สำรวจความเป็นไปถึงโบราณสถานและโบราณวัตถุในย่านพระประแดง กับคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม และจิตวิญญาณของชุมชนที่อาจต้องเสื่อมสลายไป
พระประแดงเป็นเมืองโบราณที่เคยถูกเอ่ยนามถึงในพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยาว่าเป็นเมืองปากแม่น้ำ แต่ถึงเช่นนั้นกลับไม่มีการระบุที่ตั้งของเมืองไว้อย่างชัดเจน นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานกันว่าตั้งอยู่บริเวณคลองเตยปัจจุบัน บ้างก็ว่าน่าจะครอบคลุมคุ้งน้ำคลองแจงร้อนถึงคลองเตย เนื่องจากพบว่ามีวัดโบราณและโบราณวัตถุสมัยอู่ทองและอยุธยาเป็นหลักฐานสนับสนุน
เมื่อเวลาผ่านไปภูมิสัณฐานของแม่น้ำเปลี่ยน แผ่นดินที่งอกขึ้นมาใหม่ทำให้เมืองพระประแดงหมดสถานะเมืองปากน้ำ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมจึงสถาปนาเมืองสมุทรปราการขึ้นมาทำหน้าที่เป็นเมืองปากน้ำของอยุธยาแทน สถานที่ที่เรียกว่าอำเภอพระประแดงในปัจจุบันจึงเรียกว่า เมืองนครเขื่อนขันธ์หรือปากลัด ที่สถาปนาขึ้นในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของผู้คนตั้งแต่สมัยโบราณ และสถานะของเมืองปากแม่น้ำสามารถจะเคลื่อนย้ายไปได้ตามสภาพภูมิประเทศและการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำในทะเลในแต่ละยุคสมัย มากกว่านั้นวัดโบราณสมัยอยุธยาและป้อมปืนสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นในย่านพระประแดง กำลังเผชิญวิกฤตภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 National Geographic ฉบับภาษาไทย ได้ร่วมคณะไปกับกลุ่มสยามสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อร่วมลงพื้นที่ร่วมสำรวจความเป็นไปถึงโบราณสถานและโบราณวัตถุในย่านพระประแดง โดยงานนี้มี คุณวทัญญู เทพหัตถี สถาปนิกอนุรักษ์ และกรรมการแผนกพิทักษ์มรดกสยาม ร่วมกับคุณทวีป ฤทธินภากร กรรมการสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้บรรยายแก่คณะ
ปัจจุบัน วัดโบราณสมัยอยุธยาและป้อมปืนสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นในย่านพระประแดง กำลังเผชิญวิกฤตภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและค่าความเค็มของแม่น้ำเจ้าพระยาที่สูงขึ้นกว่าระดับปกติมาก ประกอบกับสภาพของโบราณสถานและโบราณวัตถุหลายแห่งที่มีปัญหาดั้งเดิมจากการอนุรักษ์ผิดวิธี ทำให้การเสื่อมสภาพของมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
คงเป็นที่น่าเสียดายยิ่ง หากสิ่งมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม และคุณค่าทางจิตวิญญาณของชุมชนเหล่านี้ จะต้องเสื่อมสลายไปโดยที่ไม่มีภาคส่วนใดสามารถจะตั้งรับ ปรับตัว หรือแก้ไขปัญหาได้อย่างเท่าทันต่อสถานการณ์

เราเริ่มกิจกรรมที่วัดแจงร้อน พระอารามที่คาดว่าเก่าแก่ที่สุดในฝั่งธนบุรี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกบริเวณเขตราษฎร์บูรณะ อันเป็นตำแหน่งดั้งเดิมของเมืองพระประแดงยุคต้น
พระวิหารเป็นงานสถาปัตยกรรมโบราณที่สร้างมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา มีผนังหนามากทั้งสี่ด้าน หมู่พระพุทธรูปโบราณภายในพระวิหาร มีรูปแบบแตกต่างกันหลายยุคสมัย โดยพระพุทธรูปที่เก่าแก่มากที่สุดในกรุงเทพและธนบุรีทำจากทรายหินแดงและปั้นปูนทับ ลักษณะเป็นพระพุทธรูปสมัยอู่ทอง ทรงเครื่องสามชฎาเทริด ใบหน้าแบบลพบุรีผสมอู่ทอง บางองค์คล้ายพระพุทธรูปอินเดีย การที่วัดแจงร้อนมีพระพุทธรูปหลายสมัยเช่นนี้ เป็นหลักฐานสำคัญบ่งชี้ว่าแถวนี้เคยเป็นเมืองโบราณมาแล้วตั้งแต่ยุคลพบุรีหรืออู่ทอง (ก่อนกรุงศรีอยุธยา) และมีความสำคัญต่อเนื่องตลอดมาจนถึงสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์
เนื่องจากวัดแจงร้อนตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ได้รับผลกระทบจาการทรุดตัวของดิน ระดับน้ำใต้ดินที่เพิ่มสูงขึ้นและการพัฒนาพื้นที่โดยรอบ ที่แห่งนี่เกิดความชื้นและผลึกเกลือสะสมในผนังอาคาร ฐานชุกชีและองค์กระพุทธรูปในระดับที่สูงมาก จนก่อให้เกิดการชำรุดเสื่อมสภาพอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์พระพุทธรูปเนื้อหินทราย ที่แตกหัก ยุ่ยเป็นผงละเอียดจนถึงขั้นเสื่อมสลายไปจนหมดในบางองค์ ขณะเดียวกันมีพระพุทธรูปบางองค์ที่สร้างขึ้นจากทรายแม่น้ำอัดขึ้นรูปและพอกปูนทับชำรุดเสียหายในระดับรุนแรงเช่นกัน
ถัดจากที่แรก เรามาที่ วัดป่าเกดเป็นพระอารามเก่าแก่ตั้งอยู่บนกลางสวนบนเกาะบางกระเจ้าในเขตอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการไม่ปรากฎประวัติการสร้างที่ชัดเจนนัก แต่จากลักษณะทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม สันนิษฐานว่าอาจเป็นพระอุโบสถที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย และได้รับการปฏิสังขรณ์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 2-3
วัดแห่งนี้ทำให้เราเห็นภาพจิตรกรรมระหว่างช่องหน้าต่างและประตูที่เคยได้รับการอนุรักษ์ไว้ เริ่มปรากฏการชำรุดของปูนฉาบมากขึ้น บางจุดชำรุดไปถึงภาพตอนบนแล้ว ฐานชุกชีพบว่าอิฐและปูนก่อชำรุดเสื่อมสภาพอย่างหนัก จนเริ่มมีผลต่อเสถียรภาพขององค์พระประธาน ไม่นับรวมถึงปูนปั้นและกระจกเรียบที่ชำรุดพังอย่างต่อเนื่อง


ตัดจากวัดป่าเกด คณะเดินทางมาวัดที่บางน้ำผึ้งนอก แบบอย่างของงานอนุรักษ์โบราณาสถานเพื่อร่วมฟังบรรยายการบูรณะวัด ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างชุมชน เจ้าหน้าที่กรมศิลปากร และกลุ่มสถาปนิกอนุรักษ์
เสร็จสิ้นจากวัดเรามาที่ป้อมแผลงไฟฟ้า หนึ่งในป้อมปราการจำนวน 9 ป้อม ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 โปรดให้กรมพระราชวังบวรวิหารสถานมงคล พระมหาอุปราชสร้างขึ้นที่เมืองนครเขื่อนขันธ์ (เมืองพระประแดงใหม่)
ปัจจุบันป้อมแผลงไฟฟ้าเป็นเพียงป้อมเดียวที่ยังคงเหลืออยู่ทางฝั่งตะวันตกนี้ ในขณะที่ป้องแห่งอื่นถูกรืทำลำลายไปจนสิ้น

ถัดจากที่ป้อมฯ จุดสุดท้ายคือ พระสมุทรเจดีย์ เกิดขึ้นจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ที่ทรงมีพระราชประสงค์จัดสร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุขึ้นบนเกาะหาดทรายตรงท้ายป้อมผีเสื้อสมุทรเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงการบูรณะและสร้างป้อมปราการที่เมืองสมุทรปราการ
ใกล้กับพระสมุทรเจดีย์ มีป้อมผีเสือสมุทร ป้อมปราการป้องกันการรุกรานของข้าศึกจากปากแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณหน้าเมืองสมุทรปราการ โดยสร้างขึ้นพร้อมกับป้อมอื่นๆ อีกจำนวน 8 แห่ง ทั้งสองฝั่งแม่น้ำ โดยป้อมผีเสื้อสมุทรมีความพิเศษกว่าป้อมอื่น เนื่องจากตั้งอยู่บนเกาะสันดอนทรายกลางแม่น้ำเจ้าพระยาค่อนไปทางทิศตะวันตกอันเคยเป็นที่ตั้งของเสมืองสมุทรปราการตั้งแต่ยุคต้น
รูปแบบป้อมผีเสื้อสมุทรในปัจจุบันยังคงเป็นรูปแบบเดิมภายหลงการปรับปรุงในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยด้านหน้าป้อมหันไปทางทิศใต้สู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา องค์ประกอบหลักของป้อมได้แก่ 1.เนินดินกำบังและหลุมปืนใหญ่ 2. เชิงเทินปีกซ้ายและปีกขวา 3.กำแพงเชิงเทินด้านหลัง 4.ประตูทางเข้าป้อม 5.สนามด้านในป้อม 6.ห้องเก็บดินปืนโครงสร้างคอนกรีตเสิรมเหล็ก
ลักษณะเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของห้องเก็บดินปืนของป้อมผีเสื้อสมุทรคือ ปล่องรับลมด้านบนหลังคา แบบเดียวกับที่ใช้เรือ ซึ่งติดตั้งอยู่บนเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เพื่อนำอากาศเย็นจากภายนอกเข้าสู่ช่องระบายอากาศของกาคาร อันเป็นการลดความร้อนภายในห้องเก็บดินปืนลง และช่วยป้องกันการระเบิดจนเกิดอันตรายได้
ภาพจาก พิทักษ์มรดกสยาม สยามสมาคมฯ , บริษัทแคนนอน มาร์เก็ตติ้ง ไทยแลนด์
อ่านเพิ่มเติม : พลิกแผ่นดินตามหา เผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้สาบสูญ