ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมของทุกปี นักวิ่งเทรลจากทั่วโลกมารวมตัวกันในรายการ เอเวอเรสต์มาราธอน
วันที่ 29 พฤษภาคม 1953 เป็นวันที่ Tenzing Norgay Sherpa และ Sir Edmund Hillary มนุษย์คู่แรกที่พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้สำเร็จ และในวันเดียวกันของทุกปี เพื่อเป็นการรำลึกถึงผู้พิชิตทั้งสองคนจึงเกิดรายการวิ่ง Tenzing Hillary Everest Marathon หรือที่รู้จักโดยทั่วไปในนาม เอเวอเรสต์มาราธอน เพื่อรำลึกถึงความกล้าหาญและความสำเร็จนี้ โดยในปี 2019 เป็นการจัดการแข่งขันครั้งที่ 17 และมีคนไทยเข้าร่วมการแข่งขันเพียงคนเดียว
รายละเอียด Everest Marathon
คุณพิพัฒน์ ละเอียดอ่อน ชาวไทยเพียงคนเดียวที่ร่วมรายการวิ่งเอเวอเรสต์มาราธอนในปีนี้ เล่าว่า ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต้องเดินขึ้นไปยังจุดปล่อยตัวบนเอเวอเรสต์เบสแคมป์ ที่ความสูงประมาณ 5,300 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งนับเป็นเสน่ห์ของรายการนี้ ที่ผ่านมามีคนไทยเข้าร่วมรายการเพียง 1-2 คน
สภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศที่สุดขั้วเป็นสิ่งท้าทายนักวิ่งทุกคน ที่ผ่านมานักวิ่งจากนานาชาติไม่เคยชนะคนท้องถิ่นหรือเชอร์ปาได้เลย ทางผู้จัดงานจึงแบ่งประเภทการแข่งขันเป็นรุ่นคนท้องถิ่น และรุ่นนานาชาติ ในปีนี้มีนักวิ่งจากทั่วโลกเข้าร่วมประมาณ 140 คน และคนเนปาลประมาณ 60-70 คน
วันที่ 15 พฤษภาคม นักวิ่งทุกคนไปรวมตัวกันที่กรุงกาฐมาณฑุ แต่ละคนประสบการณ์ล้วนโชกโชน บางคนผ่านสนามวิ่งมาราธอนมากว่าร้อยสนาม แต่สำหรับบนเส้นทางวิ่งที่สูงที่สุดในโลกแห่งนี้ ไม่ใช่ใครๆ ก็ผ่านไปได้
วันที่ 16 พฤษภาคม คณะนักวิ่งทุกคนออกเดินทางจากกาฐมานฑุไปยังเมืองลุกลา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินขึ้นเขาไปยังเอเวอเรสต์เบสแคมป์ คุณพิพัฒน์เล่าและเสริมว่า ทุกคนได้รับอนุญาตให้นำสัมภาระติดตัวไปได้เพียงคนละ 15 กิโลกรัม ในตอนที่จัดกระเป๋า ผมต้องคัดเอาเฉพาะ “สิ่งสำคัญ” ที่ “สำคัญที่สุด” โดยมีกระเป๋า Day Pack ที่ติดตัวเราหนึ่งใบ ส่วนกระเป๋าใบใหญ่ ผู้จัดงานทำหน้าที่ขนถ่ายให้เรา
ทุกวันที่ต้องอยู่บนเส้นทางเดินไต่ไปบนเทือกเขาสูงชัน แพทย์สนามจำเป็นต้องตรวจร่างกาย เพื่อให้มั่นใจว่านักวิ่งทุกคนพร้อมที่จะทำการวิ่งเมื่อเดินทางไปจุดปล่อยตัว และเมื่อแพทย์ประเมินว่า ร่างกายของคุณไม่พร้อม คุณก็จำเป็นต้องยุติการเดินทางของคุณไว้เพียงเท่านี้
“ก่อนหน้านี้มีนักวิ่งบางคนพยายามฝืนคำสั่งของแพทย์ และได้รับอันตรายจากการแข่งขัน ปีนี้จึงเข้มงวดเป็นพิเศษ” คุณพิพัฒน์บอก การแข่งขันรายการนี้ คุณต้องเตรียมตัวมาดีมาก ซ้อมวิ่งล่วงหน้ามาหลายเดือนก่อนสมัครเข้าร่วมแข่งขัน ชายวัยกลางคนร่างกายสูงใหญ่เล่าให้เราฟังด้วยสายตาเป็นประกาย ในขณะที่เขาอยู่เมืองไทย เขาจำเป็นต้องวางแผนการซ้อมอย่างดี และมีเป้าหมายที่ชัดเจน รวมถึงซ้อมวิ่งด้วยการใส่หน้ากากที่จำกัดปริมาณออกซิเจน เป็นการจำลองสภาพอากาศที่จะพบเจอในวันแข่งจริง
“เส้นทางนี้ไม่ใช่แค่การไปวิ่ง แต่ระหว่างทางที่เดินขึ้นไป เราได้เรียนรู้ เราได้พบประสบการณ์ และเราได้แบ่งปันกับเพื่อนร่วมทีมทุกคน” เขาเล่า “เป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากสนามอื่น” ช่วงเวลาตลอด 19 คืน 20 วัน นักวิ่งถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละประมาณ 25 – 30 คน และอยู่ในกลุ่มเดิมจนจบการแข่งขัน นักวิ่งในทีมเดียวกันจึงได้แบ่งปันประสบกาณ์ที่แต่ละคนไปพบเจอมาจากสนามอื่นๆ นอกเหนือจากนั้น ยังได้ร่วมมือกันในโครงการ Clean Everest ที่ช่วยกันเก็บขยะที่ถูกทิ้งอยู่บนเส้นทางเดิน รวมระยะเวลาในการเดินขึ้นไปยังจุดปล่อยตัวทั้งหมด 12 วัน
วันที่ 27 พฤษภาคม คือวันที่นักวิ่งทุกคนเดินทางไปถึงเบสแคมป์ แพทย์สนามตรวจร่างกายทุกคนโดยละเอียดอีกครั้ง และมีเวลาพักเพื่อให้ร่างกายปรับสภาพหนึ่งวัน
วันที่ 29 พฤษภาคม เป็นวันปล่อยตัวนักวิ่งทุกคน โดยเส้นทางเป็นการวิ่งขึ้นลงบนเขากลับลงมายังด้านล่าง แข่งกับเวลาที่กำหนด ที่จุดระยะทาง 32 กิโลเมตร ถือเป็นจุด Cut off นักวิ่งท่านใดที่ผ่านจุดนี้หลังเวลา 16.00 น. จะต้องนอนพักที่จุดนี้ และออกวิ่งอีกครั้งตอน 6 โมงเช้า โดยถูกปรับเวลาไปสามชั่วโมง มีบางท่านที่ไม่ผ่านจุดนี้ นักวิ่งส่วนใหญ่ผ่านประสบการณ์ในการวิ่งเทรลสนามใหญ่ๆ มาทั่วโลก พิชิตยอดเขาสูงมาแล้วหลายสนาม และสนามนี้ถือเป็นหนึ่งในสนามในฝันของนักวิ่งเทรลหลายคน
อ่านต่อหน้า 2