ภาพถ่ายสีเก่าแก่ที่สุดในโลก ที่ยังคงอยู่ในกระบวนการล้างภาพ

ภาพถ่ายสีเก่าแก่ที่สุดในโลก ที่ยังคงอยู่ในกระบวนการล้างภาพ

กว่าหนึ่งศตวรรษหลังการประดิษฐ์ออโตโครม ภาพถ่ายปฏิวัติวงการ ถ่ายภาพเหล่านี้กำลังเสื่อมสภาพ และเผยให้เห็นความงามรูปแบบใหม่

ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 โวล์กมาร์ เวนต์เซล ช่างภาพผู้ล่วงลับของสมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟิก ซึ่งผันตัวมาเป็นผู้ดูแลคลังภาพพบสิ่งที่ทั้งน่าทึ่งและน่าเศร้าใจขณะค้นหาภาพในคลัง เขาพบกล่องบรรจุเพลตกระจกบอบบาง ส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่เท่าไปรษณียบัตร บนเพลตเป็นภาพสีที่ถ่ายไว้ในช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบ หลายภาพกำลังเสื่อมสภาพ ภาพที่เคยคมชัดกลับมีจุดสีขาวเล็กๆ และฝ้าจางๆ บดบัง ถูกกาลเวลาและการละเลยทำให้ดูเหนือจริง

นี่คือออโตโครม (autochrome) ผลงานจากการแข่งขันที่จะบันทึกโลกไว้ในทุกเฉดสีในช่วงรอยต่อของศตวรรษที่สิบเก้าและยี่สิบและตอนนี้การแข่งขันก็เริ่มขึ้นเพื่ออนุรักษ์ภาพสีเหล่านี้ไว้ แม้ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงพวกมันไปอย่างไม่ธรรมดาก็ตาม

นักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศส ออกุสต์ และหลุยส์ ลูมิแยร์ คิดค้นเทคโนโลยีออโตโครมขึ้นเมื่อปี 1907 นับเป็นการปฏิวัติวงการถ่ายภาพในยุคนั้น โดยใช้อิมัลชันเงินไวแสงที่เคลือบด้วยชั้นแป้งมันฝรั่งบางๆ ผงแป้งนี้ซึ่งในขณะนั้นนิยมใช้เป็นสารเพิ่มความข้น กาว และสารทำให้ผ้าแข็ง มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการถ่ายทอดความอิ่มตัวของสีในยุคนั้นลงบนภาพ ผงแป้งขนาดจิ๋วที่ย้อมด้วยสีเขียว ส้ม และม่วง จะถูกโรยทั่วแผ่นกระจกแล้วเคลือบด้วยสารเคลือบ เมื่อแสงผ่านชัตเตอร์ที่เปิดอยู่ของกล้องตกกระทบแผ่นกระจก เม็ดสีแต่ละเม็ดจะปิดกั้นช่วงความยาวคลื่นที่สอดคล้องกับสีของสเปกตรัมที่มองเห็นได้ทำให้อิมัลชันด้านล่างรับแสงที่ถูกกรองด้วยสีที่แตกต่างกันเป็นจุดเล็กๆ จำนวนมาก

หลังจากแช่สารเคมีในห้องมืดสองสามรอบ ความโปร่งใสที่ปรากฏบนกระจก เมื่อมองใกล้ๆ เป็นภาพที่ประกอบกันขึ้นจากจุดสีจำนวนมาก แต่เมื่อล้างออกและฉายแสงผ่านแผ่นกระจกที่ปิดทับด้วยกระจกอีกชั้นเพื่อป้องกันแล้ว ภาพที่มีสีสดใสราวกับภาพวาดก็ปรากฏขึ้น

ภาพถ่ายการเต้นรำในรัฐมิสซิสซิปปีเมื่อปี 1937 โดยใช้ดูเฟย์คัลเลอร์ซึ่งเป็นฟิล์มสียุคแรกๆ ภาพนี้ ได้รับการแปลงเป็นดิจิทัล ครั้งแรกในปี 2008 (ซ้าย) พอถึงปี 2023 ฟิล์มต้นฉบับเปลี่ยนแปลงไปเพราะการเสื่อมสภาพทางเคมีที่เรียกว่า กลุ่มอาการน้ำส้มสายชู (ภาพถ่าย: เจ. เบย์เลอร์ โรเบิร์ตส์, NATIONAL GEOGRAPHIC IMAGE COLLECTION

คลังภาพถ่ายสียุคแรกของเนชั่นแนล จีโอกราฟิก มีภาพอยู่ 13,000 ภาพ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยภาพถ่ายออโตโครม เช่น ภาพถ่ายนางรำชาวกัมพูชาซึ่งถ่ายที่นครธมเมื่อปี 1927 (ภาพถ่าย: ฌูล แฌร์แว-กูร์แตลมอง, NATIONAL GEOGRAPHIC IMAGE COLLECTION)

บรรณาธิการเต็มเวลาคนแรกของนิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟิก เป็นผู้สนับสนุนออโตโครม โดยว่าจ้างช่างภาพและจัดหาเพลตกระจกจากช่างภาพทั่วโลก เนื่องจากการเปิดรับแสงใช้เวลานาน การถ่ายภาพสีในยุคแรกๆ จึงมักเป็นภาพหุ่นนิ่ง (still life) และภาพทิวทัศน์ แต่ เนชั่นแนล จีโอกราฟิก ได้ภาพชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวามากมาย ตั้งแต่ภาพตลาดที่มีผู้คนคลาคล่ำในแอลเบเนีย ภาพนักเต้นรำสวมหน้ากากในทิเบต จนถึงภาพควาญช้างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสในอินเดีย

ออโตโครม รวมถึงกระบวนการคล้ายๆ กันที่ใช้เพลตกระจก ยังคงเป็นวิธีการหลักในการถ่ายภาพสี จนกระทั่งฟิล์มโกดักโครม (Kodachrome) เปิดตัวในปี 1935 ซึ่งมีชั้นอิมัลชันที่ไวแสงในตัวเอง ในยุคฟิล์ม เพลตกระจกของสมาคมไม่ได้รับการดูแลรักษาดีนัก ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีที่เวนต์เซลเป็นช่างภาพภาคสนามของเนชั่นแนล จีโอกราฟิก เขามองเห็นคุณค่าของภาพถ่ายเก่าเหล่านี้ ขณะที่เพื่อนร่วมงานหลายคนมุ่งเน้นไปที่นวัตกรรมใหม่ๆ เมื่อสมาคมลดจำนวนภาพถ่ายในคลังภาพลงในทศวรรษ 1960 เขาเก็บเพลตกระจกจากถังขยะ แล้วนำกลับบ้านไปเก็บรักษาไว้ และในที่สุดก็นำกลับคืนสู่คลังภาพ                     

เวนต์เซลถือว่าการอนุรักษ์ การจัดทำรายการภาพ และการจัดแสดงภาพถ่ายเก่าเป็นภารกิจ ปัจจุบัน คลังภาพถ่ายสียุคแรกของเนชั่นแนล จีโอกราฟิก มีภาพถ่ายประมาณ 13,000 ภาพ รวมถึงคลังภาพถ่ายออโตโครมที่รวบรวมไว้มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก 

การสัมผัสกับความชื้นทำให้ภาพดูเฟย์คัลเลอร์ซีดจางและเนื้อฟิล์มย่น ดังที่ ซารา แมนโค ผู้ดูแลคลังภาพของเนชั่นแนล จีโอกราฟิกกล่าวไว้ว่า “เราไม่มีทางรู้เลยว่า ภาพนั้นเคยเป็นอย่างไร” (ภาพถ่าย: รูดอล์ฟ บาโลห์ (ดูเฟย์คัลเลอร์), NATIONAL GEOGRAPHIC IMAGE COLLECTION)

แต่เช่นเดียวกับภาพถ่ายสียุคแรกๆ ที่ยังเหลืออยู่ ภาพของเนชั่นแนล จีโอกราฟิก ก็ถูกแสง ความร้อน ความชื้นและการจัดการที่ไม่เหมาะสมทำให้เปลี่ยนสภาพไป เพลตแตกร้าวและบิ่น อนุภาคเงินที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนทำให้เกิดรอยด่างเป็นวงสีส้ม บนภาพถ่ายออโตโครมยุคหลังที่รู้จักกันในชื่อ ดูเฟย์คัลเลอร์ จ้ำสีม่วงเป็นหลักฐานแสดง “กลุ่มอาการน้ำส้มสายชู”ซึ่งเป็นการสลายตัวทางเคมีที่ส่งผลต่อชั้นฟิล์มระหว่างแผ่นกระจก กลุ่มอาการน้ำส้มสายชูซึ่งตั้งชื่อตามกลิ่นที่ฟุ้งออกมาและแพร่กระจายจากแผ่นหนึ่งไปยังอีกแผ่นหนึ่ง เป็น “โรคระบาดในคลังภาพถ่าย” ซารา แมนโค ผู้อำนวยการคลังภาพและภาพประกอบของสมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟิก กล่าว

ภาพดูเฟย์คัลเลอร์แสดงทหารลาดตระเวนทะเลทรายของซีเรียขี่อูฐ ขณะเยี่ยมชมซากปรักของเมืองปาลไมราเมื่อปี 1938 ภาพนี้ได้รับการแปลงเป็นดิจิทัลในปี 2012 ก่อนที่ฟิล์มอะซิเตตจะเริ่มเสื่อมสภาพอย่างเห็นได้ชัด (ภาพถ่าย: ดับเบิลยู. โรเบิร์ต มัวร์, NATIONAL GEOGRAPHIC IMAGE COLLECTION
ในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา รอยด่างที่แสดงกลุ่มอาการน้ำส้มสายชูเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว ปัจจุบัน “ดูเฟย์ส” และออโตโครมได้รับการเก็บรักษาไว้ในห้องที่มีระบบทำความเย็น ซึ่งช่วยชะลอการเสื่อมสภาพได้ แต่ไม่สามารถหยุดกระบวนการนี้ได้ (ภาพถ่าย: ดับเบิลยู. โรเบิร์ต มัวร์, NATIONAL GEOGRAPHIC IMAGE COLLECTION)

ฟังแล้วอาจเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่รอยตำหนิเหล่านี้ก็ทำให้เพลตหลายแผ่นมีความงามอย่างน่าประหลาด พวกมันไม่ได้เป็นเอกสารประวัติศาสตร์ที่มีสภาพสมบูรณ์อีกต่อไป แต่กลายเป็นหลักฐานของความหายนะที่เกิดจากกาลเวลา คือดูเป็นนามธรรม แตกลายงา และเลือนราง เช่นเดียวกับศิลปวัตถุโบราณอันเป็นที่ชื่นชมมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น รีเบกกา ดูพอนต์ ผู้ดูแลคลังภาพ กล่าวว่า การได้เห็นกระบวนการเสื่อมสภาพทำให้เราได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์เบื้องหลังวัตถุเหล่านี้

“มาคิดๆ ดู การถ่ายภาพยังคงถือว่าเป็นสื่อที่ค่อนข้างใหม่ เพิ่งมีอายุเพียง 150 ปีเท่านั้นค่ะ” ดูพอนต์กล่าว และภาพในคลังภาพ “ยังไม่ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต พวกมันกำลังอยู่ในขั้นตอนพิเศษที่เราจะได้เห็นว่า เกิดอะไรขึ้นกับพวกมัน”

ถึงเพลตจะเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ แต่ก็มีการทำให้คงสภาพไว้ได้ในระดับหนึ่ง ด้วยทุนสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมมนุษยศาสตร์แห่งชาติในปี 2020 แมนโคและทีมผู้ดูแลคลังภาพใช้เวลาสามปีแปลงภาพทั้งหมดเป็นดิจิทัล ทุกวันนี้เพลตต้นฉบับถูกจัดเก็บในสถานที่ควบคุมอุณหภูมิด้วยความเอาใจใส่ เพลตที่มีกลุ่มอาการน้ำส้มสายชูจะถูกแยกไว้ ส่วนเพลตที่แตกจำนวนมากก็ได้รับการประกอบเข้าด้วยกันด้วยความอุตสาหะ

แม้จะได้รับการดูแลอย่างดีแล้ว แต่ผู้ดูแลคลังภาพก็รู้ดีว่า พวกเขาไม่สามารถเก็บรักษาเพลตเหล่านี้ไว้ได้ตลอดไปแต่พวกเขายอมรับได้

“การเสื่อมสภาพฟังดูไม่ดีเสมอ แต่พวกมันก็กำลังพัฒนาไปเช่นกัน จากวัตถุบันทึกเรื่องราวกลายเป็นโครงการประวัติศาสตร์-วิทยาศาสตร์อันแปลกประหลาด” ดูพอนต์กล่าว “ภาพที่เราเห็นนั้นสูญหายไปหรือเปล่า หรือแค่กำลังเปลี่ยนไปเป็นภาพใหม่”

เรื่อง เคที เคลเลเฮอร์

แปล ปณต ไกรโรจนานันท์


อ่านเพิ่มเติม : การเดินทางของสายน้ำและดวงดาว บทสรุปเวทีเล่าเรื่องแบบ National Geographic ใน Sustainability Expo 2025

Recommend