“ร่องรอยของสิ่งมีชีวิตโบราณที่ชัดเจนที่สุดบนดาวอังคาร์
แม้จะต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติม แต่ นาซา (NASA)
ค่อนข้างมั่นใจว่าพวกเขาพบตัวอย่างที่ดีที่สุดแล้ว”
หลังจากการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์เป็นเวลา 1 ปี ตัวอย่างหิน “แซฟไฟร์แคนยอน” ได้กลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของภารกิจค้นหาร่องรอยกระบวนการดำรงชีวิตของจุลินทรีย์โบราณ
ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 ที่ยาน ‘เพอร์เซเวียแรนซ์’ (Perseverance) ของนาซา ได้ลงจอดบนดาวอังคารในบริเวณที่รู้จักกันในชื่อว่า หลุมอุกกาบาตเจซีโร (Jezero Crater) ซึ่งเป็นโพรงขนาดใหญ่ที่เชื่อกันว่าครั้งหนึ่งเคยมีทะเลสาบอยู่ มันถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีโอกาสมากที่สุดในการค้นหาหลักฐานของสิ่งมีชีวิตโบราณบนดาวเคราะห์สีแดงนี้
ในตอนแรกยานดูเหมือนจะค้นพบสัญญาณมากมาย แต่หลักฐานหลายอย่างก็ถูกปัดตกไปหรือไม่ก็ไม่ได้รับการยืนยันเพียงพอ ต้องรอไปอีกราว 3 ปี ยานเพอร์เซเวียแรนซ์ก็ได้ค้นพบแหล่งที่มีศักยภาพสูงนั่นคือ แม่น้ำแห้งโบราณที่ชื่อ น้ำตกเชยาวา (Cheyava Falls) และ ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์มีข้อมูลอัปเดตที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
“การค้นพบนี้โดยยานเพอร์เซเวียแรนซ์ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์สมัยแรก ถือเป็นการค้นพบร่องรอยของสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารที่ใกล้เคียงที่สุดที่เราเคยค้นพบ” ฌอน ดัฟฟี (Sean Duffy) รักษาการผู้อำนวยการนาซากล่าว “การระบุลักษณะทางชีวภาพที่เป็นไปได้บนดาวอังคารถือเป็นการค้นพบครั้งสำคัญ และจะเป็นการค้นพบที่จะยกระดับความเข้าใจของเราเกี่ยวกับดาวอังคาร”
แซฟไฟร์แคนยอน
หินก้อนดังกล่าวมีชื่อว่า “แซฟไฟร์แคนยอน” (Sapphire Canyon) มันถูกหยิบขึ้นมาขณะที่ยานทำการสำรวจชั้นหิน “ไบรท์แองเจิล” (Bright Angel) ซึ่งเป็นกลุ่มหินโผล่ที่ขอบด้านเหนือและใต้ของ เนเรตวา วัลลิส (Neretva Vallis) หุบเขาแม่น้ำโบราณกว้างประมาณ 400 เมตร ซึ่งถูกกัดเซาะโดยน้ำที่ไหลลงสู่หลุมอุกกาบาตเจซีโรเมื่อนานมาแล้ว
เครื่องมือวิทยาศาสตร์ของยานระบุว่าหินตะกอนของชั้นหินนี้ประกอบด้วยดินเหนียวและทรายแป้ง สิ่งพิเศษก็คือสำหรับบนโลก ส่วนประกอบทั้งสองถือเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมในการเก็บรักษาสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอย่างจุลินทรีย์ในอดีต นอกจากนี้ มันยังอุดมไปด้วยคาร์บอนอินทรีย์ กำมะถัน เหล็กออกซิไดซ์ (สนิม) และฟอสฟอรัส ซึ่งเป็น ‘วัตถุดิบ’ ในการสร้างชีวิตทั้งนั้น
“สารประกอบทางเคมีที่เราพบในชั้นหินไบรท์แองเจิล อาจเป็นแหล่งพลังงานที่อุดมสมบูรณ์สำหรับกระบวนการเผาผลาญของจุลินทรีย์” โจเอล ฮูโรวิตซ์ (Joel Hurowitz) นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสโตนีบรูค นิวยอร์ก และหัวหน้าทีมวิจัยกล่าว
แต่เพียงเพราะเห็นลายเซ็นทางเคมีที่น่าสนใจเหล่านี้ ไม่ได้หมายความว่าจะพบ ‘ร่องรอยทางชีวภาพ’ อย่างแท้จริง ดังนั้นจึงต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นอย่างละเอียดว่ามีความหมายอย่างไรกันแน่
หินที่ไม่เหมือนใคร
เครื่องมือ PIXL (Planetary Instrument for X-ray Lithochemistry) และ SHERLOC (Scanning Habitable Environments with Raman & Luminescence for Organics & Chemicals) ของเพอร์เซเวียแรนซ์ เป็นอุปกรณ์ชุดแรกที่เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับหินก้อนนี้
มันเป็นหินรูปหัวลูกศรขนาด 1 เมตร x 0.6 เมตร ในภาพความละเอียดพบสิ่งที่ดูเหมือนเป็นจุดหลากสีสัน ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเกิดจากจุลินทรีย์ เครื่องพบรูปแบบแร่ธาตุที่ชัดเจนเรียงตัวเป็นแนวหน้าของปฏิกิริยา หรือก็คือจุดสัมผัสที่เกิดปฏิกิริยาทางเคมีและฟิสิกส์ ซึ่งทีมวิจัยเรียกว่า จุดเสือดาว (คล้ายลายของเสือดาว)
สิ่งสำคัญก็คือ จุดเหล่านี้มีสัญลักษณ์ของแร่ธาตุที่อุดมด้วยเหล็กสองชนิด ได้แก่ วิเวียนไนต์ (vivianite; เหล็กฟอสเฟตไฮเดรต) และเกรไกต์ (greigite; เหล็กซัลไฟด์) ซึ่งวิเวียนไนต์มักพบในตะกอนบนโลก บึงพีท และรอบ ๆ อินทรียวัตถุที่กำลังเน่าเปื่อย ขณะที่เกรไกต์นั้นเกิดจากจุลินทรีย์บนโลกบางชนิด
การรวมกันของแร่ธาตุเหล่านี้ ซึ่งดูเหมือนจะเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาการถ่ายโอนอิเล็กตรอนระหว่างตะกอนและสารอินทรีย์ มันถือเป็นร่องรอยที่มีศักยภาพบ่งบอกถึงสิ่งมีชีวิต ที่ใช้ปฏิกิริยาเหล่านี้เพื่อผลิตพลังงานสำหรับการเจริญเติบโต
ยังไงก็ตามแร่ธาตุเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติหรือก็คือเกิดขึ้นโดยปราศจากสิ่งมีชีวิต เช่น การคงอุณหภูมิสูงไว้อย่างต่อเนื่อง สภาวะที่เป็นกรด และการจับกันโดยสารประกอบอินทรีย์ ประเด็นก็คือ หินที่ไบรท์แองเจิลไม่มีหลักฐานว่าเคยผ่านสภาวะอุณหภูมิสูงหรือสภาวะที่เป็นกรดมาเลย และนั่นทำให้ทุกคนตื่นเต้น
“ข้ออางทางชีวดาราศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการค้นพบสิ่งมีชีวิตนอกโลกในอดีตที่อาจเกิดขึ้นนั้น จำเป็นมีหลักฐานพิเศษ” เคที สแต็ค มอร์แกน (Katie Stack Morgan) นักวิทยาศาสตร์ประจำโครงการเพอร์เซเวียแรนซ์ กล่าว พวกเขาเชื่อนี่คือหลักฐานพิเศษนั้น
มาตราส่วน CoLD
ข้อมูลทุกอย่างถูกเปิดให้ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิ และนักวิทยาศาสตร์อิสระตรวจสอบ เพื่อเป็นการรับประกันความถูกต้องและความเข้มงวด ซึ่งข้อมูลได้รับการยอมรับให้เผยแพร่รายงานบนวารสาร Nature อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยระบุว่า พวกเขาต้องการที่นำหินก้อนนี้กลับมาศึกษายังโลกเพื่อยืนยันความแน่ใจ
ทว่าปัจจุบันก็ยังไม่แผนชัดเจนว่านาซาจะนำมันกลับมาได้อย่างไร เนื่องจากหน่วยงานกำลังได้รับการพิจารณาว่าจะลดงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ลงเกือบครึ่งหนึ่ง
“เรากำลังพิจารณาถึงวิธีการนำตัวอย่างกลับมา หรือตัวอย่างอื่นๆ” ดัฟฟี่กล่าว “สิ่งที่เราจะทำคือพิจารณางบประมาณ พิจารณาจังหวะเวลา และเราจะใช้จ่ายเงินให้คุ้มค่ามากขึ้นอย่างไร และเราใช้เทคโนโลยีอะไรในการนำตัวอย่างกลับมาได้เร็วขึ้น? และนั่นคือการวิเคราะห์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้”
ในกรณีที่หินก้อนนี้กลับมาได้จริง มันจะได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มข้นโดยเฉพาะผ่านเกณฑ์ที่ชื่อว่า มาตราส่วน CoLD (Confidence of Life Detection scale) มันคือการจัดลำดับ ‘ระดับความเชื่อมั่น’ ว่าสัญญาณเหล่านั้นมาจากสิ่งมีชีวิตจริง ๆ ไม่ใช่กระบวนการทางเคมีหรือฟิสิก์ที่ไม่เกี่ยวกับชีวภาพ
เช่นที่ระดับ 1 (Level 1) – คือการตรวจพบสัญญาณว่ามาจากกิจกรรมทางชีววิทยา (Detection of a signal known to result from a biological activity), ระดับ 2 – ตัดประเด็นการปนเปื้อนออกไปได้ (Contamination ruled out) ไปถึงจุดสูงสุดที่ระดับ 7 – การยืนยันโดยการสังเกตติดตามผล ที่พบพฤติกรรมทางชีววิทยาที่คาดการณ์ไว้จริงในสิ่งแวดล้อมนั้น (Independent, follow-up observations of predicted biological behaviour in the environment)
เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยนักวิทยาศาสตร์พัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับระดับความเชื่อมั่นที่ควรได้รับจากข้อมูลที่บ่งชี้ถึงสัญญาณว่ามีสิ่งมีชีวิตที่พบนอกโลกของเรา
“วันนี้ เรากำลังแสดงให้คุณเห็นอย่างแท้จริงว่าเรากำลังเข้าใกล้คำตอบของมนุษยชาติ หนึ่งในคำถามที่ลึกซึ้งที่สุดของพวกเรา นั่นก็คือ เราอยู่เพียงลำพังในจักรวาลจริงหรือ” นิคกี้ ฟ็อกซ์ (Nicky Fox) รองผู้บริหารฝ่ายวิทยาศาสตร์ของนาซา กล่าว
สืบค้นและเรียบเรียง
วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา