โลก ไม่อาจอยู่ได้ตลอดกาล ต้องพบจุดจบในอนาคต! ด้วยสาเหตุดังต่อไปนี้จากนักวิทยาศาสตร์

โลก ไม่อาจอยู่ได้ตลอดกาล ต้องพบจุดจบในอนาคต! ด้วยสาเหตุดังต่อไปนี้จากนักวิทยาศาสตร์

อายุของ โลก ซึ่งยอมรับกันโดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 4.6 พันล้านปี ซึ่งเป็นเวลาอันยาวนานจนยากที่จะจินตนาการเมื่อเทียบกับช่วงอายุประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ทำให้เราอาจคิดได้ว่า เมื่อโลกอยู่มานานเช่นนี้แล้ว ดาวเคราะห์ของเราจะอยู่ไปได้อีกตลอดกาลหรือไม่?

คำตอบสั้น ๆ คือ ‘ไม่’ โลกจะต้องพบจุดจบสักวันหนึ่ง แต่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกยาวไกล

ด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จากหลากหลายสาขา ช่วยให้นักวิจัยประเมินภาพคร่าว ๆ ของ ‘วันสิ้นโลก’ ในอีกหลายพันล้านปีข้าง ใน 4 แนวทางใหญ่ รวมถึงจุดจบของมนุษยชาติด้วย และมันเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

1. การสูญพันธุ์ของมนุษย์ ‘โฮโม เซเปียนส์’ : แม้ว่าประชากรโลกจะมีอยู่กว่า 8 พันล้านคนตามข้อมูลสหประชาชาติล่าสุด และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนดูมีจำนวนมากเกินที่จะสูญพันธุ์ได้ ถึงอย่างนั้น ภายในร่างกายของเราก็เกิดกระบวนการเงียบ ๆ ที่เรียกว่าวิวัฒนาการ ซึ่งจะค่อย ๆ สร้างความแตกต่างของสายพันธุ์ให้มากขึ้นเรื่อย ๆ และในท้ายที่สุดจะไม่มี ‘โฮโม เซเปียนส์’ อีกต่อไป

ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีแรงกดดันอื่น ๆ จากภายนอกไม่ว่าจะเป็น ความเป็นไปได้ในการสงครามนิวเคลียร์ครั้งใหญ่ อาวุธเคมี หรืออาวุธชีวภาพ ไม่ก็เป็นโรคระบาดร้ายแรงที่สุด ขณะเดียวกันก็อาจมีความตายจากอวกาศ แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร โฮโม เซเปียนส์ ก็จะสูญพันธุ์ไปในที่สุด ด้วยเหตุนี้เราอาจพบจุดจบก่อนโลก

2. มหาสมุทรโลกจะเดือดพล่าน หลังจากสายพันธุ์มนุษย์ยุคปัจจุบันสูญพันธุ์ไปแล้ว และผ่านไปอีกหลายหมื่นล้านปี ดวงอาทิตย์ที่ให้แสงสว่างและความอบอุ่นแก่โลกจะกลายเป็น “ผู้ทำลายล้าง” เมื่อปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นได้เริ่มเผาผลาญแกนกลางของดาวฤกษ์ใกล้จะหมด ดวงอาทิตย์จะร้อนขึ้นและขยายตัวขึ้น

พลังงานที่ถูกปลดปล่อยมานี้สูงพอที่จะต้มมหาสมุทรให้เดือด ทำลายทุกชีวิตที่อยู่ในน้ำ และสร้างไอให้เกิดก๊าซเรือนกระจกซึ่งจะไปเพิ่มอุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจนกลายเป็นหม้ออบ จะไม่มีที่ไหนที่บนพื้นดินและใต้น้ำที่ชีวิตจะอาศัยอยู่ได้อีกแล้ว แต่อาจมีอยู่รอดที่ใต้ดินบ้าง ถึงอย่างนั้น พวกมันจะไม่รอดในขั้นต่อไป

3. ดวงอาทิตย์กลืนกิน หลังจากขั้นตอนข้อที่สองผ่านไป ดวงอาทิตย์ของเราจะเผาไฮโดรเจนที่อยู่แกนกลางจนหมด มันจะเปลี่ยนไปใช้ฮีเลียมแทน ซึ่งจะส่งผลให้ดาวฤกษ์ของเรากลายเป็นดาวยักษ์แดง มันจะมีขนาดใหญ่กว่าร้อยเท่าของโลกปัจจุบัน พร้อมกับส่องสว่างกว่าเดิมอีกนับพันเท่า ดาวพุธ ดาวศุกร์ และโลก จะถูกกลืนกิน

ดาวเคราะห์ที่เป็นบ้านของเราจะเข้าไปอยู่ในเนื้อของดวงอาทิตย์ ไม่มีสิ่งใดในโลกจะต้านทานเหตุการณ์นี้ได้ และมันจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ กระนั้น เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าอีกหลายพันถึงหลายหมื่นล้านปี

4. เศษซากที่ไม่อาจรองรับชีวิตได้อีกแล้ว แม้จะมีโอกาสเล็กน้อยที่อาจไม่ถูกดวงอาทิตย์กลืนกิน แต่ดวงอาทิตย์จะสิ้นอายุขัยในที่สุดอยู่ดี จากดาวฤกษ์กลายเป็นดาวแคระขาวที่ให้ความอบอุ่นและแสงสว่างต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

โลกจะกลายเป็นก้อนหินซากศพที่ไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป พร้อมกับค่อย ๆ หมุนวนเข้าสู่ดาวแม่ของเราอย่างช้า ๆ หรือบางทีเราอาจถูกชนจนแตกสลายจากวัตถุในอวกาศ หรือจากรังสีคอสมิกรุนแรงก่อนก็ได้

สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ “โลกจะถึงจุดจบอย่างแน่นอน” แต่ก่อนที่จะไปกังวลถึงจุดนั้น มนุษย์อาจต้องแก้ปัญหาวิกฤตภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ มลพิษ และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ก่อน เพื่อหวังที่จะผลักวันเวลาการสูญพันธุ์ของมนุษยชาติให้ไกลออกไปที่สุด

สืบค้นและเรียบเรียง วิทิต บรมพิชัยชาติกุล

ที่มา

https://www.iflscience.com/will-the-earth-last-forever-68516

https://bigthink.com/starts-with-a-bang/earth-end/

https://astronomy.com/news/2021/05/how-will-life-on-earth-end

อ่านเพิ่มเติม นักวิทยาศาสตร์รู้ได้อย่างไรว่า โลกอายุเท่าไหร่ ? คำตอบมาจาก “ก้อนหิน” และกระบวนการ “ครึ่งชีวิต”

Recommend