พวกเขารบพุ่งชาวอียิปต์ ปล้นสะดมจักรวรรดิบาบิโลน สร้างเมืองงดงามอลังการทั่วดินแดนที่ปัจจุบันคือทูร์เคียสมัยใหม่และเลยออกไป จากนั้นชาวฮัตไทด์ก็สาบสูญและเลือนหายไปจากประวัติศาสตร์อยู่หลายพันปี แต่การค้นพบใหม่ๆ ในปัจจุบันกำลังคืนชีพให้ตำนานของมหาอำนาจถูกลืมเลือน
ในยุครุ่งเรืองถึงขีดสุด เมืองโบราณฮัตทูซา นครหลวงของอารยธรรมฮิตไทต์ คงจะดูอลังการชวนตะลึง นครที่สร้างเข้าไปในไหล่เขาลาดชันทางตอนกลางของทูร์เคียหรือตุรกีในปัจจุบัน ล้อมรอบด้วยกำแพงอิฐสูงตระหง่าน เป็นที่พำนักของผู้คนมากถึง 7,000 คน กลุ่มอาคารวิหารแผ่กว้าง และเชิงเทินหินน่าเกรงขามที่มองเห็นได้จากระยะไกลหลายกิโลเมตร ทุกวันนี้ ไหล่เขาดังกล่าวเป็นที่พำนักของความลี้ลับ
ไม่มีเสาหรือกำแพงสูงเป็นเครื่องหมายบ่งชี้ถึงซากปรักของพระราชวังและวิหารที่เคยตั้งอยู่ คงมีเพียงฐานรากหินที่ครึ่งหนึ่งปกคลุมด้วยหญ้าแห้ง ประตูเมืองบางส่วนยังคงตั้งอยู่โดยมีรูปสลักสิงโต สฟิงซ์ และเทพเจ้าถือขวาน องค์หนึ่งยืนอารักขา แต่กำแพงอิฐดินดิบพังทลายไปกับกาลเวลาหลายศตวรรษ น้ำบ่าท่วมและน้ำจากน้ำแข็งละลาย กัดเซาะไหล่เขาดั้งเดิม ส่งให้สิ่งปลูกสร้างที่เต็มไปด้วยแผ่นจารึกดินเหนียวไหลลงไปตามลาดเขา และที่เลือนรางไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือเบาะแสที่อาจอธิบายว่า เกิดอะไรขึ้นกับชาวฮิตไทต์ผู้เรืองอำนาจ และจักรวรรดิที่สาบสูญ แห่งหนึ่งซึ่งปัจจุบันนักวิจัยเพิ่งเริ่มเข้าใจกระจ่างชัดขึ้น

การหายไปของชาวฮิตไทต์ราวปี 1180 ก่อนคริสตกาลนั้น เป็นการสาบสูญอย่างฉับพลันและลี้ลับที่แทบไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ เป็นเวลาอย่างน้อย 450 ปีที่ชาวฮิตไทต์ควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของทูร์เคียสมัยใหม่และเลยออกไป หรือตั้งแต่บริเวณใกล้ชายฝั่งทะเลดำไปจดแม่น้ำสายต่างๆ ในดินแดนเมโสโปเตเมีย และน่านน้ำ เมดิเตอร์เรเนียน พวกเขาสร้างบ้านเมืองซับซ้อน วิหารอารามน่าทึ่ง และพระราชวังวิจิตรพิสดารในพื้นที่ชนบทกันดารของดินแดนอานาโตเลีย พวกเขาเขียนจดหมายเหตุจำนวนมหาศาลไว้ในรูปของแผ่นจารึกอักษรคูนิฟอร์มที่มีเนื้อหาเป็นภาษาโบราณหลายภาษาและว่าด้วยพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ บรรดากษัตริย์ของพวกเขาได้รับประโยชน์จากเส้นทางการค้าที่ทอดไปไกลโพ้นจากดินแดนบ้านเกิดของชาวฮิตไทต์ ครั้งหนึ่งกองทัพของพวกเขาเคยบุกลึกเข้าไปถึงดินแดนเมโสโปเตเมีย การศึกกับพระเจ้ารามเสสมหาราชของอียิปต์ในยุทธการที่กาเดช นำไปสู่สนธิสัญญาสันติภาพฉบับแรกของโลก

“พวกเขาสามารถสู้รบกับชาวอียิปต์ได้ ส่วนชาวบาลิโลนกับชาวอัสซีเรียก็ต้องปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะผู้เท่าเทียม” อันเดรอัส ชัคเนอร์ จากสถาบันโบราณคดีเยอรมัน ซึ่งดำเนินการขุดค้นในพื้นที่ฮัตทูซามาเกือบหนึ่งศตวรรษแล้ว กล่าวและเสริมว่า กระนั้น “ชาวอียิปต์ ชาวอัสซีเรีย ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำทางประวัติศาสตร์ แต่ชาวฮิตไทต์กลับถูกขจัดหายไปจนหมดสิ้นครับ”
นักวิชาการไม่ได้บันทึกถึงการมีอยู่ของชาวฮิตไทต์จวบจนกระทั่ง 3,000 ปีต่อมา เมื่อภาพสลักในวิหารอียิปต์ และจดหมายโต้ตอบทางการทูตที่ค้นพบบนแผ่นจารึกดินเหนียว จุดกระแสให้เกิดการสืบเสาะในระดับนานาชาติ เพื่อค้นหาที่ตั้งนครหลวงของพวกเขา การขุดค้นที่นั่นในช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบนำไปสู่การค้นพบขุมทรัพย์เป็นแผ่นจารึกดินเหนียวเขียนด้วยอักษรคูนิฟอร์ม ยืนยันข้อสงสัยว่าฮัตทูซาคือนครหลวงฮิตไทต์ที่สาบสูญ
ระหว่างต้นเดือนมิถุนายนถึงปลายเดือนตุลาคม ชัคเนอร์ใช้เวลาสัปดาห์ละเจ็ดวันตระเวนไปทั่วฮัตทูซาเพื่อกำกับดูแลทีมนักโบราณคดีชาวตุรกีและเยอรมัน รวมทั้งคนงานท้องถิ่นอีกมาก ในฐานะผู้อำนวยการโครงการขุดค้นของสถาบันโบราณคดีเยอรมัน เขาพยายามทำความเข้าใจซากปรักไร้ระเบียบในแหล่งขุดค้นดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2006 “ไม่มีอะไรตั้งอยู่ในที่เดิมของมันเลยครับ” ชัคเนอร์บอกพลางทอดถอนใจ “เสียหายไปเยอะมากครับ”
วันหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ผมไปสมทบกับเขาที่กลุ่มอาคารมหาวิหารของเมือง ซึ่งเป็นศูนย์รวมของสถานที่ประกอบพิธีกรรม ลานกลางแจ้ง ห้องเก็บของ และคูหาลับ ไม่ไกลจากจุดที่เคยเป็นประตูเมืองด้านทิศเหนือของนครฮัตทูซา ผมเดินตามหลังเขาระหว่างที่เขาลัดเลาะผ่านก้อนหินสูงเทียมเอว ชี้ไม้ชี้มือขึ้นไปเป็นระยะเพื่อสื่อถึงกำแพงฉาบปูนและอาจทาสีด้วย ซึ่งหากยังอยู่ก็คงสูงเหนือหัวเราเก้าเมตร เขาพาผมไปยังพื้นที่ซึ่งครั้งหนึ่งถือเป็นศูนย์กลางจักรวาลของชาวฮิตไทต์ นั่นคือมหาวิหารที่สร้างถวายทาร์ฮุนนา เทพแห่งพายุ และชายาของพระองค์ อารินนา สุริยเทพี
คำถามหนึ่งที่ชัคเนอร์หวังจะหาคำตอบคือ เหตุใดชาวฮิตไทต์จึงตั้งนครหลวงของตนที่นี่ มีที่อื่นที่แย่กว่าอานาโตเลียตอนกลางที่จะใช้เป็นฐานจักรวรรดิ แต่ก็มีไม่มากนัก ครึ่งทางระหว่างทะเลดำและทะเลทรายซีเรีย ฮัตทูซาตั้งอยู่ในดินแดนแห่งความสุดขั้วอย่างไม่น่าเป็นไปได้ พุน้ำจืดมีเหลือล้นในพื้นที่ภูเขาใกล้เคียงที่แทบเพาะปลูกอะไรไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม ที่ราบไม่กี่แห่งในภูมิภาคนี้กลับแห้งผากเกือบตลอดทั้งปี หากไม่นับช่วงที่จมอยู่ใต้น้ำบ่าท่วมตามฤดูกาล
การถอดความจารึกภาษาฮิตไทต์อย่างละเอียด ผนวกกับข้อมูลทางสิ่งแวดล้อม แสดงให้เห็นว่าภัยแล้งครอบงำภูมิภาคดังกล่าวทุกสามหรือสี่ทศวรรษ ผลักดันประชากรไปสู่ปากเหวแห่งความอดอยากอยู่เนืองๆ นักโบราณคดี บล็อนต์ เกนช์ ผู้ทำงานร่วมกับชัคเนอร์ที่ฮัตทูซาและสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมาร์ดินอาร์ทุกลูในทูร์เคีย พูดถึงเรื่องนี้ว่า “เมื่อพิจารณาจากสภาพภูมิอากาศและสภาพแวดล้อม มันเหลือเชื่อมากที่พวกเขามีทุกอย่างครบครันอยู่ที่นี่ คำถามที่แท้จริงจึงอยู่ที่ว่า พวกเขาสร้างจักรวรรดิอยู่กลางนรกอย่างอานาโตเลียตอนกลางนี้ได้อย่างไร”
คำตอบคือการผสมผสานระหว่างความยืดหยุ่น การปรับตัว และการวางแผน เหล่าผู้ปกครองของฮัตทูซาหาทางรีดประโยชน์จากดินแดนนี้ได้มากกว่าใครอื่นก่อนหน้าหรือนับแต่นั้นมา จากข้อมูลที่เรารู้เกี่ยวกับวิถีปฏิบัติ ในการต้อนสัตว์ และจากกระดูกสัตว์จำนวนมหาศาลที่พบในฮัตทูซา ชัคเนอร์คิดว่า เนินเขาโดยรอบน่าจะรองรับแกะและแพะได้นับหมื่นตัว ซึ่งเป็นทางเลือกแทนการเพาะปลูกที่ต้องพึ่งการชลประทานแบบเดียวกับที่ค้ำจุนอียิปต์และอารยธรรมเมโสโปเตเมีย
เพื่อให้มีแหล่งน้ำสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมและการเกษตร ชาวฮิตไทต์ขุดสระเก็บน้ำไว้ตามไหล่เขาในฮัตทูซา สระที่ขุดลึกลงไปในดินเหนียวเพื่อให้น้ำบาดาลไหลเข้ามาเติมเต็ม บางแห่งยาวกว่าสระว่ายน้ำโอลิมปิก และอาจลึกถึงแปดเมตร ขณะเดียวกัน หลุมใต้ดินแบบสุญญากาศขนาดมหึมาก็บรรจุธัญพืชได้มากพอจะเลี้ยงสัตว์ของพวกเขาได้ในช่วงแห้งแล้ง
โครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดนี้ล้อมรอบด้วยกำแพงแข็งแกร่งที่ทอดยาวตามแนวปริมณฑลของเมืองเป็นระยะทางอันน่าทึ่งถึงเจ็ดกิโลเมตร โดยออกแบบทางวิศวกรรมให้สามารถรับมือกับเนินลาดชันและหุบเขาลึกของภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาได้ นักวิจัยคำนวณว่า การสร้างกำแพงดังกล่าวเพียงหนึ่งกิโลเมตรจะต้องใช้แรงงานถึงปีละหนึ่งพันคนซึ่งถือเป็นความสำเร็จทางโลจิสติกส์ที่น่าทึ่ง
เพื่อเยี่ยมชมแหล่งโบราณคดีดังกล่าวกับชัคเนอร์ ผมติดรถไปกับเขาด้วย ขณะที่เขาขับรถตู้ไปตามถนนเลนเดียวอันคดเคี้ยวเพื่อไปให้ถึงจุดสูงสุดของฮัตทูซา ที่นั่น โครงการก่อสร้างอลังการที่สุดของเมืองยังเหลือรอดอยู่ซึ่งก็คือแยร์คาเปอ เชิงเทินทอดยาว 250 เมตร และสูงถึง 40 เมตร ปราการหินสีขาวนี้มีประตูแคบๆ ประดับด้วยประติมากรรมรูปสฟิงซ์ ส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองพาดผ่านยอดเชิงเทิน ทำให้ภาพลักษณ์ของมันยิ่งดูน่าเกรงขาม

ฮัตทูซายังคงมอบการค้นพบใหม่ๆ อย่างน่าอัศจรรย์ วันถัดจากทริปขึ้นไปบนเขากับชัคเนอร์ ผมกลับไปที่ยอดเขานั้นอีกครั้งเพื่อไปพบกับเกนช์ที่แยร์คาเปอ และเจอเขาที่ปากอุโมงค์เส้นหนึ่งที่ลอดใต้เชิงเทิน เขายืนอยู่ในทางเดินเพดานโค้งสูงราวสามเมตร ยาว 70 เมตร และกว้างพอจะรองรับคนสองคนเดินเคียงข้างกันได้
เมื่อเข้าไปในอุโมงค์ที่ไม่มีไฟส่องสว่าง ผมรู้สึกได้ทันทีถึงน้ำหนักของดินและหินหลายตันเหนือศีรษะเรา เกนช์ผู้เป็นหลานของช่างหิน ไม่รู้สึกกังวล “ทั้งหมดนี้ประสานกันอยู่เหมือนพรมผนังที่ทอด้วยหินน่ะครับ” เขาบอกพลางชี้ไปที่กำแพงอุโมงค์ “ต้องใช้ช่างก่อหินฝีมือดีจริงๆ ถึงสร้างสิ่งนี้ได้”
เราหยุดเมื่อไปถึงครึ่งทางเดิน ขณะก้มลงต่ำ เกนช์ชี้ให้ผมดูภาพวาดสีออกชมพูขนาดเท่าฝ่ามือบนกำแพงหิน ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ 249 รูปที่เขาค้นพบในอุโมงค์นี้เมื่อปี 2022
หลังการค้นพบของเกนช์เป็นต้นมา ชัคเนอร์ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อสแกนภายในของอุโมงค์และสร้างแบบจำลอง สามมิติที่อาจช่วยให้นักวิทยาศาสตร์หยั่งถึงนัยสำคัญของสัญลักษณ์เหล่านี้
ไกลออกไปจากอุโมงค์นี้ กลุ่มสัญลักษณ์บนกำแพงอีกแห่งหนึ่งที่แตกต่างกันมาก ให้ข้อมูลสำคัญยิ่งเกี่ยวกับอิทธิพลและอำนาจของชาวฮิตไทต์ ตอนที่นักโบราณคดีในอียิปต์ขุดค้นวิหารประกอบพิธีพระศพของฟาโรห์รามเสสที่สองหรือรามเสสมหาราช พวกเขาค้นพบหลักฐานที่อ้างถึงการสู้รบที่น่าจะยังคงเป็นบทบาทอันยืนยงที่สุดของชาว ฮิตไทต์ในหน้าประวัติศาสตร์
ในกลุ่มอาคารวิหารริมแม่น้ำไนล์ที่สร้างอุทิศถวายพระองค์ ฟาโรห์รามเสส ผู้ปกครองที่แข็งแกร่งที่สุดพระองค์หนึ่งของอียิปต์ ได้บันทึกช่วงเวลาอันน่าจดจำที่สุดในรัชสมัยของพระองค์ไว้ ซึ่งรวมถึงการสู้รบเมื่อปี 1274 ก่อนคริสต์กาลกับกองทัพของพระเจ้ามูวาทัลลิสที่สองแห่งฮิตไทต์ที่กาเดช เมืองโบราณที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงดามัสกัสของซีเรียในปัจจุบัน ภาพสลักจากพื้นจดเพดานบรรยายถึงวีรกรรมขององค์ฟาโรห์ขณะเผชิญกับสิ่งที่พระองค์ทรงอ้างว่าเป็นนักรบฮิตไทต์เกือบ 50,000 คน รถม้าศึกทั้งฝั่งอียิปต์และฮิตไทต์เข้าดาหน้าเข้าบดขยี้กัน ขณะที่องค์ฟาโรห์ซึ่งในภาพสลักมีขนาดใหญ่โตกว่าองค์จริง ทอดพระเนตรความโกลาหลของศึกนองเลือดนั้น
นักประวัติศาสตร์หลายคนในปัจจุบันถือว่า ยุทธการกาเดชเป็นการสู้รบด้วยรถม้าศึกครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่แทนที่ฟาโรห์รามเสสจะเป็นฝ่ายได้ชัยอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด การสัประยุทธ์กันครั้งนี้น่าจะไม่มีฝ่ายใดเอาชนะกันได้มากกว่า เพราะหลังสงคราม พรมแดนที่แบ่งแยกจักรวรรดิทั้งสองแทบไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลย
ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจยังคาราซังต่อมาอีก 15 ปี กระทั่งฟาโรห์รามเสสและผู้สืบทอดบัลลังก์ของพระเจ้ามูวาทัลลิสตกลงทำสนธิสัญญาความเสมอภาค [ระหว่างชาติที่มีอำนาจเท่าเทียมกัน] ซึ่งถือเป็นฉบับเก่าแก่ที่สุดของโลกเท่าที่ทราบ ข้อตกลงที่ทำเมื่อปี 1259 ก่อนคริสตกาลนี้จารลงบนแผ่นเงินและมีฉบับสำเนาเป็นดินเหนียว ให้คำมั่นถึงการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อต่อต้านผู้รุกราน ตลอดจน “สันติภาพอันดีและภราดรภาพอันมั่นคงระหว่างดินแดนอียิปต์และดินแดนฮัตไทตราบชั่วกาลนาน”
ข้อตกลงนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในพงศาวดารการปกครองรัฐชาติ “ก่อนหน้านั้น กฎเกณฑ์คือ ผู้ชนะเป็นผู้ได้ทุกอย่าง สนธิสัญญาสันติภาพเป็นเรื่องของฝ่ายชนะกำหนดเงื่อนไขต่อฝ่ายพ่ายแพ้” ชัคเนอร์อธิบายและเสริมว่า “ชาวฮิตไทต์กับชาวอียิปต์เลือกที่จะไม่ทำแบบนั้นต่อไปครับ” สนธิสัญญากาเดชบรรยายถึงสองราชันย์ในฐานะเท่าเทียม และสันติภาพที่ไม่มีเป้าหมายอื่นแอบแฝง นี่คือจุดเริ่มต้นของการทูตสมัยใหม่ และเป็นเหตุผลหนึ่งที่สำเนาข้อตกลงนี้แขวนอยู่ในสำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาชาติในนครนิวยอร์ก



แน่นอนว่า เรายังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดของคำถามซึ่งเป็นหัวใจของงานวิจัยเรื่องฮิตไทต์ นั่นคือเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา มีผู้เสนอทฤษฎีมีมากมาย ตั้งแต่ความไม่สงบทางการเมืองไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ “ไม่มีเหตุผลใดเพียงเหตุผลเดียวที่ใช้อธิบายว่า เพราะเหตุใดสังคมที่ซับซ้อนเช่นนั้นจึงแตกสลายและหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ชนิดไม่เหลือร่องรอย” ชัคเนอร์กล่าวและเสริมว่า น่าจะเป็นปัจจัยหลายอย่างที่ประกอบกันแล้วก่อให้เกิด “พายุสมบูรณ์แบบ” ที่ผลักดันชาวฮิตไทต์ไปจนถึงขีดจำกัดแล้วเกินจะรับไหวมากกว่า”
ตัวอย่างเช่นในยุคนั้นโจรปล้นสะดมถือเป็นภัยคุกคามต่อเนื่องอยู่แล้ว ในจารึกมีการพูดถึงชนเผ่าที่เรียกกันว่าชาวคัสคาซึ่งอาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งทะเลดำ บุกมาทำลายวิหารอาราม ลบหลู่รูปเคารพ ก่อนจะแบ่งสันปันส่วน “นักบวช บาทหลวง นักบวชหญิง ผู้ได้รับสมณศักดิ์ นักดนตรี นักร้อง พ่อครัวแม่ครัว คนทำขนมปัง ชาวไร่ชาวนา และคนสวน แล้ว[บังคับ]ให้พวกเขาเป็นคนรับใช้”
ภัยพิบัติทางธรรมชาติก่อปัญหาให้จักรวรรดิฮิตไทต์เนืองๆ เช่นกัน การค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ในแหล่งโบราณคดีชื่อซาปีนูวา บ่งชี้ว่าแผ่นดินไหวรุนแรงสั่นคลอนดินแดนใจกลางจักรวรรดิฮิตไทต์อยู่เป็นประจำ ที่พระราชวังและกลุ่มอาคารวิหารของซาปีนูวา ซึ่งอยู่ห่างจากฮัตทูซาไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 65 กิโลเมตร การขุดค้นเผยให้เห็นผนังและพื้นเป็นริ้วเหมือนระลอกคลื่น นักโบราณคดีค้นพบซากอาคารที่ถูกเพลิงเผาผลาญ ทั้งหมดเป็นเบาะแส ชี้ว่าเมืองนี้ประสบกับเหตุแผ่นดินไหวร้ายแรง
ชาวฮิตไทต์รับมือกับสิ่งเหล่านี้และความท้าทายหลากหลายได้อยู่หลายปี จนกระทั่งจู่ๆ ก็ไม่ไหว ล่วงถึงปี 1250 ก่อนคริสตกาล แผ่นจารึกเริ่มกล่าวถึงสถานการณ์บีบคั้นในศตวรรษสุดท้ายของจักรวรรดิ การต่อสู้แย่งชิงอำนาจในราชสำนักและความพยายามลอบปลงพระชนม์กษัตริย์และเชื้อพระวงศ์หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ โรคระบาดก็เป็นปัญหา เช่นกัน ในแผ่นจารึกมีบทอธิษฐานสำหรับใช้ปัดเป่าโรคระบาดรุนแรง และการเปลี่ยนแปลงในส่วนของภาษา รวมทั้งรูปแบบการเขียนในช่วงทศวรรษท้ายๆ ของจักรวรรดิ ก็อาจเป็นสัญญาณของความขัดแย้งทางสังคมหรือความระส่ำระสาย
ราวปี 1180 ก่อนคริสตกาล ชาวฮิตไทต์ละทิ้งเมืองหลวงของตนไปอย่างเป็นระเบียบแบบแผน ในเมืองไม่มีร่องรอยของศึกสงครามหรือการถูกพิชิต ไม่มีหลุมศพหมู่ ไม่มีหอคอยหรืออาคารโค่นล้ม โรงเก็บของในวิหารที่เต็มไปด้วยภาชนะทองคำและเงิน หอกปิดทอง และสิ่งของที่ปล้นสะดมมาได้จากการศึกสงครามที่ประสบความสำเร็จ ที่บรรยายไว้อย่างละเอียดในคู่มือเทศกาลและบัญชีทรัพย์สิน แต่ปัจจุบันสูญหายไป น่าจะถูกเก็บและขนย้ายออกไป


หลังจากนั้น เมืองก็ถูกเผา แต่ในความย้อนแย้งสุดท้าย เพลิงที่เผาทำลายฮัตทูซากลับช่วยรักษาเรื่องราวของมันไว้ กล่าวคือแผ่นจารึกดินเหนียวหลายพันแผ่นที่ชาวฮิตไทต์สั่งสมมาตลอดช่วงเวลาราวสี่ศตวรรษนั้นหนักเกินว่าจะเคลื่อนย้ายจากหอจดหมายเหตุได้ จึงถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ไฟอบเผาพวกมันจนกลายเป็นอิฐแข็ง ช่วยให้รอดผ่านกาลเวลาหลายศตวรรษต่อมาได้ในสภาพสมบูรณ์ “ข้อดีของเรื่องนี้ สำหรับพวกเราน่ะครับ ก็คือแผ่นจารึกดินเหนียวเหล่านี้ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ตอนที่ทุกคนหนีออกจากเมืองหลวง” ชเวเมอร์กล่าว “สิ่งที่เหลืออยู่คือเอกสารครับ”
แต่ตราบใดที่ยังไม่ปรากฏแผ่นจารึกที่บรรยายถึงวันท้ายๆ ของฮัตทูซา ปริศนาก็จะยังคงอยู่ ชาวฮิตไทต์สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมอัตคัดกันดารได้ และเติบโตกลายเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ แม้จะอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมท้าทาย กระทั่งสถานการณ์เหนือการควบคุมผลักพวกเขาตกจากเส้นด้ายหรือดุลยภาพอันเปราะบาง การล่มสลายของชาวฮิตไทต์และการค้นพบพวกเขาอีกครั้งในปัจจุบัน คือประจักษ์พยานถึงความสำคัญของความยืดหยุ่นและการเก็บรักษาบันทึกที่ดีเพื่อประโยชน์ของชนรุ่นหลัง
เรื่อง แอนดรูว์ เคอร์รี
ภาพถ่าย อีมิน เอิซเมน
แปล อัครมุนี วรรณประไพ