ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน เบื้องหลังการแสวงหาแหล่งพลังงานอนันต์

ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน เบื้องหลังการแสวงหาแหล่งพลังงานอนันต์

จะเป็นอย่างไรหากเราสามารถสร้างดวงอาทิตย์เล็กๆในโลกและดึงพลังงานจากมันมาใช้ และถ้าทำได้จริงในทางทฤษฎีเราจะมีแหล่งพลังงานสะอาดราคาถูกที่แทบไร้ขีดจำกัด

ดวงอาทิตย์ของเราก่อตัวขึ้นราว 4,600 ล้านปีมาแล้ว จากเมฆที่มีส่วนประกอบหลักอย่างเดียวคือไฮโดรเจน ธาตุพื้นฐานที่มีมากที่สุดในเอกภพ ความโน้มถ่วงนวดกลุ่มเมฆให้เป็นทรงกลมใหญ่ที่หมุนวน แล้วบีบอัดต่อไป ความหนาแน่นและความร้อนพุ่งสูงขึ้น กระทั่งแก่นวัตถุนี้มีอุณหภูมิสูงถึงประมาณ 15 ล้านองศาเซลเซียส

ไฮโดรเจนจะแตกตัวเมื่อชนกันที่อุณหภูมิและความดันนี้ กลายเป็นชิ้นส่วนของอะตอมซึ่งไหลเวียนปะปนกันเรียกว่าพลาสมา เป็นสถานะที่สี่ของสสารต่อจากของแข็ง ของเหลว และแก๊ส แม้จะพบได้น้อยในโลก แต่พลาสมามีสัดส่วนกว่าร้อยละ 99 ของมวลระบบสุริยะ เกือบทั้งหมดถูกกักอยู่ในสภาพปั่นป่วนรุนแรงในดวงอาทิตย์ นับล้านล้านครั้งในทุกขณะทั่วทุกแห่งหนของห้วงพลาสมานี้ จะมีไฮโดรเจนสี่อะตอมประสานกันตามกระบวนการ เกิดเป็นฮีเลียม ด้วยจุดหลอมเหลวที่สูงกว่ามาก ฮีเลียมจึงลอยตัวอย่างไม่อนาทรร้อนใจท่ามกลางความถล่มทลายในดวงอาทิตย์ เหมือนเรือชูชีพอันมั่นคง ไม่ยี่หระกับอุณหภูมิ 15 ล้านองศาเซลเซียส ดวงอาทิตย์มีไฮโดรเจนเพียงพอสำหรับสร้างฮีเลียมต่อไปได้อีกห้าพันล้านปี

ปฏิกิริยาฟิวชันยังมีตอนต่อ ฮีเลียมหนึ่งอะตอมนั้นเบากว่าไฮโดรเจนสี่อะตอมอยู่เล็กน้อย เศษสสารที่เหลืออยู่ซึ่งเป็นอิสระและเปี่ยมพลังงาน จะพุ่งทะลุพลาสมาออกมา ค่อยๆ แทรกตัวไปยังพื้นผิวดวงอาทิตย์ และแผ่ไปในอวกาศ ส่วนที่มุ่งไปในทิศทางที่ถูกต้องจะส่งมอบความร้อนและแสงกระผีกหนึ่งให้แก่โลก

ภายในโรงประกอบสูง 60 เมตรที่เมืองแซ็ง-ปอล-เล-ดูร็องซ์ ประเทศฝรั่งเศส ที่แขวนอยู่คือส่วนหนึ่งของอีเทอร์ หรือเครื่องปฏิกรณ์ทดลองเทอร์มอนิวเคลียร์สากล เป้าหมายร่วมอันทะเยอทะยานของคนงานจาก 90 ประเทศตลอด สี่ทศวรรษที่ผ่านมา คือการนำเทคโนโลยีฟิวชันอันล้ำสมัยไปแก้ไขวิกฤติพลังงานโลก
ปฏิกิริยาฟิวชันในดวงอาทิตย์เกิดขึ้นเมื่อไฮโดรเจนถูกบีบอัดภายใต้ความร้อนและแรงดันสุดขั้วจนอะตอมสลาย และรวมตัวใหม่เป็นธาตุซึ่งหนักขึ้น ที่อีเทอร์ นักวิทยาศาสตร์วางแผนจะควบคุมปฏิกิริยาที่คล้ายกันในโทคาแมก ห้องสุญญากาศขนาดยักษ์ซึ่งจะวางในหลุมโทคาแมก (ในภาพ)
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลังจากล่าช้าและถอยหลังมาหลายปี อีเทอร์ก็ถึงหมุดหมายสำคัญ เมื่อคนงานสามารถ ยกและติดตั้งมอดูลภาชนะสุญญากาศขนาดยักษ์ส่วนแรกในเก้าส่วนที่จะประกอบกันเป็นโทคาแมกสำเร็จ แต่ละส่วน ซึ่งมีสลักเกาะเกี่ยวมีน้ำหนักกว่า 1,350 ตัน และต้องใช้อุปกรณ์พิเศษจัดแนวให้ถูกต้อง
ผู้จัดการฝ่ายก่อสร้าง แกลร์ โลฌีเย เป็นหนึ่งในพนักงานกว่า 2,000 คนในพื้นที่ 262.5 ไร่ของอีเทอร์ในชนบทฝรั่งเศส ห่างจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนราว 50 กิโลเมตร คนงานมีความชำนาญหลากหลาย ตั้งแต่นักฟิสิกส์ไปจนถึงช่างเครื่อง บางคนทุ่มเทเวลาหลายสิบปีให้โครงการริเริ่มด้านฟิวชันนี้

ความยิ่งใหญ่ของดวงอาทิตย์เป็นดังนี้ พลังงานทั้งหมดที่มันผลิตได้ในแต่ละวินาทีอาจให้พลังงานทั้งโลกใช้อย่างตะกละตะกลามได้หลายแสนปี และกระบวนการที่ดาวทำสิ่งนี้ก็ดูง่ายดายเหลือเชื่อ จะเป็นอย่างไรหากเราสามารถสร้างดวงอาทิตย์เล็กๆในโลกและดึงพลังงานจากมันมาใช้ ถ้าทำได้ ในทางทฤษฎีเราจะมีแหล่งพลังงานสะอาดราคาถูกที่แทบไร้ขีดจำกัด ไม่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ อาจช่วยหยุดยั้งภาวะโลกร้อนและการล่มสลายทางสิ่งแวดล้อมได้       

โลกจะรอดพ้นจากหายนะอย่างแท้จริง ฟังดูไม่น่าเป็นไปได้ แต่ความพยายามนี้ทำกันมานานแล้ว ในพื้นที่ก่อสร้างขนาดใหญ่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ที่ซึ่งการศึกษาวิจัยและการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ขนานแท้กับความจำเป็นในการทำงานร่วมกันของมนุษย์อยู่ในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและไม่อาจคาดเดาได้ ความฝันถึงอนาคตที่ดีกว่ากำลังเป็นรูปเป็นร่างให้เราร่วมเป็นประจักษ์พยาน

ดาวฤกษ์เทียมนี้ชื่อ อีเทอร์ (ITER) ภาษาละตินแปลว่า “ทาง” และเป็นตัวย่อของเครื่องปฏิกรณ์ทดลอง เทอร์มอนิวเคลียร์สากล (International Thermonuclear Experimental Reactor) พื้นที่โครงการขนาด 262.5 ไร่ที่ต้องขับรถหนึ่งชั่วโมงจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนี้ ซุกตัวอยู่ท่ามกลางป่าสนและไร่องุ่น

ในวันธรรมดา ตั้งแต่นักฟิสิกส์ไปถึงช่างเชื่อมรวมกว่า 2,000 ชีวิตจะเดินทางเข้าสู่พื้นที่ ยังมีทีมเล็กๆที่ทำงานตอนกลางคืนด้วย ภาคีของอีเทอร์ประกอบด้วย 33 ประเทศซึ่งเป็นตัวแทนครึ่งหนึ่งของประชากรโลกและคนงานจาก 90 ประเทศมีส่วนร่วมในการสร้างโครงการ เป็นเครือข่ายวัฒนธรรมที่ถักทอเครื่องจักรอันเอกอุ ณ ใจกลางพื้นที่มีอาคารซีเมนต์ไร้หน้าต่างตั้งตระหง่านง้ำราวกับภูเขาไฟลูกหนึ่ง

เพื่อเข้าไปในอาคารนี้ คุณต้องไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านข้างและเปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าสีขาวสำหรับห้องสะอาด แล้วใช้เครื่องขัดถูรองเท้าไฟฟ้าขจัดดินหรือสิ่งปนเปื้อนออก และย่ำเท้าอยู่กับที่บนแผ่นเหนียวให้หมดคราบสกปรกที่พื้นรองเท้า เครื่องจักรที่กำลังสร้างต้องดูแลความสะอาดอย่างพิถีพิถัน ปลอกปากกาที่หล่นหรือรอยนิ้วมือที่ติดมาอาจสร้างความเสียหายได้ คุณยังต้องสวมเสื้อคลุมห้องปฏิบัติการสีขาว ตาข่ายคลุมผม หมวกนิรภัย แว่นตาป้องกัน และถุงมือขาวด้วย

เมื่อแต่งตัวเสร็จ คุณจะเดินผ่านม่านริ้วพลาสติก รูดซิปเหมือนเปิดประตูเต็นท์ผ้าใบ ผ่านไปแล้วให้รูดปิดด้วย จากนั้นเดินไปตามทางเดินแคบๆ ภายใต้แสงฟลูออเรสเซนต์ ผนัง พื้น และเพดานดูขาวจ้าเหมือนรองเท้าของคุณ อากาศนิ่งและอบอ้าว

ตรงปลายทางเดิน รูดซิปเปิดและปิดประตูอีกบาน เดินไปตามทางเดินสีขาวอีกเส้น ปีนบันไดที่เป็นโครงเหมือนในสนามเด็กเล่น แล้วมุดตัวผ่านประตูติดซิปอีกบาน คุณรู้สึกกลัวที่แคบอย่างคนหลงในเขาวงกต เดินผ่านทางเดินสีขาวน่าเวียนหัวอีกเส้น เปิดประตูอีกบาน และแล้วคุณก็เข้าไปอยู่ในห้องเครื่องจักรอันยิ่งใหญ่

นี่คือระบบนิเวศอุตสาหกรรมแห่งท่อและแผ่นโลหะมหึมาจนคุณงงกับขนาดของมัน กระทั่งเห็นคนงานชุดขาวโยงตัวกับนั่งร้าน เหมือนมดบนเนินเขา คุณถึงตระหนักในความใหญ่โตมโหฬารตรงหน้า จักรกลทั้งหมดกินพื้นที่เท่ากับอาคาร 20 ชั้น เมื่อสร้างเสร็จมันจะมีชิ้นส่วน 10 ล้านชิ้น หลายแสนชิ้นผลิตเป็นพิเศษ น้ำหนักทั้งหมดรวมผนังหุ้มอยู่ที่ประมาณ 400,000 ตัน อีเทอร์อาจเป็นจักรกลซับซ้อนที่สุดที่มนุษย์เคยพยายามสร้างขึ้นมา

โลหะจำนวนมากถูกขัดจนมันวาว หลายชิ้นชุบเงิน ซึ่งเป็นวัสดุในอุดมคติสำหรับหันเหความร้อนจากชิ้นส่วนเปราะบาง แถวท่อขนานกันหลายแถวลดเลี้ยวไปตรงโน้นตรงนี้ หัวใจของเครื่องจักรคือลูกกลมขนาดยักษ์ ที่บรรจุกระบอกรูปโดนัตข้างในกลวง สำหรับบรรจุพลาสมาที่อาจหมุนวนในอนาคต อุปกรณ์นี้เรียกว่า โทคาแมก (tokamak) มันแทบไม่มีขอบคม และชิ้นส่วนขนาดใหญ่ทุกซีกของอีเทอร์ก็ได้รับการสลักกลึงเป็นเส้นโค้งที่งดงามเหมือนผิวของหินทราย

อีเทอร์ได้ทุนจากภาครัฐ เงินอุดหนุนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐมาจากรัฐบาลหลายสิบประเทศ โดยไม่แสวงหากำไรหรือเป้าหมายทางทหาร “เรากำลังร่วมสร้างสันติภาพโลกครับ” ชุง คีจุง หัวหน้าหน่วยเกาหลีใต้ของโครงการ กล่าว พร้อมเล่าถึงวัตถุประสงค์ที่ฟังดูน่าชื่นชม แต่ขัดกับข้อพิพาทยาวนานหลายทศวรรษของประเทศภาคี โครงการนี้เปิดเผยข้อค้นพบทุกอย่างในลักษณะโอเพนซอร์ส หากอีเทอร์ดำเนินงานตามแผน ประเทศหรือบริษัทเอกชนใดๆ จะสามารถเข้าถึงทรัพย์สินทางปัญญาของโครงการได้ฟรี ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้ ความพยายามสร้างดาวฤกษ์จักรกลพัฒนามาหนึ่งศตวรรษแล้ว และยังต้องทำต่อไปอีกหลายปี

อีเทอร์ดูเหมือนเป็นโครงการระยะยาวแสนทะเยอทะยานอย่างบ้าคลั่งที่เกิดจากความมองโลกในแง่ดีและโหยหาเอกภาพ “มันจะช่วยให้คนรุ่นต่อไปในอนาคตรอดพ้นครับ” อัคโค มาส นักฟิสิกส์ชาวดัตช์ผู้อยู่กับอีเทอร์มา 25 ปี กล่าวที่สำนักงานของเขาซึ่งมองเห็นพื้นที่ก่อสร้างอันพลุกพล่าน นักวิทยาศาสตร์บางคนบอกว่า อีเทอร์เปรียบเสมือนพีระมิดอียิปต์หรืออาสนวิหารแบบกอทิกของยุโรปในยุคของเรา ผู้มาเยือนบางคนที่ได้รับอนุญาตให้เข้าชมเครื่องจักรถึงกับน้ำตารื้น เพราะการที่อีเทอร์มีอยู่จริงอาจดูเหมือนปาฏิหาริย์ก็ไม่ปาน

ช่างติดตั้งท่อ เซลจ์เกา สโลนสกี ตรวจแผงกันความร้อน ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญจำนวนมากในมอดูลของ โทคาแมกที่ต้องซ่อมหรือติดตั้งใหม่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ อีเทอร์เผชิญคำวิจารณ์จากต้นทุนที่สูงขึ้นและความผิดพลาดฉกรรจ์ในการก่อสร้าง นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลบางคนมองว่า การบรรลุเป้าหมายของอีเทอร์เป็นเรื่องไปไม่ได้
คนงานก่อสร้าง จางเยว่ ยืนหน้าแท่นรองยกซึ่งวางชิ้นส่วนขนาดใหญ่ที่ต้องใช้ปั้นจั่นยกเข้าไปในหลุมโทคาแมก หลายชิ้นจะประกอบเป็นอุปกรณ์ที่ใหญ่ขึ้น ขนาดของเครื่องจักรจะใหญ่โตมากจนคนตัวเล็กจิ๋วเมื่อเทียบกับเครื่องมือและนั่งร้านที่พวกเขาใช้
เพื่อควบคุมอุณหภูมิระหว่างกระบวนการฟิวชัน น้ำเย็นจะหมุนเวียนผ่านท่อเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 เมตรชุดหนึ่งที่วางรอบพื้นที่ของอีเทอร์
จากนั้นน้ำจะถูกสูบเข้าหอทำความเย็นหนึ่งในสิบหอซึ่งมีท่อเปิดลงสู่อ่างทำความเย็นที่พ่นอากาศผ่าน เพื่อเวียนไปเริ่มกระบวนการใหม่

เหล่าผู้สังเกตการณ์คนอื่น รวมถึงผู้ทรงอิทธิพลยิ่งในวงการวิทยาศาสตร์บางส่วน ยังไม่หวั่นไหวไปกับเสน่ห์ของอีเทอร์ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์สามคน ได้แก่ ปีแยร์-ฌีล เดอ แฌน จากฝรั่งเศส ฌอร์ฌ ชาร์ปัก เพื่อนร่วมชาติของเขา และมาซาโตชิ โคชิบะ จากญี่ปุ่น แต่ละคนประกาศว่า ความพยายามสร้างดวงอาทิตย์จิ๋วเป็นแหล่งพลังงานให้โลกเป็นการเสียเงินและความพยายามไปเปล่าๆ มีแต่จะล้มเหลว และอาจเป็นอันตรายอีกต่างหาก

ท่ามกลางคำวิจารณ์เหล่านี้ หากโครงสร้างอย่างอีเทอร์สร้างได้สำเร็จและต่อกับกริดพลังงาน มันน่าจะปลอดภัยกว่า สะอาดกว่า และมีผลิตภาพมากกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใดๆที่เดินเครื่องอยู่ในปัจจุบัน เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์กว่า 400 แห่งในกว่า 30 ประเทศทั่วโลกล้วนอาศัยการแบ่งแยกนิวเคลียส การหลอมหรือฟิวชันและการแบ่งแยกหรือฟิชชันเป็นคำคู่กัน มาจากแนวคิดเดียวกันในการสร้างพลังงานจากสสารส่วนเกินในปฏิกิริยานิวเคลียร์ แต่ก็ตรงข้ามกัน ในปฏิกรณ์ฟิวชัน อะตอมเบา ได้แก่ ไฮโดรเจน ซึ่งมีอิเล็กตรอน 1 อนุภาค โปรตอน 1 อนุภาค และนิวตรอน 0 หรือ 1 หรือ 2 อนุภาค ถูกบังคับให้รวมตัวกัน ส่วนในปฏิกรณ์ฟิชชัน ธาตุที่หนักกว่า เช่น ยูเรเนียมหรือพลูโทเนียม อะตอมซึ่งมีอิเล็กตรอน โปรตอน และนิวตรอน รวมกันกว่า 300 อนุภาค จะถูกแบ่งแยก

ข้อดีของฟิชชันคือเริ่มปฏิกิริยาได้ง่าย เพียงกระทุ้งทีเดียว อนุภาคก็ร่วงออกมาจากอะตอมราวกับผลไม้หล่นจากต้น แต่ฟิชชันนั้นยุ่งยาก กากกัมมันตรังสีบางส่วนจะเป็นพิษต่อมนุษย์ไปอีกหลายหมื่นปี ฟิวชันก็มีผลพลอยได้เป็นกัมมันตรังสีอันตรายเช่นกัน แต่น้อยกว่าลิบลับ นอกจากนี้ วัสดุสำหรับฟิชชัน เช่น ยูเรเนียม อาจหมดลงภายในหนึ่งศตวรรษ ขณะที่ไฮโดรเจนชนิดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับฟิวชันมีอยู่อย่างเหลือล้นแทบไม่สิ้นสุดในน้ำทะเล

ยังมีสถิติภัยพิบัติจากปฏิกรณ์ฟิชชันที่ไม่บ่อย แต่มีโอกาสเกิดขึ้นเสมอ เช่นที่เกาะทรีไมล์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อปี 1979 ที่เชียร์โนบิล ประเทศยูเครน (ขณะนั้นอยู่ในสหภาพโซเวียต) เมื่อปี 1986 และที่ฟูกูชิมะ ประเทศญี่ปุ่น  เมื่อปี 2011 หากปฏิกรณ์ฟิชชันไม่ได้รับการควบคุมอย่างรอบคอบรัดกุม ก็อาจระเบิดและลุกลามจนควบคุมไม่ได้แต่ในปฏิกรณ์ฟิวชัน ปฏิกิริยาที่ควบคุมไม่ได้และการหลอมละลายจะไม่เกิดขึ้น เพราะอุบัติเหตุหรือความล้มเหลวของระบบ หรือแม้แต่ความไม่เสถียรเล็กน้อยในพลาสมา จะทำให้ปฏิกิริยาสูญพลังและดับไปเองทันที

นอกจากนี้ ฟิวชันยังผลิตพลังงานได้มากกว่าฟิชชันถึงสี่เท่าด้วยปริมาณเชื้อเพลิงเท่ากัน และมีพลังงานมากกว่าปฏิกิริยาเคมีที่เผาไหม้น้ำมันหรือถ่านหินถึงสี่ล้านเท่า และสะอาดกว่ามาก แหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และความร้อนใต้พิภพ ล้วนปลอดคาร์บอนเช่นเดียวกับพลังงานนิวเคลียร์ แต่ดูเหมือนไม่มีแหล่งใดที่สามารถขยายขนาดกำลังการผลิตให้รองรับความต้องการในระดับโลกได้

แสงแดดกระทบแผ่นสะท้อนที่ติดตั้งไว้รอบด้านนอกอาคารปฏิกรณ์ควบคุมอุณหภูมิของอีเทอร์
หอทำความเย็นของโครงการเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการสร้างปฏิกิริยาฟิวชัน เพราะไฮโดรเจนต้องร้อนจัดถึง อย่างน้อย 150 ล้านองศาเซลเซียส

ฟิวชันพร้อมทุกอย่างที่จะเป็นพลังงานทางรอด เสียแต่การเริ่มปฏิกิริยานั้นยากและการรักษาให้คงที่ยิ่งยากกว่า อะตอมผลักกันเองตามธรรมชาติ และต้องใช้แรงมหาศาลเพื่อบังคับให้อะตอมชนและหลอมรวมกันหนักกว่านั้น พลาสมาก็หนีไวไม่อยู่นิ่ง คอยจะสลายไปอยู่ตลอดเวลา การระเบิดใหญ่ที่สุดตลอดกาลอย่างบิกแบงยังสามารถรักษาฟิวชันได้เพียงสามนาทีก่อนจะจางหายไป ร้อยล้านปีต่อมา ฟิวชันไม่เกิดขึ้นอีกในเอกภพ จนเมื่อแรงโน้มถ่วงบีบอัดไฮโดรเจนได้มากพอจนจุดระเบิดดาวฤกษ์ดวงแรกๆ ห้องปฏิบัติการทุกแห่งที่ทดลองฟิวชันล้วนใช้พลังงานมากกว่าที่ผลิตได้ ซึ่งขัดกับเป้าหมายของโรงไฟฟ้าปัจจุบัน พลังงานฟิวชันอยู่ตรงจุดตัดอันย้อนแย้งระหว่างความเรียบง่ายของแนวคิดกับความยากของเทคโนโลยีที่ใช้ ผู้เชี่ยวชาญด้านฟิวชันบางคนที่ทำงานมาหลายทศวรรษสรุปว่า การควบคุมฟิวชันนั้นเกินขีดจำกัดความสามารถของมนุษย์

แดเนียล แจสส์บี ทำงานที่ห้องปฏิบัติการฟิสิกส์พลาสมาของมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันมา 25 ปี เขาเขียนไว้หลังเกษียณอายุว่า โรงไฟฟ้าฟิวชันจะซับซ้อนเกินไป ต้องบำรุงรักษากันอย่างไม่สิ้นสุด และ “ทำให้เกิดคำถามมากกว่าที่มันจะช่วยแก้ไขหรือหาคำตอบได้” ลอว์เรนซ์ ลิดสกี รองผู้อำนวยการศูนย์ฟิวชันของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือเอ็มไอที และบรรณาธิการผู้ก่อตั้ง วารสารพลังงานฟิวชัน (Journal of Fusion Energy) ผู้ล่วงลับไปแล้ว ประกาศหลังทำงานมายาวนานว่า พลังงานฟิวชันเป็นเพียงจินตนาการ และในความเห็นโดยทั่วไป มันเป็น “ปัญหาทางวิทยาศาสตร์และเทคนิคยากที่สุดเท่าที่เราเคยเผชิญ” วอลเตอร์ มาร์แชลล์ อดีตประธานสำนักงานพลังงานปรมาณูแห่งสหราชอาณาจักร บอกว่า “ความคิดเกี่ยวกับฟิวชันมีความเป็นไปได้ไม่สิ้นสุด และมีโอกาสประสบความสำเร็จเป็นศูนย์”

เมื่อปี 2006 ค่าใช้จ่ายโดยประมาณของอีเทอร์คือ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อมาเพิ่มเป็นราว 65,000 ล้านดอลลาร์เนื่องจากความล่าช้า การขาดประสิทธิภาพ และความผิดพลาดอื่นๆ เควิน ภทนิยะ ผู้เชี่ยวชาญด้านงานกันความร้อน ยืนข้างแผงของภาชนะสุญญากาศ ซึ่งเพิ่งต้องเปลี่ยนบางส่วนเพื่อให้มอดูลของโทคาแมกทำงานได้
ปีเอโตร บาราบัสกี วิศวกรชาวอิตาลี ผู้อำนวยการคนใหม่ของอีเทอร์ เรียกร้องการยกระดับความโปร่งใสและ ความพร้อมรับผิด รวมถึงการรื้อและติดตั้งส่วนภาชนะสุญญากาศใหม่สำหรับมอดูล (บนซ้าย) แม้โครงการจะล่าช้าออกไป เขาก็ทำให้ผู้นำระดับโลกเชื่อใจมากขึ้น ขณะนี้คาดว่าอีเทอร์จะเดินเครื่องฟิวชันครั้งแรกในปี 2039

นักวิทยาศาสตร์ผู้สนับสนุนอีเทอร์มีมาไม่เคยขาด สตีเวน ฮอว์คิง เคยกล่าวไว้ว่า ฟิวชันเป็นแนวคิดเดียวที่มีศักยภาพสูงสุดในการพัฒนามนุษยชาติ แต่ผู้ดูแคลนส่วนใหญ่ก็แสดงความเห็นทำนองเดียวกันว่า ความซับซ้อนของอีเทอร์อาจดูไร้สาระ

ยิ่งเรารู้จักอีเทอร์มากขึ้น มันจะยิ่งดูไม่สมเหตุสมผลมากขึ้น “ความเสี่ยงมันสูง ผลตอบแทนก็สูงค่ะ” แคทริน แมกคาร์ที ผู้อำนวยการสำนักงานอีเทอร์ของสหรัฐฯ กล่าว จะบอกว่าแนวคิดนี้เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำก็ได้อาจถึงขนาดเกินขีดความสามารถของมนุษย์ไปมาก แต่สำหรับหลายคนที่อุทิศการทำงานทั้งชีวิตให้อีเทอร์ ความไม่แน่นอนและความไร้สาระนี่เองที่ทำให้งานนี้มีเสน่ห์ดึงดูด เราจะรู้ขีดจำกัดของตนเองได้อย่างไร หากเราไม่พยายามสุดกำลังเพื่อทำได้มากกว่านั้น

เรื่อง ไมเคิล ฟิงเกิล

ภาพถ่าย เปาโล เวร์โซเน

แปล วิษณุ เอื้อชูเกียรติ


อ่านเพิ่มเติม : การค้นหาโหมดหลับจำศีล

Recommend