“เมื่อประมาณ 252 ล้านปีก่อน เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตไปราวร้อยละ 90
แต่สิ่งที่ตามนั้นยิ่งกว่า คือภาวะโลกร้อนซึ่งร้อนจัดต่อเนื่องนาน 5 ล้านปี ”
ในประวัติศาสตร์โลกที่ผ่านมา ดาวเคราะห์ดวงนี้มีเหตุการณ์การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่มาแล้วราว 5 ครั้งได้แก่ประมาณ 444 ล้านปีก่อนที่ตายไปกว่าร้อยละ 86 ต่อมาเป็นเมื่อ 360 ล้านปีก่อนที่เสียชีวิตราว 75 เปอร์เซ็น ครั้งใหญ่ที่สุดหรือ Great Dying เกิดขึ้นเมื่อ 250 ล้านปีก่อนที่ร้อยละ 90 หายไป (บางรายงานระบุอาจถึง 96%)
ในขณะที่อีกสองครั้งล่าสุดคือ 200 ล้านปีก่อนที่สิ่งมีชีวิตประมาณ 80% ตายไป และอีกครั้งในยุคไดโนเสาร์เมื่อ 65 ล้านปีก่อนมีสิ่งมีชีวิตหายไปร้อยละ 76 โดยแต่ละครั้งนั้นนักวิทยาศาสตร์พอทราบสาเหตุที่เกิดขึ้นว่าเพราะอะไรจึงนำไปสู่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่
แต่บางเหตุการณ์ก็ค้างคาใจผู้เชี่ยวชาญเรื่อยมา โดยเฉพาะในเหตุการณ์ Great Dying ในยุคเพอร์เมียน-ไทรแอสซิกที่ทำให้สัตว์ในทะเลเสียชีวิตจำนวนมหาศาล และทำให้สัตว์บกลดลงอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน ซึ่งเชื่อกันกว่าเกิดจากภูเขาไฟระเบิดในไซบีเรีย ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมา
กิจกรรมภูเขาไฟในภูมิภาคที่เรียกว่า ไซบีเรียนแทรปส์ ได้ปล่อยคาร์บอนและก๊าซอื่น ๆ เข้าสู่ชั้นบรรยากาศ จากนั้นก็ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนอย่างรุนแรง ระบบนิเวศล่มสลาย และมหาสมุทรกลายเป็นกรด แต่สิ่งที่น่างุนงงที่สุดคือ ทำไมความร้อนนี้ยังคงอยู่นาน 5 ล้านปีแม้กิจกรรมภูเขาไฟจะสิ้นสุดลงแล้วก็ตาม
“ระดับของภาวะโลกร้อนสูงกว่าเหตุการณ์อื่น ๆ มาก” เจิ้น ซู (Zhen Xu) ผู้เขียนงานวิจัยและนักวิจัยประจำคณะธรณีวิทยาและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยลีดส์ กล่าว
ขณะที่ เบนจามิน มิลส์ (Benjamin Mills) ผู้เขียนงานวิจัยและศาสตราจารย์ด้านวิวัฒนาการของระบบโลกที่มหาวิทยาลัยลีดส์เสริมว่า เหตุการณ์ Great Dying นั้นมีความพิเศษ “เพราะเป็นเหตุการณ์เดียวที่พืชทั้งหมดตายหมด” คำถามคือเพราะอะไร?
คำตอบจากฟอสซิล
ตามรายงานใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Nature Communications เผยให้เห็นว่าการสูญเสียพืชพรรณในระหว่างเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้โลกสูญเสียความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน และนั่นทำให้มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศสูงเป็นระยะเวลานาน นี่เป็นคำเตือนถึงการตัดไม้ทำลายป่าในปัจจุบัน
“สาเหุตของภาวะโลกร้อนอย่างรุนแรงในช่วงเหตการณ์นี้นั้น มีการถกเถียงกันมานานแล้ว เนื่องจากระดับของภาวะโลกร้อนนี้สูงกว่าเหตุการณ์อื่น ๆ มาก” ดร. ซู กล่าว “ที่สำคัญ นี่เป็นเหตุการณ์อุณหภูมิสูงเพียงครั้งเดียวในประวัติศาสตร์โลกที่ชีวมณฑลป่าเขตร้อนพังทลายลง ซึ่งเป็นแรงผลักดันสมมติฐานเบื้องต้นของเรา”
“ตอนนี้ หลังจากการทำงานภาคสนาม การวิเคราะห์ และการจำลองสถานการณ์มาหลายปี ในที่สุด เราก็มีข้อมูลที่สนับสนุนสมมติฐานนี้แล้ว”
ในการทดสอบแนวคิดของทีมวิจัย พวกเขาได้ใช้คลังข้อมูลฟอสซิลในประเทศจีน ซึ่งรวบรวมโดยนักธรณีวิทยาชาวจีน 3 รุ่นมานานกว่าหลายทศวรรษ การวิเคราะห์ฟอสซิลและชั้นหินช่วยให้นักวิทยาศาสตร์หาเบาะแสเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศในอดีต
จนทำให้พวกเขาสร้างแผนที่พืชและต้นไม้ที่อาศัยอยู่บนทุกส่วนของโลกทั้งก่อน ระหว่าง และหลังเหตุการณ์การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ ผลลัพธ์นั้นยืนยันสมมติฐานของทีมวิจัย โดยแสดงให้เห็นว่าการพืชที่หายไปทำให้โลกไม่สามารถกักเก็บคาร์บอนได้เหมือนเดิม
เนื่องจากป่าไม้เป็นเกราะป้องกันสภาพภูมิอากาศที่สำคัญ พวกมันดูดซับและเก็บคาร์บอนเอาไว้ นอกจากนี้ป่าไม้ยังเกี่ยวข้องกับอีกหนึ่งวัฏจักรที่สำคัญนั่นคือ Silicate weathering โดยหินและแร่ซิลิเกตจะค่อย ๆ สลายตัวลงเมื่อสัมผัสกับน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านรากของพืช
ไอออนที่ได้จะละลายน้ำแล้วถูกพัดลงสู่มหาสมุทร ซึ่งสิ่งมีชีวิตในทะเลอย่างแพลงก์ตอนและปะการังจะนำไอออนเหล่านั้นไปสร้างเปลือกหรือแคลเซียมคาร์บอนเนต เมื่อสัตว์เหล่านี้ตายลงมันจมลงสู่พื้นมหาสมุทรกลายเป็นคลังเก็บคาร์บอนระยะยาว การไม่มีป่าไม้จึงเป็นการทำลายระบบทั้งหมดลง
“การไม่มีป่าไม้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อวัฏจักรออกซิเจน-คาร์บอน และยับยั้งการฝังกลบคาร์บอน ส่งผลให้ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ที่สูงยังคงอยู่ในชั้นบรรยากาศเป็นเวลานาน” ไมเคิล เบนตัน (Michael Benton) ศาสตราจารย์ด้านบรรพชีวินวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยบริสตอล ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาครั้งนี้ กล่าว
พร้อมเสริมว่า งานวิจัยนี้ได้ส่งคำเตือนมายังปัจจุบันที่ภาวะโลกร้อนกำลังเร่งตัวขึ้นเรื่อย ๆ แถมยังถูกซ้ำเติมจากการตัดไม้ทำลายป่า หากเราสูญเสียป่าไม้จนถึง ‘จุดวิกฤต’ ที่ไม่อาจย้อนกลับได้ โลกจะไม่เย็นลงอีกนานแม้มนุษย์จะหยุดปล่อยมลพิษโดยสิ้นเชิงก็ตาม
“มีคำเตือนเกี่ยวกับความสำคัญของป่าเขตร้อนในโลกปัจจุบัน หากภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ป่าเหล่านี้พังทลายในลักษณะเดียวกัน เราไม่ควรคาดหวังว่าสภาพภูมิอากาศของเราจะเย็นลงถึงระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม แม้ว่าเราจะหยุดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็ตาม” ศาสตราจารย์มิลส์ กล่าว
“อันที่จริง ภาวะโลกร้อนอาจยังคงเร่งตัวขึ้น แม้ว่าเราจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จนเป็นศูนย์ได้ เราก็ยังคงจะเปลี่ยนแปลงวัฏจักรคาร์บอนไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งต้องใช้เวลาทางธรณีวิทยาในการฟื้นตัว สิ่งนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตของโลก”
สืบค้นและเรียบเรียง
วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา