัณฑ์บรรพชีวินวิทยาทั่วเยอรมนี ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสะสมหุ่นจำลองไดโนเสาร์และรูปหล่อฟอสซิลไว้มากมาย
อิบรอฮีมพบงานของชโตรเมอร์อีกครั้งขณะศึกษาวิชาบรรพชีวินวิทยาที่มหาวิทยาลัยบริสตอลในสหราชอาณาจักร “ขอบเขตงานของชโตรเมอร์กว้างขวางและลึกลํ้าอย่างเหลือเชื่อครับ และเป็นแรงบันดาลใจให้ผมมุ่งมั่นในงานวิจัยของตัวเอง” อิบรอฮีมกล่าว
ขณะที่นักศึกษาปริญญาเอกส่วนใหญ่จำกัดขอบเขตหัวข้อวิทยานิพนธ์ไว้ในกรอบแคบๆ วิทยานิพนธ์หนา 836 หน้าของอิบรอฮีมกลับบรรยายถึงฟอสซิลทั้งหมดที่พบในชั้นหินเคมเคม งานวิจัยภาคสนามระดับปริญญาเอกของอิบรอฮีมชักนำให้เขามาเอร์ฟูดหลายครั้ง ในการมาเยือนครั้งหนึ่งเมื่อปี 2008 ขณะอิบรอฮีมมีอายุ 26 ปี ชาวเบดูอินคนหนึ่งนำกล่องกระดาษมาให้เขาดู ภายในบรรจุหินสีม่วงสะดุดตาสี่ก้อน เนื้อหินมีลายทางสีเหลืองจากชั้นตะกอนแทรกอยู่ สิ่งที่ยื่นออกมาจากหินดูเหมือนกระดูกเท้าหน้าของไดโนเสาร์และแผ่นกระดูกแบนๆ ซึ่งมีภาคตัดขวางสีขาวนวลแปลกตา
ฟอสซิลนี้ก็ไม่ต่างจากฟอสซิลอื่นๆที่ขุดออกมาจากแหล่งขุดค้นอย่างไม่ระมัดระวัง คุณค่าทางวิทยาศาสตร์ของกระดูกจึงไม่น่าไว้ใจนัก กระนั้น อิบรอฮีมก็ซื้อไว้ทั้งหมด เพราะคิดว่ากระดูกเหล่านี้อาจมีประโยชน์อยู่บ้างสำหรับคลังตัวอย่างทางบรรพชีวินวิทยาที่เขารวบรวมขึ้นในโมร็อกโก
ปีต่อมา ระหว่างไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาในนครมิลาน ประเทศอิตาลี อิบรอฮีมจึงตระหนักว่า ฟอสซิลดังกล่าวอาจมีความสำคัญอย่างมหาศาล ที่นั่น กริสเตียโน ดัล ซัสโซ และซีโมเน มากานูโก สองนักวิจัย ให้เขาชมโครงกระดูกบางส่วนของไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ที่เพิ่งได้มาจากพ่อค้าฟอสซิล ตัวอย่างฟอสซิลถูกนำมาวางบนโต๊ะในชั้นใต้ดิน อิบรอฮีมถึงกับตกตะลึง นี่คือ สไปโนซอรัส แน่ๆ ครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งกว่าตัวอย่าง ของแอนสท์ ชโตรเมอร์เสียอีก
ดัล ซัสโซ และมากานูโก บอกเขาว่า พ่อค้าคนนั้นคิดว่ามันถูกขุดจากแหล่งโบราณคดีที่ชื่อ อาเฟร์ดูอึนชัฟต์ ใกล้กับเอลเบกา กระดูกยังฝังอยู่ในหินทรายสีม่วงมีลายทางสีเหลือง เมื่อยกเงี่ยงกระดูกสันหลังขึ้นดู อิบรอฮีมก็เห็นภาคตัดขวางสีขาวที่คุ้นตา “ผมรู้ทันทีว่ากระดูกที่ซื้อมาจากเอร์ฟูดต้องเป็น สไปโนซอรัส แน่ๆ กระดูกแบนๆ หน้าตาประหลาดชิ้นนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเงี่ยงกระดูกสันหลังครับ” อิบรอฮีมเท้าความให้ฟัง
ตอนนั้นเองเขาจึงคิดขึ้นได้ว่า ฟอสซิลชิ้นเล็ก ชิ้นน้อยจากเอร์ฟูดกับตัวอย่างฟอสซิลอลังการในมิลานอาจเป็นของสัตว์ตัวเดียวกัน หากเป็นเช่นนั้น และหากเขาสามารถระบุตำแหน่งแน่นอนที่ฟอสซิลฝังอยู่ได้ ฟอสซิลเหล่านี้ก็อาจเปรียบได้กับศิลาโรเซตตา [Rosetta Stone— ศิลาจารึกที่พบเมื่อปี 1799 นำ ไปสู่การถอดรหัสอักษรภาพเฮียโรกลิฟิกของอียิปต์โบราณ] สำหรับไขปริศนาเกี่ยวกับ สไปโนซอรัส และโลกที่มันอาศัยอยู่ ทว่าเขาต้องตามหาชายชาวเบดูอินคนนั้นให้พบเสียก่อน “ผมไม่รู้จักชื่อของเขา แถมยังจำได้แค่ว่า เขาไว้หนวดและสวมชุดสีขาว” อิบรอฮีมบอก “ลำพังข้อมูลเพียงเท่านี้ ในโมร็อกโกไม่ได้ช่วยให้เบาะแสแคบลงเลยครับ”
ดังนั้นในเดือนมีนาคม ปี 2013 เขาจึงกลับไปเอร์ฟูด อิบรอฮีมพร้อมด้วยซามีร์ ซุฮ์รีย์ จากมหาวิทยาลัยฮะซันที่สองในเมืองคาซาบลังกา และเดวิด มาร์ทิลล์ จากมหาวิทยาลัยพอร์ตสมัทในสหราชอาณาจักร ไปเยือนแหล่งขุดค้นหลายแห่ง เริ่มจากอาเฟร์ดูอึนชัฟต์ ดูเหมือนไม่มีใครจำภาพถ่ายฟอสซิลสไปโนซอรัสของอิบรอฮีมได้ หรือรู้จักชายชาวเบดูอินที่อิบรอฮีมอธิบายรูปลักษณ์อย่างคลุมเครือ
หลังจากเที่ยวสืบหาไปตามถนนสายต่างๆในเอร์ฟูดในวันสุดท้ายของพวกเขา ท้ายที่สุด พวกเขาก็ถอดใจ แล้วมาแวะนั่งพักในร้านกาแฟแห่งนี้ ขณะที่พวกเขานั่งเหม่อมองผู้คนสัญจรไปมาบนท้องถนน ชายไว้หนวดสวมชุดสีขาวคนหนึ่งเดินผ่านไป อิบรอฮีมกับซุฮ์รีย์หันมามองหน้ากัน แล้วลุกพรวดขึ้นติดตามชายผู้นั้นไปทันที ปรากฏว่าเป็นชายคนเดียวกันนั้นเอง
เขายืนยันว่าลงมือขุดกระดูกออกจากผาหินด้วยความ ยากลำบากนานกว่าสองเดือน ตอนแรกเขาขุดได้กระดูกที่ขายให้อิบรอฮีม จากนั้นก็พบกระดูกมากขึ้นในบริเวณถัดเข้าไปบนไหล่เขา ซึ่งท้ายที่สุดเขาขายให้พ่อค้าฟอสซิลในอิตาลีเป็นเงิน 14,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อพวกเขาขอให้พาไปยังจุดที่พบ ทีแรกชายคนดังกล่าวปฏิเสธ อิบรอฮีมจึงอธิบายว่าการได้รู้ว่าพบกระดูกที่ไหนเป็นเรื่องสำคัญเพียงใด และเหตุใดการรู้ตำแหน่งนั้นจะช่วยนำไดโนเสาร์ตัวนี้กลับมาสู่โมร็อกโกได้ในวันหนึ่ง โดยจะเป็นส่วนหนึ่งของการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ของคาซาบลังกา ชายชาวเบดูอินซึ่งฟังอยู่อย่างเงียบๆ พยักหน้าหงึกๆ
“ผมจะพาพวกคุณไปดูครับ” เขาบอก
หลังจากขับรถแลนด์โรเวอร์บุโรทั่งผ่านสวนปาล์มทางตอนเหนือของเอร์ฟูด ชายคนนั้นพาพวกเขาเดินลัดเลาะไปตามก้นธารวาดี [wadi—ลำธารแห้งแล้งในเขตทะเลทราย] แห้งผาก แล้วไต่ขึ้นไปตามผาชันริมนํ้าลาดชัน ชั้นหินในหน้าผาที่อยู่รายรอบแสดงให้เห็นว่า เมื่อหนึ่งร้อยล้านปีก่อน ที่นี่เคยมีแม่นํ้าสายใหญ่คดเคี้ยวตัดผ่าน
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงปากหลุมกว้างบนไหล่เขาแห่งหนึ่งซึ่งเคยเป็นริมฝั่งแม่นํ้ามาก่อน
“ตรงนั้นครับ” ชายชาวเบดูอินบอก
อิบรอฮีมปีนขึ้นไป เขาสังเกตเห็นผนังหินทรายสีม่วง ที่มีลายทางสีเหลืองแทรกอยู่
สำหรับแอนสท์ ชโตรเมอร์ สไปโนซอรัส เป็นปริศนาชั่วชีวิต เขาใช้เวลาหลายทศวรรษพยายามศึกษาสัตว์หน้าตาพิลึกจากชิ้นส่วนโครงกระดูกสองโครงที่ทีมสำรวจของเขาขุดพบ ตอนแรกเขาอนุมานว่า เงี่ยงกระดูกสันหลังที่มีลักษณะยาวนี้อาจมีไว้คํ้ายันหรือรองรับหนอกบริเวณไหล่อย่างของไบซัน แต่ในเวลาต่อมา เขาสันนิษฐานว่า กระดูกเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกระโดงหลัง เช่นที่พบในกิ้งก่าและกิ้งก่าคามีเลียนในปัจจุบัน เขาสังเกตเห็นว่าเมื่อเทียบกับไดโนเสาร์กินเนื้อด้วยกัน
ขากรรไกรแคบๆ ของ สไปโนซอรัส มีลักษณะโดดเด่น ฟันของมันก็เช่นกัน เทอโรพอดกินเนื้อ ส่วนใหญ่จะมีฟันแบน ขอบฟันหยักคล้ายใบเลื่อย แต่ฟันของสไปโนซอรัสเรียบและเป็นรูปกรวยคล้ายฟันจระเข้ ชโตรเมอร์สรุปด้วยความไม่มั่นใจอย่างยิ่งแกมผิดหวังเล็กน้อยว่า สัตว์ชนิดนี้ “ได้รับการปรับแต่งทางวิวัฒนาการอย่างเฉพาะเจาะจงมาก” แต่ไม่อาจระบุได้ว่า ความเฉพาะเจาะจงนั้นเป็นไปเพื่อการใด
สไปโนซอรัส ยังเป็นส่วนหนึ่งของปริศนาลี้ลับข้อใหญ่กว่านั้น ซึ่งบางครั้งเรียกกันว่า ปริศนาของชโตรเมอร์ (Stromer’s Riddle) ซึ่งนักบรรพชีวินวิทยาในตำนานผู้นี้สังเกตเห็นครั้งแรกในฟอสซิลจากแอฟริกาเหนือ กล่าวคือ ในระบบนิเวศเกือบทั้งหมดทั้งในสมัยโบราณและยุคปัจจุบัน สัตว์กินพืชมีจำนวนมากกว่าสัตว์กินเนื้อมาก
ทว่าในพื้นที่ ตามแนวตะเข็บตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ตั้งแต่แหล่งขุดค้นในอียิปต์ของชโตรเมอร์ซึ่งอยู่ทางตะวันออก ไปจนถึงชั้นหินเคมเคมในโมร็อกโกซึ่งอยู่ทางตะวันตก หลักฐานฟอสซิลกลับชี้ไปในทางตรงกันข้าม ที่จริงแล้วภูมิภาคแถบนี้มีสัตว์กินเนื้อขนาดมหึมาอาศัยอยู่สามชนิด ได้แก่ บาฮาเรียซอรัส (Bahariasaurus) ผู้ปราดเปรียว ความยาว 12 เมตร คาร์คาโรดอนโตซอรัส (Carcharodontosaurus) หรือ “ที. เร็กซ์แห่งแอฟริกา” ความยาว 12 เมตรเช่นกัน และ สไปโนซอรัส ซึ่งอาจมีขนาดใหญ่ที่สุดและแปลกประหลาดที่สุด
ชโตรเมอร์สันนิษฐานว่า สัตว์กินพืชขนาดใหญ่ก็อาจมีอยู่ ไม่เช่นนั้นแล้วจะให้สัตว์กินเนื้อพวกนี้กินอะไรเล่า แต่ที่ผ่านมายังพบกระดูกของพวกมันไม่มากนัก นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ เสนอว่า ข้อเท็จจริงที่ดูขัดแย้งกันนี้เป็นเพียงความคลาดเคลื่อนของการสุ่มตัวอย่าง หรือไม่ก็เป็นเพราะบรรดานักล่าฟอสซิลมักเลือกฟอสซิลของสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่มากกว่า เพราะขายได้ราคาดีกว่า
เมื่อมีฟอสซิลจากสไปโนซอรัสตัวใหม่อยู่ในมือ และรู้ตำแหน่งแน่นอนที่ขุดพบ นิซาร์ อิบรอฮีม ก็พร้อมจะหาคำตอบที่น่าพอใจกว่าให้ปริศนาของชโตรเมอร์ อย่างไรก็ตาม หากมองเผินๆ กระดูกชิ้นใหม่ๆ เหล่านี้กลับทำให้สัตว์ชนิดนี้ดูน่าฉงนมากยิ่งขึ้น พื้นผิวของเงี่ยงกระดูกสันหลังที่เรียบ หมายความว่ากระดูกเหล่านี้ไม่น่าจะมีไว้ใช้คํ้ายันหรือรองรับเนื้อเยื่ออ่อนนุ่มขนาดใหญ่อย่างเช่นหนอก เงี่ยงกระดูกมีร่องสำหรับหลอดเลือดอยู่น้อย ดังนั้นจึงไม่น่าจะใช้ในการควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ดังที่นักวิจัยคนอื่นสันนิษฐานไว้ ส่วนกระดูกซี่โครงมีความหนาแน่นเท่ากันและโค้งมาก ทำให้ลำตัวมีรูปทรงคล้ายถังทรงกระบอกผิดธรรมดา คอยาว กะโหลกใหญ่มาก แต่ขากรรไกรเรียวยาวอย่างน่าประหลาด โดยมีปลายจมูกโค้งรูปร่าง พิลึกและเต็มไปด้วยหลุมเล็กๆ ขาหน้าและกระดูกโอบอกค่อนข้างใหญ่ ขณะที่ขาหลังสั้นและเรียวอย่างไม่ได้สัดส่วน
“สไปโนซอรัส มีนํ้าหนักค่อนไปทางลำตัวส่วนหน้าอย่างไม่น่าเชื่อเลยละครับ” พอล เซเรโน นักบรรพชีวินวิทยา กล่าว เขาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาระดับหลังปริญญาเอกของอิบรอฮีมที่มหาวิทยาลัยชิคาโก และเป็นผู้ค้นพบไดโนเสาร์ชนิดสำคัญหลายชนิดในแอฟริกาเหนือ “มันเหมือนลูกผสมระหว่างอัลลิเกเตอร์กับตัวสลอทครับ” เขาเปรียบเปรย
อิบรอฮีมติดภาพกะโหลกสไปโนซอรัสขนาดเท่าของจริงบนผนังในห้องทำงาน ซึ่งเขามักเพ่งมอง “ผมพยายามนึกภาพกระดูกทุกชิ้น กล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ทุกสิ่งทุกอย่างเลยครับ บางครั้งภาพก็อยู่ตรงนั้นแวบหนึ่ง แล้วหายไปเหมือนภาพลวงตา สมองของผมคำนวณสิ่งซับซ้อนขนาดนั้นไม่ได้ครับ”
แต่คอมพิวเตอร์ทำได้ อิบรอฮีมพร้อมด้วยซีโมเน มากานูโก จากพิพิธภัณฑ์มิลาน และไทเลอร์ คีลเลอร์ นักเตรียมฟอสซิลและศิลปินด้านบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยชิคาโก คืนชีวิตให้สไปโนซอรัสด้วยเทคโนโลยี ดิจิทัล พวกเขานำตัวอย่างกระดูกแต่ละชิ้นที่มีอยู่มาทำซีทีสแกนที่ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยชิคาโกและที่โรงพยาบาลมัจโจเรในมิลาน จากนั้นจึงเติมส่วนอื่นๆ ของร่างกายเข้าไปด้วยการสแกนภาพถ่ายตัวอย่างกระดูกจากพิพิธภัณฑ์ใน มิลาน ปารีส และที่อื่นๆ รวมทั้งใช้ภาพดิจิทัลที่แปลงจากภาพถ่ายและภาพวาดของชโตรเมอร์ บางส่วนใช้การปรับขยายสัดส่วนฟอสซิลของสไปโนซอรัสวัยเยาว์ให้มีขนาดเท่าตัวเต็มวัย
คีลเลอร์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโปรแกรม สร้างแบบจำลองดิจิทัลซีบรัช (ZBrush) ปั้นแต่งกระดูกชิ้นที่หายไปด้วย “ดินเหนียวดิจิทัล” ของโปรแกรมซีบรัช โดยสร้างภาพกระดูกขึ้นจากภาพสแกนกระดูกชิ้นเดียวกันของไดโนเสาร์ในกลุ่มสไปโนซอริดซึ่งมีความเกี่ยวข้องกันในสาแหรกตระกูล เช่น ซูโคมิมุส (Suchomimus) และ แบรีออนิกซ์ (Baryonyx)
จากความเพียรพยายามปั้นแต่งและจัดวางกระดูกสันหลัง 83 ชิ้นในแบบจำลอง พวกเขาสรุปว่า สไปโนซอรัส ตัวเต็มวัยมีความยาววัดจากปลายจมูกถึงหาง 15 เมตร เคยมีคำกล่าวอ้างว่า สไปโนซอรัส เป็นสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยท่องพื้นพิภพ แบบจำลองนี้ยืนยันคำกล่าวนั้น (ที. เร็กซ์ขนาดใหญ่ที่สุดมี ความยาวจากหัวถึงหาง 12.3 เมตร)
จากนั้น พวกเขาหุ้มโครงกระดูกด้วยผิวหนังดิจิทัลเพื่อสร้างแบบจำลองที่เคลื่อนไหวได้ ช่วยให้ประเมินจุดศูนย์ถ่วงและมวลกายของสไปโนซอรัสได้ ทำให้เข้าใจได้ดียิ่งขึ้นว่ามันเคลื่อนที่อย่างไร การวิเคราะห์ของพวกเขานำไปสู่ข้อสรุปอันน่าทึ่ง กล่าวคือ สไปโนซอรัส ผิดแผกจากไดโนเสาร์กินเนื้ออื่นๆ ทั้งหมดซึ่งเดินบนขาหลัง เพราะมันอาจเป็นสัตว์เดินสี่ขา โดยใช้ขาหน้าที่มีกรงเล็บขนาดใหญ่ช่วยในการเดินด้วย
อย่างไรก็ตาม ความแปลกประหลาดทั้งหลายทั้งปวงของเจ้ายักษ์ใหญ่ตัวนี้เริ่มเป็นเหตุเป็นผลที่เข้าใจได้ เมื่ออิบรอฮีมกับเพื่อนร่วมงานมอง สไปโนซอรัส ด้วยมุมมองที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงว่า มันเป็นไดโนเสาร์ที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในนํ้า รูจมูกซึ่งตั้งอยู่สูงบนกะโหลกค่อนมาทางดวงตาช่วยให้สไปโนซอรัสหายใจได้แม้บริเวณส่วนใหญ่ของหัวจะจมอยู่ใต้นํ้า ลำตัวทรงกระบอกชวนให้นึกถึงโลมาและวาฬ ส่วนความหนาแน่นของซี่โครงและกระดูกที่ยาวก็คล้ายคลึงกับกระดูกของพะยูน ขาหลังซึ่งมีสัดส่วนแปลกประหลาดสำหรับการเดินน่าจะเหมาะกับการพุ้ยนํ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกรงเล็บแบนๆ ในเท้าหลังที่กว้างมีพังผืดเชื่อมถึงกันเหมือนเท้าเป็ดดังที่นักวิจัยคาดไว้ ขากรรไกรเรียวยาวและฟันรูปกรวยเรียบๆ เหมือนฟันจระเข้น่าจะใช้จับ ปลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนหลุมตรงปลายจมูกซึ่งยังปรากฏให้เห็นในจระเข้และอัลลิเกเตอร์ อาจมีตัวรับความ ดันสำหรับตรวจจับเหยื่อในนํ้าขุ่น อิบรอฮีมวาดภาพว่า สไปโนซอรัสโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วงับปลาด้วยปากที่ยาว
ภาพในจินตนาการใหม่ที่ว่า สไปโนซอรัส เป็นไดโนเสาร์ที่อาศัยอยู่ในนํ้าเช่นนี้ น่าจะให้คำตอบที่เป็นไปได้คำตอบหนึ่งแก่ปริศนาของชโตรเมอร์ กล่าวคือ แม่นํ้าที่เจ้ายักษ์ใหญ่ตัวนี้ตายลงเป็นทางนํ้าขนาดใหญ่สายหนึ่งในหลายสายของระบบธารนํ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของแอฟริกาในยุคครีเทเชียส หากสัตว์กินเนื้อซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่มีขนาดใหญ่ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในนํ้าก็น่าจะมีขนาดใหญ่ด้วย ซึ่งซากของพวกมันพบได้ทั่วไปในชั้นหินเคมเคม เช่น ปลาปอดขนาด 4 เมตร ปลาซีลาแคนท์ขนาด 2.5 เมตร ปลาฉนากขนาด 7.5 เมตร เช่นเดียวกับเต่าขนาดมหึมา สัตว์เหล่านี้น่าจะเป็นอาหารที่บริบูรณ์เพียงพอ แม้แต่สำหรับสัตว์นักล่าขนาดใหญ่ที่สุดนับเป็นการหลีกเลี่ยงความจำเป็นที่ต้องมีสัตว์กินพืชขนาดใหญ่จำนวนมากเพื่อรักษาสมดุลในห่วงโซ่อาหาร
แล้วอิบรอฮีมก็เข้าใจอย่างถ่องแท้เมื่อได้เห็นขั้นตอนสุดท้ายของโครงการสร้างไดโนเสาร์ดิจิทัล นั่นคือโครงกระดูกสไปโนซอรัส ทำจากโฟมพอลิสไตรีนความหนาแน่นสูงขนาดเท่าตัวจริง ซึ่งสร้างขึ้นจากแบบจำลองคอมพิวเตอร์ด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติ โครงกระดูกได้รับการจัดแสดงในท่าทางกำลังว่ายนํ้า ซึ่งอิบรอฮีมคิดว่า สไปโนซอรัส อาจใช้เวลาว่ายนํ้ามากถึงร้อยละ 80 ”ผมอยากให้แอนสท์ ชโตรเมอร์ได้เห็นแบบจำลองนี้จังเลยครับ เพราะมันแสดงให้เห็นว่า สไปโนซอรัส เป็นนักว่ายนํ้าตัวยงที่ได้รับการปรับแต่งทางวิวัฒนาการมามากแค่ไหน เขาต้องยิ้มออกแน่ๆ ครับ
เรื่อง ทอม มึลเลอร์
ภาพถ่าย ไมก์ เฮตต์เวอร์