เคล็ดลับการเรียนภาษาผ่านการอ่านหนังสือ

เคล็ดลับการเรียนภาษาผ่านการอ่านหนังสือ

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ “ส่งความรู้สร้างความสุข” เป็นอีกหนึ่งโครงการดีๆ ของความร่วมือระหว่าง บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐ คือกระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่เล็งเห็นความสำคัญของการอ่าน เพราะการอ่าน ถือเป็นรากฐานที่สำคัญของการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะของเด็กและเยาวชน

เมื่อเรากำลังอยู่ในช่วงที่ฝึกฝนหรือเรียนภาษาต่างประเทศสักภาษา เรามักให้ความสำคัญกับการพูด เราควรให้ความสำคัญกับการเลียนแบบเจ้าของภาษา เนื่องจากเราต้องการพูดภาษาที่เรากำลังเรียนอยู่ให้รวดเร็วที่สุด และมองข้ามความสำคัญในการเรียนภาษาโดยการอ่านไป เนื่องจากหลายคนมองว่าเป็นวิธีที่น่าเบื่อและช้า ซ้ำยังดูเป็นวิชาการมากเกินไป และอาจขัดกับความต้องการของคนส่วนใหญ่ที่เรียนภาษาเพื่อนำไปพูดในชีวิตประจำวัน

อย่างไรก็ตาม แนวความคิดที่คนส่วนใหญ่เชื่อถือนี้มักขัดกับหลักการเรียนภาษาที่ถูกต้อง นั่นคือ ถ้าหากคุณอยากพูดภาษาใดภาษาหนึ่งอย่างถูกต้อง คุณต้องอ่านภาษานั้นให้มากๆ ด้วย เนื่องจากการเรียนภาษานั้นเปรียบเสมือนการเชื่อมโยงจุด โดยมีทักษะการฟังเป็นจุดหนึ่ง ความเข้าใจบริบทเป็นจุดหนึ่ง การเลียนแบบเจ้าของภาษาเป็นจุดหนึ่ง และ “การอ่าน” ก็เป็นหนึ่งในจุดที่สำคัญ ดังนั้นหากคุณต้องการเรียนภาษาใหม่ให้ได้อย่างรวดเร็ว คุณก็ควรที่เริ่มอ่านหนังสือด้วยเช่นกัน

เหตุผลที่การอ่านหนังสือเป็นวิธีที่ดีในการเรียนภาษา

ในการเรียนภาษา เป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องรู้เรื่องของกฎหรือไวยากรณ์ หรือแม้กระทั่งสไตล์ของภาษา ภาษาที่เราได้ยินเจ้าของภาษาพูดอย่างเป็นธรรมชาตินั้น แท้จริงแล้วมีไวยากรณ์ซ่อนอยู่ด้วยเสมอ แม้ว่าพวกเขาดูเหมือนจะไม่ใส่ใจก็ตาม และด้วยการอ่านนี้เองจะช่วยทำให้เรามองเห็นภาพของไวยากรณ์ในภาษาได้ชัดเจนขึ้น และเป็นตัวช่วยที่สำคัญในการวิเคราะห์โครงสร้างของภาษาเคล็ดลับการเรียนภาษา

เหตุผลหนึ่งคือ เราจะจดจำภาษาได้มากกว่าหากผ่านการมองเห็น และการอ่านจะทำให้มองเห็นตัวภาษา รวมทั้งช่วยในการเชื่อมโยงตัวคำศัพท์กับภาพในสมองได้ดียิ่งขึ้น เช่น เมื่อเราอ่านคำว่า Jump (กระโดด) ในหนังสือของภาษาใดภาษาหนึ่ง (และคุณได้เรียนรู้ความหมายของมันผ่านครูผู้สอนหรือพจนานุกรมแล้ว) สมองของคุณจะปรากฏภาพของกริยาการกระโดด (อาจเป็นภาพคนหรือสัตว์) ในหัว กระบวนการนี้เองจะทำให้คุณเรียนรู้คลังคำศัพท์รวมไปถึงบริบทที่ใช้ได้มากขึ้น

และอีกเหตุผลหนึ่งคือ ในหนังสือมีการใช้ภาษาที่หลากหลายและรุ่มรวย ภาษาพูดจะมีความคลุมเครือกว่ามากเมื่อเทียบกับภาษาเขียน คนที่ใช้ภาษาในการพูดจะไม่ได้ใช้ความคิดหรือเวลาในการเลือกสรรคำให้ความหมายชัดเจนเท่ากับภาษาเขียนหรือภาษาที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ ยกตัวอย่างเช่นประโยค “It was a bad sign” (มันเป็นสัญญาณที่แย่) ในภาษาพูด แต่ในภาษาเขียน คำว่า Bad สามารถแทนที่ด้วยคำที่มีความหมายชัดเจนกว่าหลายคำด้วยกัน เช่น awful (น่ากลัว) shocking (น่าตกใจ) unpleasant (ไม่สบายใจ) imperfect (ไม่สมบูรณ์) ruthless (โหดเหี้ยม) critical (วิกฤต) เป็นต้น

สำหรับผู้ที่สนใจการเรียนรู้ภาษาโดยใช้การอ่าน เรามี 5 กลยุทธ์ในการเรียนรู้ให้คุณได้เรียนรู้อย่างได้ผล

1. อ่านหนังสือสำหรับเด็ก

ควรเริ่มการเรียนภาษาด้วยหนังสือโดยผ่านการอ่านหนังสือเด็ก ที่ประกอบไปด้วยข้อความสั้นๆ คำศัพท์ง่ายๆ และโครงสร้างทางภาษาหรือไวยากรณ์ที่ไม่ซับซ้อน แม้หลายคนจะมองข้ามการอ่านหนังสือเด็กเนื่องจากมันดูง่ายเกินไป และมีเนื้อหาไม่เข้ากับผู้เรียนภาษาที่เป็นผู้ใหญ่ แต่เราทุกคนต่างรู้ดีว่า ตามธรรมชาติแล้ว การเรียนภาษาจำต้องเริ่มต้นจากการเรียนรูปแบบภาษาที่ง่ายก่อนที่จะเริ่มต้นการเรียนรูปแบบภาษาที่ซับซ้อนขึ้น

ผู้เรียนหลายคนมองข้ามการอ่านหนังสือเด็กแล้วเริ่มต้นการฝึกอ่านหนังสือที่มีความยากภาษาระดับกลางขึ้นไป ก็มักจะเจอกับความซับซ้อนภาษาที่ยากต่อการทำความเข้าใจ ส่งผลให้หมดกำลังใจและพาลคิดไปว่าการเรียนภาษานั้นเป็นของยากเสียตั้งแต่เริ่มต้น เพราะฉะนั้นควรเริ่มการฝึกอ่านภาษาใดภาษาหนึ่งจากการอ่านหนังสือเด็กจะเป็นวิธีที่ดีกว่าเคล็ดลับการเรียนภาษา

2. อ่านหนังสือที่มีสองภาษา

หลังจากที่เราผ่านการอ่านหนังสือที่ใช้ภาษาง่ายๆ มาแล้ว ลองพัฒนามาอ่านหนังสือที่มีการตีพิมพ์ในรูปแบบสองภาษา ซึ่งมักจะมีการแปลเป็นอีกภาษาหนึ่งใต้ประโยคที่เราอ่านอยู่ โดยการอ่านประโยคทีละประโยคเทียบเคียงกันในแต่ละภาษาจะช่วยประหยัดเวลาในการเปิดพจนานุกรม และช่วยให้การอ่านเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยในการศึกษาเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของไวยากรณ์ของคู่ภาษานั้นได้อีกด้วย ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นรากฐานที่สำคัญในการเรียนภาษา

3. อ่านให้มาก

ในขั้นตอนนี้ คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจความหมายที่แท้จริงของทุกคำหรือทุกประโยค หรือไม่จำเป็นต้องทำให้การอ่านสะดุดด้วยการเปิดพจนานุกรมเป็นระยะๆ สิ่งที่ต้องทำคือการอ่านไปเรื่อยๆ โดยจุดประสงค์ของขั้นตอนนี้คือการให้คุณมีโอกาสได้พบเจอข้อความที่มากมายและหลากหลายให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จนจบบทอ่านหรือจบเล่ม ซึ่งไม่จำเป็นต้องอ่านแล้วจับใจความได้ทันที หากแต่เป็นการฝึกความเข้าใจในบริบท และทดลองคาดเดาความหมายในสิ่งที่ได้อ่าน โดยในขั้นตอนนี้ อาจมีหลายคนรู้สึกไม่สบายใจและกังวลที่ตัวเองยังไม่รู้ความหมายที่จริงของสิ่งที่ได้อ่าน ซึ่งไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องนั้นในขั้นตอนนี้เคล็ดลับการเรียนภาษา

4. อ่านให้ลึก

วิธีนี้จะมีลักษณะตรงกันข้ามกับในขั้นตอนที่แล้วที่จะเน้นในเรื่องของปริมาณการอ่าน มาเป็นเรื่องของคุณภาพในการอ่าน ขั้นตอนนี้เราจะต้องใช้พจนานุกรมเพื่อหาความหมายของคำศัพท์ จดการใช้คำศัพท์ในรูปประโยคที่เหมาะสม รวมไปถึงการขีดเส้น วงกลม จดโน้ตในส่วนที่สำคัญ เพื่อให้เข้าใจคำศัพท์ ภาษา ตัวประโยค อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนนี้ไม่ได้คาดหวังให้คุณต้องอ่านหนังสือจนจบเล่มหรือเข้าใจเนื้อเรื่องและตัวละครทั้งหมด จึงไม่จำเป็นต้องเน้นไปที่การอ่านหนังสือจนจบเล่ม หากแต่เป็นการอ่านอย่างละเอียดเพื่อศึกษาการใช้ภาษาที่ปรากฏอยู่ในหนังสือตลอดทั้งเล่ม

5. อ่านให้เป็นประจำ อ่านให้เป็นงานอดิเรก

เราต่างรู้ดีว่าการเรียนภาษาต้องอาศัยความสม่ำเสมอในการเรียน ซึ่งในกรณีนี้หมายถึงการอ่านภาษาที่เราต้องการเรียนอย่างสม่ำเสมอ จนเกิดการซึมซับ และเรียนรู้ทักษะการใช้ภาษาที่เทียบเคียงกับเจ้าของภาษาได้ ซึ่งการจะมีความสามารถถึงขั้นนั้นแน่นอนว่าต้องอ่านหนังสือในภาษาที่ต้องการเรียนอยู่เป็นประจำ

ที่มา

Learning a Language by Reading Books: 5 Super Strategies 
Learning Language Through Reading 

Recommend