ซาลโมเนลลา เชื้อแบคทีเรียก่อโรคในทางเดินอาหาร

ซาลโมเนลลา เชื้อแบคทีเรียก่อโรคในทางเดินอาหาร

โรดติดเชื้อในทางเดินอาหารจากเชื้อ แบคทีเรีย ซาลโมนเนลลา (Salmonella) เป็นกลุ่มโรคติดเชื้อที่พบได้โดยทั่วไป มักเกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเป็นไข้ ถ่ายเหลว หรืออาเจียน

ซาลโมเนลลา (Salmonella) ถูกค้นพบโดย แดเนียล เอลเมอร์ แซลมอน (ชื่อซาลโมเนลลา มาจากนามสกุลผู้ค้นพบ) เมื่อร้อยกว่าปีก่อน เป็นแบคทีเรียแกรมลบ ที่มีลักษณะรูปท่อน เคลื่อนที่โดยใช้แฟลเจลลา (flagella) เจริญได้ดีที่อุณหภูมิปานกลาง (mesophilic bacteria) และเจริญได้ในอุณหภูมิร่างกายของมนุษย์และสัตว์เลือดอุ่น อุณหภูมิต่ำสุดที่เจริญได้คือ 5.2 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิสูงสุดที่เคยมีรายงานการเจริญเติบโตคือ 54 องศาเซลเซียส

ซาลโมเนลลาเจริญได้ทั้งภาวะที่มีออกซิเจนและไม่มีออกซิเจน จึงพบได้ในอาหารที่เป็นบรรจุภัณฑ์สุญญากาศ (vacuum packaging) เชื้อซาลโมเนลลาสามารถทนความร้อนแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิด สายพันธุ์ และปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น อุณหภูมิ และความชื้น เป็นต้น

ซาลโมเนลลา, เชื้อแบคทีเรีย, เชื้อโรค, เชื้อก่อโรค, อาหารเป็นพิษ, ท้องร่วง, อาเจียน, ท้องเสีย
ลักษณะเชื้อแบคทีเรียซาลโมเนลลา

ในทางการแพทย์ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อซาลโมเนลลาเรียกว่า ผู้ป่วยโรคซาลโมเนลโลซิส (salmonellosis) มักเกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเป็นไข้ ถ่ายเหลว หรืออาเจียน โดยอาการอาจปรากฏอยู่นาน 8 – 72 ชั่วโมง ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่สุขภาพแข็งแรงอาจมีอาการดีขึ้นเองภายใน 2 – 3 วันโดยไม่จำเป็นต้องรับการรักษา ในทางกลับกัน ผู้ป่วยบางรายอาจไม่แสดงอาการเจ็บป่วยใดๆ

อาการของผู้ป่วยอาจใช้เวลานานหลายชั่วโมงจนถึง 2 วัน จึงจะปรากฏอาการของโรค เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย โดยอุจจาระอาจมีเลือดปน อาเจียน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ เป็นไข้ หนาวสั่น เบื่ออาหาร

นอกจากนี้ หากผู้ติดเชื้อเป็นเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง บวกกับมีอาการอุจจาระเป็นเลือด มีไข้สูง หรือมีภาวะขาดน้ำนานกว่า 2 – 3 วัน ควรไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

ซาลโมเนลลา, เชื้อแบคทีเรีย, เชื้อโรค, เชื้อก่อโรค, อาหารเป็นพิษ, ท้องร่วง, อาเจียน, ท้องเสีย
เชื้อซาลโมเนลลาบนจานเพาะเชื้อ หลังจากเขี่ยเชื้อเป็นเวลา 24 ชั่วโมง

สาเหตุของการติดเชื้อ ซาลโมเนลลา

 

ซาลโมเนลลาเป็นแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ของคนและสัตว์ สามารถปนออกมากับอุจจาระและมูลสัตว์ได้ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้รับเชื้อจากการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนแบคทีเรียชนิดนี้ โดยมีตัวอย่างปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้อแบคทีเรียซาลโมเนลลา ดังนี้

 

  • เนื้อวัวดิบ เนื้อหมู เนื้อไก่ หรือเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่อาจปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ระหว่างกระบวนการผลิต

 

  • ไข่ดิบ โดยแม่ไก่ที่มีเชื้อแบคทีเรียซาลโมเนลลาอาจส่งผ่านเชื้อโรคไปสู่ไข่ไก่ตั้งแต่เปลือกไข่ยังไม่ก่อตัว จึงทำให้การรับประทานไข่ดิบหรือรับประทานอาหารที่มีไข่ดิบเป็นส่วนผสมอาจเป็นอีกช่องทางหนึ่งของการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ได้

 

  • ผักและผลไม้ อาจปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียซาลโมเนลลาจากแหล่งน้ำที่มีเชื้อโรคในระหว่างเพาะปลูก การล้างผักหรือผลไม้ด้วยน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค หรือสัมผัสกับน้ำจากเนื้อดิบที่มีเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ในระหว่างประกอบอาหาร

 

  • สัตว์เลี้ยงบางชนิดอาจมีเชื้อซาลโมเนลลาได้โดยที่เจ้าของไม่ทราบ เช่น สุนัข แมว นก กิ้งก่า และงู เป็นต้น เมื่อใช้มือสัมผัสขนหรือผิวหนังของสัตว์เลี้ยงที่ปนเปื้อนเชื้อ แล้วนำนิ้วมือเข้าปาก อาจเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อแบคทีเรียได้

 

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้ อาจเพิ่มโอกาสการเกิดโรคซาลโมเนลโลสิสมากขึ้น

 

  • ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินอาหารหรือลำไส้

 

  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ผู้ป่วยโรคเอดส์ โรคมาลาเรีย ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์ และผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกันหลังการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นต้น

 

  • ผู้ที่เสี่ยงสัมผัสเชื้อซาลโมเนลลา เช่น ผู้ที่เลี้ยงนกหรือสัตว์เลื้อยคลาน และผู้ที่ต้องเดินทางไปยังประเทศกำลังพัฒนาและมีปัญหาด้านระบบสาธารณสุข

 

การรักษาโรคซาลโมเนลโลสิส

 

การรักษาทำได้หลายวิธีโดยมุ่งเน้นให้ผู้ป่วยได้รับน้ำอย่างเพียงพอเพื่อทดแทนน้ำส่วนที่เสียไป ซึ่งอาจดูแลอาการด้วยตนเองที่บ้านได้โดยป้องกันการเกิดภาวะขาดน้ำ ผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่ควรใช้วิธีดื่มน้ำตาลเกลือแร่ให้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ ส่วนผู้ป่วยที่เป็นเด็กอาจให้รับประทานน้ำตาลเกลือแร่สำหรับเด็ก รวมทั้งเฝ้าระวังอาการท้องเสียหรืออาเจียนที่อาจเป็นสาเหตุของภาวะขาดน้ำได้

 

แต่หากอาการที่เกิดขึ้นมีความรุนแรง อาจต้องไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลโดยการให้ของเหลวผ่านทางหลอดเลือด ซึ่งแพทย์อาจรักษาด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติม ดังนี้

 

การใช้ยาแก้ท้องเสีย อย่างโลเพอราไมด์ เพื่อช่วยบรรเทาอาการท้องเสียของผู้ป่วย แต่ยาอาจทำให้อาการท้องเสียที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียซาลโมเนลลาหายช้าลง หรืออาจเกิดผลข้างเคียงอย่างอื่นได้ จึงควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

 

การใช้ยาปฏิชีวนะ ในกรณีที่อาการรุนแรงมากขึ้น หรือผู้ป่วยมีความบกพร่องด้านระบบภูมิคุ้มกัน หรือมีความเสี่ยงที่แบคทีเรียจะเข้าสู่กระแสเลือด แพทย์อาจใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แต่การใช้ยาปฏิชีวะในผู้ป่วยที่มีอาการไม่ซับซ้อนอาจไม่มีประโยชน์ต่อการรักษา และยังอาจทำให้แบคทีเรียอยู่ในร่างกายผู้ป่วยนานขึ้นซึ่งเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้

 

การป้องกันเชื้อซาลโมเนลลา

 

เชื้อแบคทีเรียซาลโมเนลลาอาจแฝงอยู่ในเนื้อดิบ ผักผลไม้ หรือบนผิวหนังของสัตว์เลี้ยง ซึ่งการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนหรือสัมผัสสัตว์เลี้ยงอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคชนิดนี้ได้ จึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ดังนี้

 

  • ล้างมือด้วยสบู่หลังทำกิจกรรมต่างๆ เช่น สัมผัสเนื้อดิบ เข้าห้องน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ทารก เล่นกับสัตว์เลี้ยง สัมผัสสัตว์เลื้อยคลาน หรือเก็บมูลสัตว์ เป็นต้น

 

  • หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ยังไม่สุก เช่น เนื้อไก่ เนื้อวัว หรือเนื้อหมู เป็นต้น

 

  • หลีกเลี่ยงการรับประทานไข่ดิบหรืออาหารที่ใช้ไข่ดิบเป็นส่วนผสม หากไข่ยังไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์ (Pasteurization)

 

  • ล้างผักและผลไม้ให้สะอาด หากเป็นไปได้ควรปอกเปลือกก่อนรับประทาน

 

  • แยกเนื้อสัตว์ที่ยังดิบออกจากวัตถุดิบอื่น ๆ เมื่อเก็บในตู้เย็น

 

  • ทำความสะอาดครัวบริเวณที่ใช้วางวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร และควรใช้เขียงหรืออุปกรณ์อื่น ๆ แยกกันระหว่างเนื้อดิบและผักหรือผลไม้

 

  • ล้างภาชนะที่ใช้ใส่เนื้อดิบให้เรียบร้อยก่อนนำมาใส่อาหารที่ปรุงสุกแล้ว

สืบค้นและเรียบเรียง ณภัทรดนัย


ข้อมูลอ้างอิง

https://www.3m.co.th/3M/th_TH/food-safety-th/education/pathogenic-microorganisms/salmonella/

https://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/1123/salmonella-ซาลโมนเนลลา

https://www.pobpad.com/โรคติดเชื้อซาลโมเนลลา

Recommend