“มนุษย์ยุคโบราณ ล่าและเฉือนอาร์มาดิลโลยักษ์ด้วยหินเป็นอาหารเมื่อ 21,000 ปีก่อน
กระดูกของสัตว์ชนิดนี้เผยให้เห็นว่ามนุษย์เคยอาศัยอยู่ในทวีปอเมริกามานานกว่าที่เคยเชื่อกัน”
นับตั้งแต่มนุษย์เดินทางออกนอกแอฟริกาและแพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ทว่ามีภูมิภาคแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนต้องใช้เวลายาวนานกว่ามนุษย์กลุ่มแรกจะเดินทางมาถึงนั่นคือ ทวีปอเมริกา ที่ได้กลายเป็นสถานที่สุดท้ายที่มนุษย์โบราณอาศัยอยู่
อย่างไรก็ตามคำถามที่ว่าพวกเขาเดินทางมาถึง ‘เมื่อไหร่’ กันแน่ยังเป็นที่ถกเถียงและไม่ค่อยเข้าใจดีนัก ก่อนหน้านี้มีการประเมินเบื้องต้นว่าน่าจะอยู่ที่ 13,000 ปีก่อนไปจนถึง 20,000 ปีก่อน กระนั้นก็ยังขาดหลักฐานทางโบราณคดีที่จะชี้ชัดลงไปว่าเป็นเวลาช่วงใดกันแน่ ทำให้ยังเกิดความสับสนอยู่เป็นจำนวนมาก
“จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ แบบจำลองดั้งเดิมระบุว่ามนุษย์เข้ามาตั้งถิ่นฐานในทวีปนี้เมื่อ 16,000 ปีปฏิทินแล้ว” มิเกล เดลกาโด (Miguel Delgado) นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาปลาตาในกรุงบัวโนสไอเรส กล่าว
“ผลการศึกษาของเราร่วมกับหลักฐานอื่น ๆ ได้เสนอสถานการณ์ที่ชัดเจนสำหรับการตั้งถิ่นฐานครั้งแรกของมนุษย์ในทวีปอเมริกา นั่นคือ วันที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดสำหรับการเข้ามาของมนุษย์ครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อระหว่าง 21,000 ถึง 25,000 ปีก่อนหรืออาจจะก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ” เขาเสริม
ถกเถียงอย่างดุเดือด
แม้จะมีหลักฐานอยู่บ้างพอสมควร ช่วงเวลาของหลักฐานเหล่านั้นก็สร้างความสับสนอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น การค้นพบรอยเท้าที่กลายเป็นฟอสซิลที่ฝังอยู่ในโคลนเมื่อ 21,000 ถึง 23,000 ปีก่อนในนิวเม็กซิโก ซึ่งได้รับการบรรยายในปี 2021 ได้กลายเป็นหลักฐานล่าสุดที่ชี้ว่าผู้อยู่อาศัยกลุ่มแรกนั้นเดินทางมาถึงนานกว่าที่ใครเคยคิดไว้
อย่างไรก็ตามมันติดปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือช่วงเวลาดังกล่าวนั้นโลกยังอยู่ในยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายเมื่อ 19,000 ถึง 26,000 ปีก่อน ในยุคนั้นแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ 2 แผ่นได้ปกคลุมพื้นที่ทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือและทอดยาวไปทางใต้สุดจนถึงนครนิวยอร์ก ซินซินแนติ และเดส์โมนส์ รัฐไอโอวา
แผ่นน้ำแข็งและอุณหภูมิที่เย็นจัดนี้ทำให้เชื่อกันว่าการเดินทางจากเอเชียไปยังอลาสก้า ซึ่งเป็นเส้นทางที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดนั้น กลายเป็นเรื่องที่ ‘เป็นไปไม่ได้’ กล่าวคือแผ่นน้ำแข็งยักษ์ได้ขวางทางเดินไว้ ดังนั้นมันจึงหมายความว่า หากมนุษย์อยู่มาก่อนหน้านี้ พวกเขาก็ต้องมาทีหลัง หลังจากน้ำแข็งละลายไปแล้ว
หลักฐานเหล่านี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์งุนงงกับช่วงเวลาที่มนุษย์เข้ามาตั้งถิ่นฐานในทวีปอเมริกาเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำแข็งที่สูญพันธุ์ไปแล้วจำนวนมาก ถือเป็น “หัวข้อที่ถกเถียงกันอย่างดุเดือด” เดลกาโด กล่าว
ทว่ากระดูกของอาร์มาดิโลยักษ์ในการศึกษาใหม่นี้ได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างของข้อมูล และอาจทำให้นักวิทยาศาสตร์เห็นภาพรวมของช่วงเวลาในอดีตได้ชัดเจนขึ้น
“มนุษย์น่าจะปรากฏตัวในอเมริกาใต้เร็วกว่าที่เราคิดไว้มาก และเร็วกว่าที่คาดกันว่ามนุษย์จะเข้ามาในอเมริกาเหนือด้วยซ้ำ” นิโคลัส ราสโควัน (Nicolás Rascovan) นักชีววิทยาจากสถาบันปาสเตอร์ในฝรั่งเศสและหนึ่งในผู้เขียนรายงาน กล่าว
หลักฐานใหม่
ตามรายงานใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร PLOS ONE ทีมวิจัยได้ค้นพบสิ่งมีชีวิตที่คล้ายอาร์มาดิลโลขนาดยักษ์ หลังจากที่รถขุดดินได้พบกระดูกสันหลังและกระดูกเชิงกรานของมันที่ริมฝั่งแม่น้ำเรกองกิสตาในเขตมหานครบัวโนสไอเรสของอาร์เจนตินา
การตรวจสอบเบื้องต้นให้ข้อมูลว่าสัตว์ชนิดนี้มีน้ำหนักราว 300 กิโลกรัม ยาว 1.8 เมตรและมีเกล็ดหุ้มเกราะปกคลุมอยู่เต็มตัว ทีมวิจัยระบุว่ามันคืออาร์มาดิลที่สูญพันธุ์ไปแล้วที่เรียกว่า ‘นีโอสเคลอโรคาลิปตัส’ (Neosclerocalyptus) ซึ่งเป็นอาร์มาดิลโลที่เล็กที่สุดในขณะนั้น แต่ก็ยังมหึมาเมื่อเทียบกับปัจจุบัน
“สัตว์เหล่านี้มีความใกล้ชิดกับอาร์มาดิลโลที่ยังมีชีวิตอยู่” เดลกาโด กล่าว “ตัวอย่างที่เราพบนั้นเป็นชนิดที่มีขนาดเล็กที่สุด”
การระบุอายุด้วยคาร์บอนกัมมันตรังสีชี้ว่าสัตว์ตัวนี้ตายไปเมื่อระหว่าง 20,811 ถึง 21,090 ปี ซึ่งในตอนแรกทีมวิจัยไม่พบหลักฐานว่ามันตายเพราะอะไรกันแน่ แต่ระหว่างการทำความสะอาดกระดูกอย่างระมัดระวัง พวกเขาก็พบรอยแผลตรง 32 รอย ซึ่งไม่ใช่การโดนกัดแทะจากสัตว์ฟันแทะ สัตว์กินเนื้อ หรืออุบัติเหตุอย่างแน่นอน
ทีมงานจึงเปรียบเทียบรูปร่างของรอยแผลกับรอยที่น่าจะเกิดจากเครื่องมือหิน ไม่เพียงเท่านั้นร่องรอยเหล่านี้ดูเหมือนมุ่งเน้นไปยังบริเวณที่มีเนื้อของสัตว์อยู่มากที่สุด
“รอยแผลไม่ได้กระจายอยู่แบบสุ่ม แต่เน้นไปที่โครงกระดูกที่มีกล้ามเนื้อขนาดใหญ่เช่น กระดูกเชิงกรานและหาง” เดลกาโด กล่าว ดังนั้นจึงเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า มนุษย์อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มันตายหรืออย่างน้อยมนุษย์ก็เป็นผู้ตัดเฉือนเนื้อของอาร์มาดิลโลตัวนี้
“ผู้เขียนได้พิสูจน์ผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพและเชิงปริมาณว่ารอยตัดบนฟอสซิลอาร์มาดิลโลนั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นฝีมือมนุษย์” บริแอนนา โพบิเนอร์ (Briana Pobiner) นักโบราณคดีมานุษยวิทยาและนักวิทยาศาสตร์วิจัยจากโครงการ Human Origins ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งชาติสมิธโซเนียนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กล่าว
อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ให้ความเห็นว่าต้องมีการตีความอย่างระมัดระวัง เช่น เบน พ็อตเตอร์ (Ben Potter) นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยอลาสก้า แฟร์แบงก์ส ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาดังกล่าวว่า สิ่งที่น่าสังเกตก็คือไม่มีการพบหลักฐานเครื่องมือของมนุษย์ในบริเวณรอบ ๆ เลย
“ธงแดงคือการที่ไม่มีสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นที่เกี่ยวข้องกับกระดูกเหล่านี้เลย” เขากล่าว ซึ่งปกติแล้ว “เครื่องมือหินและเศษซากนั้นควรจะมีอยู่ทั่วไปในแหล่งการทำงานของมนุษย์”
ทีมวิจัยวางแผนต่อไปว่าจะขุดค้นบริเวณที่พบกระดูกดังกล่าวต่อไป โดยหวังว่าอาจจะเผยให้เห็นถึงหลักฐานที่แน่ชัดว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่จริงต่อไป
สืบค้นและเรียบเรียง
วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา
https://www.smithsonianmag.com
อ่านเพิ่มเติม : ผลวิจัยใหม่ระบุ ชาวโคลวิสชนพื้นเมืองอเมริกันโบราณ
กินแมมมอธเป็นอาหารหลัก