แอนโทนี เฟาชี แพทย์ผู้วางนโยบายพิชิตจากยุคโรคเอดส์สู่โควิด-19 ของสหรัฐฯ

แอนโทนี เฟาชี แพทย์ผู้วางนโยบายพิชิตจากยุคโรคเอดส์สู่โควิด-19 ของสหรัฐฯ

เนชั่นแนล  จีโอกราฟฟิก สัมภาษณ์ แอนโทนี  เฟาชี  เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวหน้าที่การงาน และบทบาทของเขาในวิกฤติด้านสาธารณสุขตั้งแต่เอชไอวี/เอดส์ จนถึงโควิด 19

ผมเกิดในวันคริสต์มาสอีฟ (24 ธันวาคม) ปี 1940  ตามคำบอกเล่าของพ่อ… [ในคืนนั้น]  สูตินรีแพทย์ผู้รับฝากครรภ์ของแม่บังเอิญอยู่ในงานเลี้ยง  ตอนที่แม่เริ่มนํ้าเดิน  พ่อรีบพาแม่ไปที่โรงพยาบาลบรุกลิน  คุณหมอเดินเข้ามาทั้งๆ ที่ยังใส่ชุดทักซิโด  รีบรุดเข้าห้องคลอด  ล้างมือและใส่ชุดสครับทับชุดทักซิโด…  เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องโจ๊กประจำครอบครัว  คุณหมอต้องดื่มไปขนาดไหนแล้ว  ตอนที่มาทำคลอดผม

แอนโทนี เฟาชี อายุเกือบห้าขวบเมื่อปี 1945 ตอนที่สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฮิโระชิมะและนะงะซะกิ ปลดปล่อยอำ นาจการทำลายล้าง บีบให้ญี่ปุ่นต้องยอมจำนนแก่ฝ่ายพันธมิตร

ตอนผมเห็นแม่อ่านหนังสือพิมพ์นิวยอร์กเดลินิวส์  ในข่าวหน้าหนึ่งเป็นภาพความพินาศย่อยยับของเมืองฮิโระชิมะเป็นช่วงเวลาที่ผมจดจำไม่ลืมเลือน  ผมเล่นเกมสงครามตั้งแต่เด็กๆ  เราได้รับการปลูกฝังว่า พระเอกคือบรรดาทหารจีไอ ส่วนผู้ร้ายคือพวกญี่ปุ่น

แต่ผมเห็นอะไรบางอย่างในตัวแม่ที่ทำให้ผมแปลกใจในตอนแรก  หลายสิบปีต่อมา  ผมยังจำภาพนั้นในห้องรับแขกที่อพาร์ตเมนต์ของเราในบรุกลินได้  ผมเห็นภาพแม่นั่งบนเก้าอี้นวม  สายตาจับจ้องไปที่หนังสือพิมพ์ตรงหน้า  แม่ดูเศร้ามาก  นั่นเป็นช่วงเวลาสำคัญมาก  ผมได้รู้ว่าเราอาจเห็นอกเห็นใจคนที่แตกต่างจากเรามากได้  กระทั่งคนที่อาจเป็นศัตรูของเราก็ตาม

เราอาศัยอยู่ชั้นบนของร้านขายยาพ่อ  พี่สาวผมคอยช่วยงานกระจุกกระจิกหลังเคาน์เตอร์  ส่วนผมปั่นจักรยานไปส่งยาตามที่ต่างๆ ในละแวกบ้าน  แลกกับทิป 25 เซนต์

ผมมีโอกาสพบเจอผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย  และเข้าใจถึงความป่วยไข้  คุณบอกได้จากที่เห็นเลยว่า  พวกเขากำลังป่วย  นั่นเป็นตอนแรกที่ผมเริ่มรู้จักโลกของความเจ็บป่วยและการแพทย์  การช่วยงานในร้านทำให้ผมตระหนักในคุณค่าของครอบครัวมากขึ้น  เพราะเราทำงานร่วมกัน

ภาพจากทศวรรษ 1940 ของแอนโทนี  เฟาชี กับพ่อแม่  สตีเวนและยูจีเนีย  กับเดนิส  พี่สาวของเขา

 เฟาชีใช้ชีวิตวัยเด็กในย่านเบนสันเฮิร์สต์ของบรุกลิน นิวยอร์ก ซึ่งเป็นย่านที่เขาบรรยายว่า “ร้อยละ 99.9 เป็นคนอเมริกัน เชื้อสายอิตาลี” บรรพบุรุษทั้งสองฝั่งของเขาล้วนอพยพจากอิตาลี ก่อนจะมาสร้างครอบครัวในละแวกโลเวอร์อีสต์ไซด์ของแมนแฮตตันที่ซึ่งพ่อแม่ของเฟาชีพบรักและแต่งงานกัน

ในฤดูร้อน  เมื่อหน้าต่างเปิดทุกบานและกลิ่นอาหารอบอวลไปทั่ว  ส่วนใหญ่เป็นกลิ่นซอสมะเขือเทศและไส้กรอก  สิ่ง เหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวคุณ  เมื่อไรก็ตามที่ผมได้กลิ่นแบบนี้  ไม่ว่าจะอีกกี่สิบปีต่อมา  ความรู้สึกถึงวันคืนเก่าๆ ตอนนั้นจะหวนกลับมาทันที  คุณรู้สึกได้ถึงเสรีภาพ  อากาศดีๆ แสงแดด  และการใช้เวลาอยู่กลางแจ้งบนท้องถนนในบรุกลิน ไม่มีที่ไหนในโลกปลอดภัยเท่านี้อีกแล้ว  เพราะบรรดาเจ้าของร้านรวงจะออกมานั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กๆ หน้าร้าน  คอยมองดูเด็กๆ วิ่งเล่น  จะมีใครกล้าคุกคามรังแกเด็กๆ เหล่านี้กันล่ะ นับเป็นวัยเด็กที่แสนสุขสันต์

เฟาชีเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมรีจิสอันทรงเกียรติในแมนแฮตตัน และเรียนต่อที่โฮลีครอสส์ มหาวิทยาลัยชายล้วนในเมืองวูสเตอร์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ถึงตอนนั้น เขารู้แล้วว่ากำลังอยู่บนเส้นทางสู่การเป็นแพทย์

ในมหาวิทยาลัย  ทุกฤดูร้อน  ผมจะทำงานพิเศษเป็นลูกมือตามไซต์งานก่อสร้าง  คอยช่วยแบกอิฐ  ส่งปูน  และทำความ สะอาด  ตอนนั้น  ผมรู้แล้วว่าอยากเข้าคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยคอร์แนลล์  และก็เป็นเรื่องบังเอิญที่ผมได้งานพิเศษที่ไซต์งานก่อสร้างห้องสมุดแซมมวล  เจ.  วูด ของที่นั่น วันหนึ่งผมตัดสินใจรวบรวมความกล้าที่จะเดินเข้าไปข้างใน

ตอนที่คนงานก่อสร้างคนอื่นๆ นั่งหลังพิงกำแพงพักกินข้าว พลางผิวปากแซวพยาบาลที่เดินผ่านไปผ่านมา  ผมเดินขึ้นบันได และเปิดประตูเข้าไป  มองเข้าไปในหอประชุม  จำได้ว่าบอกกับตัวเองว่า  ว้าว  นี่มันสุดยอดไปเลย  ทันใดนั้น  รปภ. ที่ยืนเฝ้าประตูก็เดินตรงมาที่ผม  พี่เบิ้มเลยละครับ  แล้วพูดว่า  “มีอะไร ให้ช่วยไหมเจ้าหนู”  เจ้าหนู เขาเรียกผมอย่างนั้น

ผมตอบกลับไปว่า  “อ๋อ  ไม่มีอะไรหรอกครับ  แค่อยาก มาเดินดู”

เขาบอกว่า  “ดูรองเท้าเธอสิ  เลอะปูนขนาดนั้น  ออกไปดีกว่าไหม”  ผมมองหน้าเขา  รู้สึกเหมือนถูกดูถูก  บอกกลับไปว่า  “สักวันผมต้องเป็นนักเรียนแพทย์ที่นี่ให้ได้”

หนึ่งปีให้หลัง  ผมก็ได้เข้าเรียนที่นั่น

ภาพถ่ายเมื่อปี1984  เฟาชีทำงานที่สถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ

ถ้าคุณเป็นหมอ  เป็นเรื่องสำคัญที่คุณควรจะรู้จักธรรมชาติความเป็นมนุษย์มากพอๆกับสรีรวิทยาของมนุษย์  สิ่งสำคัญที่สุดใน การดูแลผู้ป่วยคือความห่วงใยในคนเหล่านั้น  คุณต้องดูแลพวกเขาในฐานะเพื่อนมนุษย์  ไม่ใช่แค่สถิติตัวเลข  หรือใครสักคนที่คุณจะได้เงินจากเขา

ผมขออนุญาตยกตัวอย่างเรื่องที่เกิดกับตัวเอง  เป็นพัฒนาการหรือการเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฝ่ามือที่อยู่เหนือการบังคับควบคุมของคุณ  และส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อทิศทางอาชีพและชีวิตคุณได้

ปี 1968  ผมจบการเป็นแพทย์ฝึกหัดด้านอายุรกรรมที่โรงพยาบาลนิวยอร์กฮอสพิทัล-คอร์แนลล์เมดิคัลเซ็นเตอร์ ปีเดียวกันนั้น  นักวิชาการด้านสาธารณสุขซึ่งเป็นที่รู้จักหลายคน…ออกมาให้ทรรศนะและถึงกับให้การต่อคณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐฯว่า  การเกิดขึ้นของยาปฏิชีวนะ  วัคซีน  และมาตรการด้านสาธารณสุขอื่นๆ  ทำให้เรามีชัยชนะเหนือโรคติดต่อต่างๆ  และเราควรทุ่มเทความพยายามให้กับงานวิจัยด้านอื่นๆ และงานด้านสาธารณสุขแทน

แล้วก็คงเหมือนพรหมลิขิต  ตอนนั้น  ผมเตรียมเริ่มฝึกงานในฐานะนักวิจัยด้านโรคติดต่อที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติ หรือเอ็นไอเอช (National Institutes of Health: NIH) ผมจำได้ว่านั่งคิดตอนขับรถจากนิวยอร์กไปเอ็นไอเอชในเมืองเบเทสดา  รัฐแมริแลนด์  ผมรู้สึกสับสนกับทางเลือกในอาชีพของตนเอง  นี่ผมกำลังเข้าสู่โลกอันคับแคบของผู้เชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะทางหรือเปล่า

นับว่าโชคดีสำหรับอาชีพของผม  แต่โชคร้ายและน่าเศร้าสำหรับโลก  แม้แต่บุคลากรระดับแพทย์ใหญ่สหรัฐฯ ก็ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป  อันที่จริง  อีก 13 ปีต่อมา  ในปี 1981  การระบาดของโรคเอดส์ก็เกิดขึ้นและเปลี่ยนโฉมหน้าอาชีพการงาน ของผม ถ้าไม่ใช่ทั้งชีวิต

คุณต้องเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาที่จะก้าวเข้าสู่ดินแดนที่ยังไม่มีใครสำรวจ  คาดหวังในสิ่งที่ไม่อาจคาดหวัง  และถ้าเป็นไปได้  จงคว้าโอกาสที่ผ่านเข้ามา

ดร.แอนโทนี เฟาชี กล่าวกับสมาชิกในห้องวิจัยของเขาระหว่างการประชุมในวันที่ 31 สิงหาคม 1990 เขากำลังอธิบายถึงปัจจัยการเติบโตตามธรรมชาติซึ่งเป็นจำเป็นสำหรับการแพร่กระจายของไวรัสโรคเอดส์ PHOTOGRAPH BY GEORGE TAMES, THE NEW YORK TIMES VIA REDUX

เฟาชีเป็นหนึ่งในนักวิจัยแถวหน้าด้านวิทยาภูมิคุ้มกันและโรคแพ้ภูมิตัวเองที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติเมื่อปี 1981 ตอนที่เขาเริ่มได้เบาะแสเกี่ยวกับโรคติดต่อไม่ทราบชนิด วารสาร Morbidity and Mortality Weekly Report (MMWR) ที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ ตีพิมพ์รายงานว่า ชายรักเพศเดียวกันห้าคนจากลอสแอนเจลิสที่ไม่ปรากฏโรคพื้นเดิมมีอาการของโรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมซิสติส จิโรเวซิไอ หรือพีซีพี ซึ่งพบได้ยากมาก

ตอนที่ผมเห็นรายงานฉบับนั้น  ผมนั่งอยู่ในออฟฟิศเล็กๆ บนชั้น 11  ที่ศูนย์วิจัยคลินิกของเอ็นไอเอช  ในวันที่ร้อนอบอ้าว ของฤดูร้อนสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน  ผมกำลังศึกษาเรื่องยากดระบบภูมิคุ้มกันอยู่  พอเราเห็นเคสโรคปอดอักเสบ ดังกล่าว  ผมจึงบอกว่า  “เรื่องนี้ชักจะแปลกๆ เสียแล้ว”

หนึ่งเดือนต่อมา  ในวันที่ 5 มิถุนายน ปี 1981  วารสาร MMWR อีกฉบับก็วางอยู่บนโต๊ะผม  คราวนี้เป็นชาย 26 คน ที่น่าแปลกใจคือทั้งหมดเป็นเกย์  ไม่ใช่แค่ที่ลอสแอนเจลิส  แต่จากแซนแฟรนซิสโกและนิวยอร์กด้วย  พวกเขาไม่เพียงเป็นโรคปอดอักเสบนิวโมซิสติส  แต่ยังเป็นคาโปซีซาร์โคมา  หรือมะเร็งที่พบในคนที่ระบบภูมิคุ้มกันเสียหายอย่างร้ายแรงด้วย

ผมจำได้ว่าพอเห็นรายงานชิ้นนี้ก็ถึงกับอุทานว่า  นี่ต้องเป็นโรคติดเชื้อชนิดใหม่แน่ๆ  ผมไม่รู้ว่าสาเหตุของการติดเชื้อคืออะไร  แต่รู้ว่ามันทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ในฐานะแพทย์/ นักวิทยาศาสตร์ที่เรียนมาทางโรคติดต่อและวิทยาภูมิคุ้มกัน ถ้าจะมีโรคอะไรที่เกิดมาเพื่อผม  มันต้องเป็นโรคนี้

ตอนนั้นผมตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนทิศทางงานวิจัยของตัวเองอย่างสิ้นเชิง  ที่ผ่านมา  ผมประสบความสำเร็จสุดๆ ในอาชีพการงาน  และบรรดาอาจารย์ของผมซึ่งเป็นคนที่จ้างผมเข้ามาทำงานที่นี่เมื่อหลายปีก่อน  บอกว่าผมต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ พวกเขาบอกว่า  “ทำไมคุณถึงทิ้งหน้าที่การงานที่กำลังสดใสไปไล่ตามโรคที่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ”  แต่ถึงอย่างไรผมก็ตัดสินใจ แน่นอนแล้ว  ผมรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องอธิบายเรื่องนี้ให้โลกรู้

โชคร้ายที่กลายเป็นว่าผมคิดถูก  โรคที่ว่านี้แพร่กระจายใหญ่โตกลายเป็นการระบาดใหญ่ทั่วโลกผิดธรรมดาที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเรา

การระบาดของโรคเอดส์โหมกระแสโฮโมโฟเบียหรือความเกลียดกลัวคนที่มีความหลากหลายทางเพศหรือรักเพศเดียวกันให้ลุกลามไปทั่ว  เนื่องจากผมใช้เวลาส่วนใหญ่กับผู้ป่วยเกย์ ผมจึงรับรู้ได้ถึงสิ่งนี้  และพลอยโดนถูกหลงไปด้วยเพราะความ เกี่ยวข้องในฐานะแพทย์ของผู้ป่วยเหล่านั้น

จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามอบเครื่องรัฐอิสริยาภรณ์เหรียญแห่งอิสรภาพของประธานาธิบดี (Presidential Medal of Freedom) ให้แอนโทนี  เฟาชี  เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2008 PHOTOGRAPH BY KAREN BLEIER, AFP VIA GETTY IMAGES

ผมไม่คิดว่าตัวเองมีส่วนใดที่เป็นโฮโมโฟเบีย  หรือแม้แต่ความระคายใจเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย  ผมน่าจะได้สิ่งนี้มาจากพ่อแม่ที่ใจกว้างเปิดรับผู้อื่น  ความเห็นอกเห็นใจเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเจริญเติบโตของผม  ในครอบครัวที่เลี้ยงดูผมมา  และได้รับการตอกยํ้าในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย

ผมมักรู้สึกเห็นใจคนที่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม พอๆ กับที่รู้สึกถึงความอยุติธรรมเพราะอคติที่มีต่อบุคคลซึ่งแรงจูงใจทางเพศอยู่เหนือการควบคุมของเจ้าตัว  พวกเขาแค่เป็นตัวของตัวเอง  ความไม่เป็นธรรมในเรื่องนี้ส่งผลสำคัญต่อทัศนคติของผมเกี่ยวกับสิ่งที่โฮโมโฟเบียเคยเป็นและเป็นอยู่ มันทำให้ผมโกรธเมื่อเห็นคนมีทัศนคติแบบนั้น  มันทำให้ผมเป็นผู้ปกป้องสิทธิของใครก็ตามที่จะเป็นในสิ่งที่พวกเขาเป็น

การมองโลกแง่ดีของผมคือ  แม้จะมีพวกที่สร้างปัญหา  แต่เราก็จะมีคนที่จิตใจดีด้วย ผมคิดว่าฝ่ายหลังน่าจะมีมากกว่าฝ่ายแรกครับ

ผมเป็นคนไม่ค่อยกลัวอะไร  แต่สิ่งที่ผมกังวลที่สุดคือ  การไม่มีโอกาสทำสิ่งต่างๆ ที่ผมเริ่มไว้เมื่อหลายทศวรรษก่อนให้สำเร็จ ลุล่วง  ผมอยากเห็นเอชไอวี (HIV)  ซึ่งเป็นความท้าทายทางสาธารณสุขที่เป็นจุดเปลี่ยนในเส้นทางอาชีพของผมจบลงอย่าง การระบาดใหญ่ทั่วโลกในทางระบาดวิทยา  และกลายเป็นว่านั่นเป็นเรื่องยากมากและที่จริงอาจเป็นไปไม่ได้เลย  ผมไม่คิดว่า เราจะทำให้เอชไอวีหมดไปได้  และผมรู้ว่าเราทำไม่ได้  แต่ผมคิดว่าเราจะค่อยๆ กวาดล้างให้เกือบหมดได้ทั่วโลก  แรกสุดในประเทศที่มีทรัพยากรมากกว่า  เช่น  ประเทศกำลังพัฒนา และสุดท้ายในภูมิภาคซับสะฮาราของแอฟริกา…  ความกลัวของผมคือ  ผมอาจไม่จำเป็นต้องได้เห็นสิ่งนั้นหรอก  แต่ผมก็หวังว่าจะได้เห็น  และคิดว่าจะได้เห็น

บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ฟังรายงานของ ดร.แนนซี ซัลลีแวน หัวหน้าส่วนงานวิจัยด้านการป้องกันด้านชีวภาพ สถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา โดยมี ดร.แอนโทนี  เฟาชี อยู่ด้านหลัง เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2014 PHOTOGRAPH BY WHITE HOUSE PHOTO / ALAMY STOCK PHOTO

งานของเฟาชีที่เอ็นไอเอชทีให้เขาพร้อมรับมือโดยเฉพาะกับการระบาดใหญ่ทั่วโลกของไวรัสโคโรนา เขาเคยทำงานด้านการ รักษาและป้องกันไวรัสซิกา อีโบลา แอนแทรกซ์ ไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดใหญ่ทั่วโลก เอชไอวี วัณโรค และอื่นๆ มาแล้ว แต่เขารู้ดีแก่ใจว่าความทรงจำของสาธารณชนนั้นสั้นนัก เราบอกว่าเราเรียนรู้จากประสบการณ์ แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง

ผมคิดว่ายิ่งเราออกห่างจากเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของเราอย่างลํ้าลึกไปเรื่อยๆ แล้ว  ผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น จะอ่อนแรงลงเรื่อยๆ  เมื่อปี 1918  ระหว่างการระบาดทั่วโลกของไข้หวัดใหญ่สเปน  พ่อของผมอายุแปดขวบ  ผมแน่ใจว่า ความน่าสะพรึงของช่วงเวลาปีครึ่งนั้นส่งผลต่อพ่อขณะย่างเข้าสู่วัยรุ่น  จนถึงช่วงอายุ 20 และ 30 ปี  แล้วค่อยๆ เบาบางลง แต่เขาไม่มีวันลืมมันได้

สำหรับพวกเราเช่นตัวผมที่ได้แต่อ่านเรื่องนี้ในฐานะเหตุการณ์หนึ่งในหนังสือประวัติศาสตร์  มันไม่มีผลเช่นเดียวกับการที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น  หรือสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนที่มีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับมัน…

สงครามโลกครั้งที่สองจบลงตอนผมอายุห้าขวบ  ผู้คนที่กลับจากสงครามและมีประสบการณ์ที่ไม่อาจถ่ายทอดสู่คน อื่นๆ ในอีก 40 ปีต่อมา  เข้าใจดีว่า  การที่อยู่ในเหตุการณ์ที่เราไปบุกเกาะแห่งหนึ่ง  แล้วเพื่อนๆ 10,000 คนถูกฆ่าตายนั้นมีความหมายอย่างไร

ผมไม่คิดว่าการไม่เข้าใจคือความล้มเหลวนะครับ ชีวิตก็เป็นอย่างนี้  ถ้าเราไม่ได้เชื่อมโยงกับบางสิ่งโดยตรงเองแล้ว มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากกับเรา  การระบาดใหญ่ทั่วโลกของโควิด 19 ไม่ได้เป็นสิ่งที่พวกเราเคยประสบมาเลยในช่วง 102 ปีที่ผ่านมา  อย่าลืมว่าเราไม่ได้เตรียมพร้อมมากอย่างที่เราคิด  หรืออย่างที่ควรจะเป็น  ดังนั้นขอให้เราได้พูดว่า  “จะไม่เป็นอย่างนี้อีกแล้ว” กันดีกว่า  เราจะไม่ปล่อยให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นอีก  สิ่งที่ผมกลัวหลังจากที่เราผ่านเรื่องนี้ไปได้คือ  ในอีกห้าปี  หรือสิบปีข้างหน้า  ผู้คนจะลืมมัน  หรือไม่ใส่ใจว่าการระบาดใหญ่ครั้งนี้เล่นงานทั้งโลกจนอยู่หมัดเพียงใด

และผมพูดเรื่องนี้ด้วยความสิ้นหวังเล็กน้อย  นั่นคือเราตระหนักมาตลอดถึงความไม่เท่าเทียมกันด้านสุขภาพ  เรารู้ว่าชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันและฮิสแปนิกย่อมลำบากกว่าเสมอในประเด็นความเจ็บไข้ได้ป่วย  และต้องแบกภาระซึ่งไม่ได้ สัดส่วนกับโควิด 19  นี่เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งแก่เราทุกคน

ขอให้เรามีฉันทามติร่วมกันเถิดว่า  ในอีกสามหรือสี่ทศวรรษจากนี้ไป  เราจะจัดการเรื่องนี้  ฟังดูดีใช่ไหม  แต่อีกห้าปี ข้างหน้า  ปัญหาอื่นๆ ก็จะเข้ามา  แล้วเราก็จะลืมเรื่องโควิด 19

แอนโทนี เฟาชี

ผมทำงานกับประธานาธิบดีเจ็ดคนตลอด 11 สมัย ผมเรียนรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเราจะมุ่งไปสู่ความล้มเหลวหากเรากลัวว่าจะไม่ได้อยู่ทำงานต่อ หากเรากลัวการพูดบางอย่างที่จะทำให้ใครบางคนหัวเสีย ไม่มีใครอยากให้ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาหงุดหงิดกับเราหรอกครับ

สมัยรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผมพูดอะไรบางอย่างที่ทรัมป์กับคณะที่ปรึกษาไม่พอใจเป็นครั้งคราว แล้วผมก็จะงดออกโทรทัศน์สักสัปดาห์สองสัปดาห์  แต่ผมจะกลับมาเสมอ ผมไม่อยากเสียโอกาสนั้นไป ผมไม่อยากเสียโอกาสในการให้ข้อมูลโดยตรงกับสาธารณชนอเมริกัน

โดนัลด์ เจ. ทรัมป์กับผมออกจะชอบพอกัน ไม่ทราบว่าทำ ไม… อาจเพราะเป็นคนนิวยอร์กเหมือนกัน… และเราพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีและน่าสนใจ อย่างที่เราทั้งคู่เคยเล่าเอาไว้ แต่มากกว่าหนึ่งครั้งที่เมื่อเราแถลงข่าว ผมต้องเสริมหรือแก้ไขสิ่งที่เขาพูด นั่นดูเหมือนเป็นเรื่องยอมรับได้อย่างน่าแปลกใจ จนกระทั่งสิ่งต่างๆ เริ่มตึงเครียดขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อพบกันในอีกสองวันต่อมาที่ทำเนียบประธานาธิบดี เราก็เหมือนเป็นเกลอกันอีกครั้ง ผมไม่คิดว่าเขามีเจตนาร้ายที่จะเหยียดหยามวิทยาศาสตร์ ผมคิดว่าเขาไม่คิดว่ามันสำคัญ ไม่แม้แต่จะถึงขั้นเหยียดหยามด้วยซํ้า เขาไม่ใส่ใจมันมากกว่า…

ผมรู้สึกว่างานของผมคือการทำสิ่งที่ผมทำได้ในการพาพวกเราออกจากการระบาดครั้งนี้ ดังนั้น การลาออกจึงไม่ใช่ทางเลือก ทางเลือกเดียวที่ผมมีคือฉวยโอกาสนั้น ตรงนั้นเลย เพื่อโต้แย้งเขา ผมอาจเลือกปิดปากเงียบ ซึ่งนั่นจะเท่ากับละเมิดหลักการของตัวเอง หรือไม่ก็ลาออกซึ่งจะหมายความว่าผมจะไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป ผมรู้สึกว่าทางเดียวที่ผมจะรักษาความน่าเชื่อถือของวิทยาศาสตร์ไว้ ก็คือพูดออกไปครับ

แอนโทนี เฟาชี

เห็นได้ชัดว่าข้อมูลที่ผมบอกแก่สาธารณชนอเมริกันนั้น ขัดแย้งกับของทรัมป์ เขาจึงปล่อยให้คณะที่ปรึกษารอบตัวพยายามและบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของผม ในอีกทางหนึ่ง เขามีความสัมพันธ์อันซับซ้อนน่าสนใจนี้กับผม  และผมคิดจริงๆ ว่า  เขาไม่ได้อยากทำร้ายผมหรอก  ผมคิดว่าเขาเองก็ไม่สบายใจนักกับความจริงที่ว่า ลึกๆ แล้วเขารู้ว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง เขาชอบผม แต่สิ่งที่ผมพูดนั้นเป็นสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมนึกฉงนจริงๆ ก็คือ บางคนในประเทศนี้ไม่ยอมรับว่าโควิดเป็นปัญหา บางคนคิดว่าเรื่องนี้เป็นข่าวลวง ในเมื่อความจริงปรากฏชัดเจนอยู่ต่อหน้าเราถึงเพียงนี้ เรื่องนี้บอกผมว่า เรามีความผิดปกติในประเทศนี้ที่จำเป็นต้องจัดการ และเยียวยา ผมรู้ว่าคนที่รู้สึกเช่นนี้กำลังมองดูผมแล้วบอกว่าผมบ้าไปแล้ว  แต่ขอโทษครับ  ผมต้องขอบอกว่า  คุณนั่นแหละที่ผิด มันบ้ามากที่คิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง

ผมหวังว่าหากนักประวัติศาสตร์มองย้อนกลับมาดูสิ่งต่างๆ ที่ผมทำในชีวิตนี้ พวกเขาจะได้เห็นชีวิตหนึ่งที่ทุ่มเทให้กับการสร้าง ผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม และผมประสบความสำเร็จพอสมควรในการทำเช่นนั้น

บทคัดย่อจากหนังสือ Fauci–Expect the Unexpected: Ten Lessons on Truth, Service, and the Way Forward จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เนชั่นแนล  จีโอกราฟฟิก

สามารถติดตามสารคดี ดร. แอนโทนี เฟาชี ว่าด้วยชีวิตและผลงาน ฉบับสมบูรณ์ได้ที่ นิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย เดือนกุมภาพันธ์ 2565

สามารถสั่งซื้อได้ที่ https://www.naiin.com/product/detail/540164

แอนโทนี เฟาชี


อ่านเพิ่มเติม ปริศนา สาเหตุของไวรัสโควิด-19 ที่ไร้ซึ่งคำตอบ

แอนโทนี เฟาชี

Recommend