“นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าการจูบนั้นเกิดขึ้นได้กับทุกสายพันธุ์
แต่ในบริบทด้านความโรแมนติกนันอาจเกิดขึ้นเฉพาะกับมนุษย์เท่านั้น”
การจูบเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในความรัก เมื่อมนุษย์สองคนมีความสัมพันธ์กัน ณ ช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งที่บรรยากาศเหมาะสมริมฝีปากของทั้งคู่ก็สัมผัสกันอย่างอบอุ่นเป็นเหมือนการแสดงความรักที่มีให้ต่อกัน ซึ่งอันที่จริงแล้วการจูบนี้เป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมมนุษย์มาอย่างยาวนาน
นักประวัติศาสตร์พบแผ่นจารึกคูนิฟอร์มโบราณในอิรักที่บันเรื่องราวการจูบกันมาตั้งแต่ 2,500 ปีก่อนคริสตกาล และแม้แต่ในปัจจุบันการจูบก็แพร่หลายไปทั่วโดยเฉพาะในความรักที่โรแมนติกจน ชาร์ลส์ ดิกเกนส์ (Charles Dickens) นักเขียนและนักวิจารณ์สังคมชาวอังกฤษชื่อดังในยุควิกตอเรียถึงกับเขียนไว้ว่า ‘มนุษย์เป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวที่รู้วิธีการจูบ’
แต่อย่างไรก็ตามก็ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์รู้แล้วว่าสัตว์อื่น ๆ ก็จูบด้วยเช่นกัน แต่เราต้องเข้าใจความหมายของคำว่า ‘จูบ’ ในมุมมองวิทยาศาสตร์ให้ตรงกันก่อน
จูบ
สำหรับมนุษย์จูบนั้นมีหลายรูปแบบตั้งแต่ริมฝีปากสัมผัสกันเบา ๆ ไปจนถึงจูบแบบดูดดื่มที่มีการใช้ลิ้นผสมด้วย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมนุษย์มักจะนิยามการจูบว่าเป็นพฤติกรรมที่แสดงถึงความรักไม่ว่าจะความรักแบบใดก็ตาม ดังนั้นเราก็อาจจะนิยามแบบเดียวกันในสิ่งมีชีวิตอื่นหรือก็คือสัตว์อื่นแสดงความรักต่อกันบ้างหรือไม่?
เชอริล เคิร์เชนบอม (Sheril Kirshenbaum) ผู้เขียนหนังสือ “The Science of Kissing: What Our Lips Are Telling Us” (สำนักพิมพ์ Grand Central, 2011) บอกกับ NPR ว่ามีตัวอย่างมากมายของสิ่งที่เราอาจเรียกว่า “การจูบ” ในอาณาจักรสัตว์ตั้งแต่ การเอาหัวชนกันของเต่า ไปจนถึงกวางมูสและกระรอกดินที่จมูกสัมผัสกัน
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการ ‘จูบ’ ในสัตว์ที่เราอาจเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือการเลียของสุนัขคู่ใจของเรา น้องหมามักจะเลียหน้าเจ้าของเพื่อแสดงความรัก และแม้ว่าพฤติกรรมนี้อาจมีจุดประสงค์อื่น ๆ มากมายเช่นการดูแลหรือเพิ่มการสัมผัสกลิ่นของตัวสุนัขเอง แต่พฤติกรรมนี้ก็น่าจะได้รับการส่งเสริมจากปฏิกิริยาเชิงบวกของทั้งสองฝ่าย รวมไปถึงสปีชีส์อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
“ชิมแปนซีสื่อสารได้เหมือนมนุษย์นั่นคือโดยการจูบ โอบกอด ตบหลัง สัมผัสมือ และจั๊กจี้” เจน กูดดอลล์ (Jane Goodall) นักวิจัยชิมแปนซีกล่าว
แต่โปรดระวัง วิทยาศาสตร์นั้นมักจะไม่พยายามที่จะเปรียบเทียบ ‘ความรู้สึก’ ที่เกิดขึ้นในมนุษย์กับสัตว์อื่น ๆ หรือมองพฤติกรรมของสัตว์ผ่านมุมมองแรงจูงใจตามความคิดของมนุษย์ ดังนั้นแต่น้องหมาจะเลียใบหน้ามนุษย์ที่มันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดด้วยและถูกเรียกว่าการจูบ
แต่เราก็ไม่อาจสรุปได้ว่าพวกมันมี ‘แรงจูงใจ’ แบบเดียวกับที่มนุษย์ทำเสมอไป บางทีพวกมันอาจแสดงความรักเพื่อเรียกร้องความสนใจไม่ใช่ความรู้สึกโรแมนติกแบบเดียวกับคู่รักมนุษย์ทำ เช่นเดียวกันสำหรับชิมแปนซีที่มีการจูบ (ริมฝีปากสัมผัสกัน) ก็เป็นแค่เพียงการแสดงออกถึงความผูกพันคล้ายกับการกอดของมนุษย์มากกว่า
กล่าวอีกนัยหนึ่งสำหรับสัตว์อย่างชิมแปนซีแล้ว การจูบนั้นพบเห็นได้บ่อยในลิงตัวผู้มากกว่าลิงตัวเมีย และมักเกิดขึ้นหลังจากการทะเลาะกันมากกว่า ดังนั้นการจูบของชิมแปนซีจึงไม่ใช่พฤติกรรมโรแมนติก แต่อาจเป็นรูปแบบหนึ่งของการคืนดีกันมากกว่า
วิวัฒนาการของการจูบ
ในเมื่อ ‘ไพรเมต’ ของเราก็มีการจูบเช่นเดียวกันและลิงอย่างโบโนโบเองก็มีการ ‘ใช้ลิ้น’ ด้วยเหมือนกัน นักวิทยาศาสตร์จึงคาดว่าการจูบเหล่านี้น่าจะเกิดขึ้นในวิวัฒนาการมาอย่างยาวนานแล้วตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา
“การจูบไม่ใช่แค่ปรากฏการณ์โรแมนติกหรือทางวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นมรดกตกทอดจากวิวัฒนการในสายสัมพันธ์ทางสังคมของไพรเมต” อาเดรียโน ลาเมรา (Adriano Lameira) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยวอร์วิกในสหราชอาณาจักร กล่าว
ลาเมราเสนอว่าการจูบของมนุษย์นั้นเป็นร่องรอยของพฤติกรรมการทำความสะอาดร่างกายในประวัติศาสตร์ทางวิวัฒนาการ โดยในขั้นตอนสุดท้ายบรรพบุรุษอันแสนไกลของเราจะจูบปากและดูดผิวหนังของผู้รับการดูแลเพื่อกำจัดแมลงหรือเศษซากที่เหลืออยู่โดยใช้ท่าทางที่คล้ายกับการจูบปัจจุบัน
และเมื่อบรรพบุรุษของเราสูญเสียขนหนาของร่างกายไป การทำความสะอาดเช่นนี้จึงไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่ก็ยังคงมีการจูบนี้ไว้เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสารถถึงสายสัมพันธ์ทางสังคมที่แข็งแกร่ง ขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ก็เสนอแนวคิดใหม่ ๆ ว่าแท้จริงแล้วการจูบนั้นช่วยในด้านการประเมินคู่ครองได้ด้วยเช่นกัน
เนื่องจากมนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพในการดมกลิ่น จึงเป็นไปได้ว่าการจูบช่วยให้เราเข้าใกล้อีกฝ่ายได้มากพอจนได้กลิ่นของฟีโรโมน และยังช่วยให้สัมผัส ‘น้ำลาย’ ของอีกฝ่ายได้ มันอาจฟังดูประหลาดแต่น้ำลายสามารถบ่งบอกถึงสภาพร่างกายของอีกฝ่ายได้ในหลาย ๆ ด้าน
“น้ำลายเต็มไปด้วยฮอร์โมนและสารประกอบอื่น ๆ ที่อาจเป็นวิธีในการประเมินความเหมาะสมของการเป็นคู่ครองทางเคมี นั่นคือการทำงานของสมองทางชีววิทยา” รายงานชื่อ ‘What’s in a Kiss? The Effect of Romantic Kissing on Mate Desirability’ ที่เผยแพร่ไว้บนวารสาร Evolutionary Psychology เมื่อปี 2014 กล่าว
งานวิจัยในปี 2007 ที่เผยแพร่ไว้บนวารสาร Evolutionary Psychology เช่นเดียวกันได้สแงดให้เห็นว่าผู้ชายมักจะเริ่มจูบด้วยการอ้าปากและใช้ลิ้นมากกว่าผู้หญิง ซึ่งอธิบายได้ว่า น้ำลายของผู้ชายนั้นมีฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนมากกว่า ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศที่สามารถส่งผลต่อความต้องการทางเพศของอีกฝ่ายได้
ดังนั้นการจูบที่เคยเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำความสะอาดอาจกลายเป็นพฤติกรรมการเกี้ยวพาราสีที่มีหน้าที่หลายอย่างเช่น การประเมินคู่ครอง การกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ และการรักษาสัมพันธ์กับคู่ครอง อย่างไรก็ตามสิ่งที่แปลกประหลาดและทำให้นักวิทยาศาสตร์งุนงงไปอีกขั้นก็คือ จริง ๆ แล้วการจูบนั้นไม่ได้แพร่หลายในมนุษย์อย่างที่เห็น
งานวิจัยเมื่อปี 2015 ที่ได้สำรวจวัฒนธรรมต่าง ๆ 168 แห่งพบว่ามีเพียงประมาณร้อยละ 46 เท่านั้นที่มีการจูบแบบปากต่อปากในทางโรแมนติก ดังนั้นจึงหมายความว่ามีมนุษย์ไม่ถึงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่จูบกันเพราะความรัก ด้วยเหตุนี้หากมันเป็นวิธีที่วิวัฒนาการพัฒนามาเพื่อตรวจสอบความเข้าทางเคมีและชีววิทยา มันก็ควรจะแพร่หลายในกลุ่มมนุษย์
ไม่ว่าจะเหตุผลที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรแต่หากคุณกำลังมีความรัก และทั้งสองฝ่ายต่างชอบพอกัน การจูบก็ยังคงเป็นวิธีที่ดีในการบอกรักอีกฝ่ายโดยไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดและเราควรปล่อยให้เป็นไปตามนั้น
สืบค้นและเรียบเรียง
วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา
https://anthrosource.onlinelibrary.wiley.com
https://www.psychologytoday.com
https://www.discovermagazine.com