มองโลกจากเบื้องบนและเบื้องล่าง

มองโลกจากเบื้องบนและเบื้องล่าง

“เมื่อสถานที่เดียวกันถูกมองเห็นจากมุมมองแตกต่างกัน

ผลงานจากสองเพื่อนซี้ ได้เปิดวิธีมองโลกของเราในแนวใหม่อย่างสิ้นเชิง”

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา สองสหายช่างภาพเพิ่งถ่ายภาพแกรนด์แคนยอนเสร็จ พวกเขาคุยกันว่าจะถ่ายอะไรต่อดี ดอน เพอทิต กระหายที่จะเล็งกล้องไปยังมาดากัสการ์ จึงส่งข้อความชื่นชมความงามของที่นั่นเสียยกใหญ่ถึงบอแบ็ก ทาเฟรชี เพื่อนของเขา

มีหรือที่ทาเฟรชีจะไม่เห็นด้วย เขานึกภาพต้นเบาบับอันลือชื่อที่มีลําต้นอวบหนากับกิ่งก้านแผ่เป็นลายเส้นสวยงาม โดยมีฉากหลังเป็นฟากฟ้าราตรีประดับดาวงามระยับดั่งร่ายมนตร์ ดังนั้น แม้จะยังเหนื่อยจากการเดินทางเขาก็ขึ้นเครื่องบินจากบอสตันไปปารีส แล้วบินต่อไปอันตานานาริโว เมืองหลวงของมาดากัสการ์ พักค้างคืน ก่อนเช่ารถขับไปยังดินแดนแห่งต้นเบาบับอันห่างไกล บนถนนลูกรังที่เรียงรายไปด้วยหมู่ไม้ดึกดำบรรพ์ ซึ่งเรียกว่าถนนเบาบับ (Avenue of the Baobabs)

การเดินทางของเพอทิตนั้นง่ายกว่า เขาลอยจากห้องหนึ่งบนสถานีอวกาศนานาชาติ หรือไอเอสเอส (International Space Station: ISS) ไปยังอีกห้องหนึ่ง สู่ห้องโดมส่องโลกที่มีหน้าต่างมองโลกจากห้วงอวกาศ ระหว่างปฏิบัติภารกิจนานเจ็ดเดือนบนสถานีอวกาศนานาชาติ เพอทิตซึ่งเป็นมนุษย์อวกาศมาเกือบ 30 ปี ทํางานร่วมกับทาเฟรชี ช่างภาพและนักสำรวจเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ในโครงการสุดสร้างสรรค์เพื่อถ่ายภาพสถานที่หรือปรากฏการณ์เดียวกันจากสองจุดที่ต่างกันสุดหล้า คือคนหนึ่งถ่ายจากพื้นโลก ส่วนอีกคนลอยอยู่เหนือโลก 400 กิโลเมตร พวกเขาต่างถ่ายภาพ 10 ภาพในสี่ทวีป ผลที่ได้คือสมุดภาพล้ำฟ้าของโลกเรา ซึ่งแสดงภาพน่าหลงใหลที่อาจทําให้เรารู้สึกทั้งติดดินและไร้น้ำหนักในเวลาเดียวกัน

เพอทิต (บน) กำลังเตรียมการทดลองวิทยาศาสตร์ นอกเหนือจากความรับผิดชอบในฐานะเจ้าหน้าที่ของนาซา เขายังหาเวลาบันทึกภาพความมหัศจรรย์ของโลกร่วมกับเพื่อนช่างภาพ ทาเฟรชี (ล่าง) จากโคนต้นเบาบับในมาดากัสการ์ (ภาพถ่าย: NASA (เพอทิต); อามีร์เรซา คัมคาร์ (ทาเฟรชี)

ทั้งคู่เริ่มติดต่อกันไม่นานหลังภารกิจแรกของเพอทิตบนสถานีอวกาศนานาชาติที่เพิ่งประกอบเสร็จเมื่อปี 2003 เพอทิตเป็นช่างภาพสมัครเล่นมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่หก เขานํากล้องดิจิทัลติดตัวไปด้วย และใช้วัสดุที่พอหาได้ในสถานีอวกาศมาทำขาตั้งชั่วคราวที่จำเป็นสำหรับทำให้กล้องนิ่งพอจะถ่ายภาพท้องฟ้ากลางคืนโดยจุดดาวไม่กลายเป็นเส้นขยุกขยิก (เพอทิตเล่าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ และเป็นมนุษย์อวกาศช่างประดิษฐ์ที่สุดคนหนึ่งของนาซา เขาเคยออกแบบถ้วยที่ช่วยให้จิบกาแฟง่ายขึ้นในสภาพความโน้มถ่วงน้อย) ตอนนั้น ทาเฟรชีทํางานเป็นบรรณาธิการที่ โนจูม (Nojum) นิตยสารดาราศาสตร์ของอิหร่าน เขาถ่ายภาพมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น ชอบถ่ายท้องฟ้ายามค่ำคืนและสิ่งมหัศจรรย์ในธรรมชาติที่ต้องปลอดมลพิษทางแสงจึงจะมองเห็นได้ เมื่อภาพของเพอทิตมาถึงโลก ทาเฟรชีก็ส่งอีเมลไปชื่นชม ในไม่ช้า พวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนกันทางจดหมาย

ด้วยโครงข่ายป่าไม้หนาแน่นกับเมืองใหญ่ไม่กี่เมือง มาดากัสการ์ดูเหมือนปกคลุมไปด้วยความมืดจากมุมมองของเพอทิตบนสถานีอวกาศนานาชาติ (บน) จากพื้นดิน ทาเฟรชีถ่ายภาพต้นเบาบับอันลือชื่อของเกาะโดยมีฉากหลังเป็นเส้นดาวที่หมุนวนรอบขั้วฟ้าใต้ (ล่าง – ประกอบขึ้นจากภาพซ้อนเฟรม 219 ภาพ)

หลายปีต่อมา เมื่อจดหมายโต้ตอบเลยเถิดไปเป็นโครงการภาพถ่าย เพอทิตและทาเฟรชีพบว่า ดีเหมือนกันที่จะมีแนวทางเล่าเรื่องเกี่ยวกับโลกด้วยภาพคนละแนว โดยเฉพาะเพอทิต เขารู้สึกว่ามีหน้าที่ต้องแบ่งปันมุมมองพิเศษจากวงโคจรแก่เพื่อนมนุษย์บนโลก ทั้งคู่พยายามประสานเวลาถ่ายภาพตลอดโครงการ เรื่องนี้ต้องวางแผนกันอย่างทุ่มเท ต้องดูกลศาสตร์วงโคจร เพราะเพอทิตบนสถานีอวกาศนานาชาติจะวนรอบโลกทุก 90 นาที วิถีโคจรของสถานีอวกาศก็สําคัญ ครั้งแรกที่ทั้งคู่ระดมความคิดหาบริเวณน่าสนใจ ทาเฟรชีเสนอความคิดมากมาย “ผมบอกเขาว่า คุณรู้ไหม ไอซ์แลนด์ยอดเยี่ยมมากนะ” เขาเล่า แต่เพอทิตตอบว่า สถานีอวกาศนานาชาติไม่เคยบินเหนือไอซ์แลนด์ ความเป็นไปในโลกมีอิทธิพลต่อโครงการเช่นกัน เพอทิตเคยแนะนําสองสามภูมิภาคที่น่าถ่ายภาพจากความสูงหลายร้อยกิโลเมตร แต่สถานที่เหล่านี้อยู่บนพรมแดนของประเทศคู่ขัดแย้ง เช่น อินเดียกับปากีสถาน และเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ “ผมเลยไปไม่ได้เพราะไม่ปลอดภัยครับ” ทาเฟรชีบอก ฝ่ายเพอทิตก็ต้องหาทางถ่ายภาพสลับกับงานหลักในหน้าที่มนุษย์อวกาศ “พอคุณได้ประจำการบนสถานี คุณจะมีงานเต็มเวลาทั้งวันครับ” เพอทิตซึ่งอยู่ในอวกาศรวมเกือบ 600 วันในสี่ภารกิจ เล่าให้    ฉันฟัง “คุณต้องแน่ใจว่า มีช่วงว่างในตารางงานที่คุณจะวิ่งไปถ่ายรูปที่โดมแก้วได้”

ในความพยายามที่จะนำเสนอสถานที่เดียวกันจากมุมมองแตกต่างกันมาก มนุษย์อวกาศ ดอน เพอทิต และช่างภาพ บอแบ็ก ทาเฟรชี มุ่งไปที่ทะเลทรายทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ เพอทิตถ่ายแสงจ้าของนครลอสแอนเจลิสออกมาเป็นแถบแสง (บน) ส่วนที่แกรนด์แคนยอน ทาเฟรชีหันกล้องขึ้นฟ้า ถ่ายภาพสถานีอวกาศนานาชาติที่บินผ่านเหนือศีรษะ (ล่าง – ประกอบขึ้นจากภาพซ้อนเฟรม 200 ภาพ)

บางครั้งเอกภพก็เป็นใจกับพวกเขา ดาวหางที่มาเยือนจากขอบระบบสุริยะปรากฏขึ้นหนึ่งสัปดาห์หลังเพอทิตไปถึงวงโคจร ทาเฟรชีสังเกตดาวหางนั้นในเปอร์โตรีโก แต่เพอทิต “มีมุมมองที่ดีที่สุด” เพราะอยู่พ้นบรรยากาศโลกมัวๆที่มาพร้อมเมฆระเกะระกะ ไม่นานหลังจากนั้น พายุแสงเหนือใต้ (aurora storm) ครั้งใหญ่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าเหนือบ้านของทาเฟรชี สะดวกอะไรเช่นนี้! และช่างภาพทั้งสองก็ถ่ายเหตุการณ์นี้ห่างกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง เป็นครั้งที่เวลาถ่ายภาพของทั้งคู่ใกล้กันที่สุด ถ้าพูดถึงเรื่องระลอกแสงสีเขียวลึกลับนี้ การมองจากสองมุมย่อมดีกว่ามุมเดียว “ถ้าคุณดูระลอกเดียวกันจากวงโคจร คุณอาจพบว่าที่จริงมันเป็นวงรีครับ” เพอทิตกล่าว ราวกับว่าพวกเขารุมล้อมปรากฏการณ์บรรเจิดนั้น และเผยธรรมชาติที่แท้จริงของมันออกมา

ถึงเพอทิตจะรอดพ้นจากอุปสรรคในวันแย่ๆของช่างภาพในโลกอย่างฝนตก กล้องของเขาอาจทํางานผิดปกติบ้างจากรังสีคอสมิกซึ่งมองไม่เห็นที่พุ่งเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง และบ่อยครั้งสิ่งของในชีวิตมนุษย์อวกาศก็ผลุบเข้ามาในเฟรมภาพ ครั้งหนึ่ง ทาเฟรชีไล่ดูภาพหมู่เกาะมัลดีฟส์ในมหาสมุทรอินเดียที่เพอทิตถ่ายมา เขาสังเกตเห็นหย่อมสีเขียวน่าสนใจในน้ำ สาหร่ายสะพรั่งอย่างนั้นหรือ “ผมตื่นเต้นมากจนกระทั่งได้ดูอีกสองสามภาพ ถึงเห็นว่าหย่อมนี้เลื่อนเร็วมาก” ทาเฟรชีเล่า มันกลายเป็นเครื่องยกน้ำหนักที่สะท้อนอยู่ในกระจกโดม “ลูกเรือทุกคนออกกําลังกายบนเครื่องนี้วันละหนึ่งชั่วโมงครึ่งครับ” เพอทิตเล่า เขาขอเพื่อนร่วมงานเป็นครั้งคราวว่าขัดข้องไหมถ้าจะปิดไฟและออกกําลังกายมืดๆ สักไม่กี่นาที ไม่ใช่ทุกคนที่ยอมตาม

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ปี 2024 พายุแม่เหล็กโลกรุนแรงกระหน่ำจนซีกโลกเหนือสว่างไสวด้วยแสงเหนือใต้หลากสีสัน เพอทิตรีบไปที่หน้าต่างบานหนึ่งของสถานีอวกาศนานาชาติเพื่อบันทึกภาพระลอกแสงสีเขียวและชมพูเจิดจ้าก่อนจะหายไป (บน) โชคดีที่ทาเฟรชีไม่ต้องเดินทางไกล เขาถ่ายภาพแสงเหนือใต้สีชมพูที่หมุนวนชุดเดียวกันในละแวกบ้านของเขาที่เมืองเซเลม รัฐแมสซาชูเซตส์ (ล่าง)

ทั้งเพอทิตและทาเฟรชีเชื่อว่า การถ่ายภาพจากอวกาศใช้คนดีกว่า มีดาวเทียมมากมายหลายดวงถ่ายภาพโลกจากวงโคจรก็จริง แต่ภาพเหล่านี้มักดูแบนไร้มิติและขาดพื้นผิว เพอทิตสามารถเล่นกับแสงเงาเพื่อสร้างภาพโลกที่รุ่มรวยกว่า และภาพโลกจากวงโคจรจะมีความหมายมากขึ้น เมื่อมีอารมณ์จริงๆอยู่เบื้องหลังภาพนั้น คาเรน ไนเบิร์ก มนุษย์อวกาศวัยเกษียณขององค์การนาซา บอกฉันว่า เธอชอบถ่ายภาพสถานที่ซึ่งเธอรู้ว่าคนที่เธอรักอยู่ข้างล่างนั้น “เวลาเราบินผ่าน ฉันจะมองลงมายังฮิวสตัน หรือตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ก เวลาที่พวกเขาไปแถวนั้น แล้วรู้สึกผูกพันกับพวกเขามากค่ะ เพราะฉันอยู่ห่างเพียง 400 กิโลเมตรเท่านั้น แค่อยู่ตรงดิ่งเหนือพวกเขา” ไนเบิร์กเล่า “แล้วฉันก็เริ่มรู้สึกถึงความผูกพันแบบเดียวกันนี้กับคนที่ฉันไม่รู้จักในที่อื่นๆบนโลกอย่างแท้จริงค่ะ” บางทีอาจมีนัยแห่งชัยชนะอยู่ในความคิดเรื่องการถ่ายภาพจากอวกาศเช่นกัน ร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างให้อยู่ในอวกาศ แต่มนุษย์อวกาศก็ไปที่นั่น ซึมซับความมหัศจรรย์และนำมาแบ่งปันกับพวกเรา

ขณะสถานีอวกาศนานาชาติบินเหนือเขตแดนรัฐมอนแทนากับไวโอมิง เพอทิตใช้เลนส์ 50 มม. ของเขาเปิดรับแสง 10 วินาที ถ่ายภาพโลกและหนึ่งในเทห์ฟ้าเพื่อนบ้าน ได้แก่ ดาราจักรแอนดรอเมดา ซึ่งห่างไปเพียง 2.5 ล้านปีแสง (บน) กีย์เซอร์หรือน้ำพุร้อนแคเซิลของอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนปะทุขึ้นหน้าฉากเส้นดาวในภาพประกอบจากภาพถ่าย 65 ภาพนี้ของทาเฟรชี (ล่าง)

การถ่ายภาพมาดากัสการ์เป็นงานสุดท้ายในโครงการนี้ของพวกเขา ก่อนเพอทิตจะเดินทางกลับสู่โลก ภูมิภาคนี้มีแสงไฟฟ้าน้อยมาก ดังนั้นภาพของเพอทิตจึงอาศัยการเรียงตัวของเทห์ฟ้า คือจันทร์เพ็ญที่ส่องภูมิทัศน์ในความครอบงำของรัตติกาล ทาเฟรชียืนอยู่ท่ามกลางป่าไม้พุ่ม ดื่มด่ำกับทางช้างเผือกระยิบระยับบนท้องฟ้าพิสุทธิ์ “มันเหนือจริงครับ” เขาบอก ความสงัดเงียบยามเย็นถูกคั่นด้วยเสียงเซ็งแซ่ยามค่ำคืนของสัตว์ป่าที่มองไม่เห็นและชาวบ้านนั่งเกวียนเทียมล่อที่ผ่านไปมา จากเบื้องบน โลกคือพิภพเรืองรองใต้บรรยากาศเบาบางในความว่างเปล่าอันธการ จากเบื้องล่าง โลกคือความรกเรื้อของพฤกษชาติ สัตวชาติ และมนุษยชาติ ซึ่งเท่าที่เรารู้ ไม่มีในที่อื่นใดอีก   

เรื่อง มารีนา คอเรน

ภาพถ่าย ดอน เพอทิต และบอแบ็ก ทาเฟรชี 

แปล วิษณุ เอื้อชูเกียรติ


อ่านเพิ่มเติม : ภาพถ่ายสีเก่าแก่ที่สุดในโลก ที่ยังคงอยู่ในกระบวนการล้างภาพ

Recommend