เกาะบอร์เนียว : ท่องแดน ถ้ำหลวง อลังการ
ในช่วงสายอันร้อนอบอ้าววันหนึ่งของเดือนเมษายน แฟรงก์และคุกกี สองนักสำรวจถ้ำชาวอังกฤษร่างผอมบาง หย่อนตัวลงไปในปล่องชื้นๆ ลื่นๆ ที่อยู่ลึกลงไปใต้ป่าดิบชื้นบน เกาะบอร์เนียว
ระหว่างไต่ผ่านกองมูลนกเก่าแก่ และดันตัวผ่านหมู่เสาหินสีครีมนวลตาคล้ายกระดูกเก่าๆ นักสำรวจถ้ำทั้งสองหวังจะเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ พวกเขาเคยคืบคลานเข้าไปในถ้ำเคฟออฟเดอะวินด์ส (Cave of the Winds) ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในระบบถ้ำเคลียร์วอเตอร์ (Clearwater) อันเป็นจุดที่พวกเขาจะค้นหาเส้นทางเดินไปยังถ้ำเรเซอร์ (Racer Cave) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบถ้ำเรเซอร์-อีสเตอร์
ถ้าหาเส้นทางเชื่อมระหว่างสองถ้ำนั้นพบ ทั้งคู่จะสร้างสิ่งที่เรียกว่า “ซูเปอร์ซิสเต็ม” หรืออภิระบบของเขาวงกตใต้ดินที่ยาวที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ขณะทั้งสองลอดผ่านทางแคบๆ เจาะและยิงหมุดเข้าไปในหินลื่นๆเพื่อขึงเชือกปีนเขา โอกาสในการประสบความสำเร็จของพวกเขาเรียกได้ว่าดูดีทีเดียว
พวกเขารู้อยู่แล้วว่า ระบบถ้ำเคลียร์วอเตอร์มีความยาว 226 กิโลเมตร และถ้ำหลวงบางแห่งมีแม่น้ำเชี่ยวกรากอยู่ข้างใน ขณะที่ระบบถ้ำเรเซอร์-อีสเตอร์มีคูหาถ้ำขนาดใหญ่หลายแห่งชนิดที่ว่า ถ้านำเครื่องบินโดยสารไอพ่นเข้าไปจอดแล้วยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก พูดอีกนัยหนึ่งคือชั้นหินปูนที่ทอดตัวอยู่ใต้ภูมิภาคแถบนี้ ลึกลงไปใต้อุทยานแห่งชาติกุหนุงมูลูบนเกาะบอร์เนียวของมาเลเซีย คือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหลุมใหญ่ที่สุด อุโมงค์กว้างที่สุด และถ้ำหลวงขนาดมหึมาตระการตาที่สุดของโลกนั่นเอง
ณ อีกจุดหนึ่งในโลกใต้พิภพ ลึกลงไปภายในถ้ำเรเซอร์ ทีมนักสำรวจอีกทีมกำลังคืบคลานอยู่ข้างในพร้อมค้อนและสว่านไฟฟ้า ไม่นานทั้งสองทีมจะเริ่มทุบและเจาะผนังถ้ำ คอยฟังเสียงจากอีกทีม และหวังว่าเสียงนั้นจะนำพาพวกเขา ไปพบจุดเชื่อมต่อ และสร้างสถิติโลกใหม่ขึ้นมาได้
ถัดขึ้นมาไม่ไกลจากพวกเขานัก ผมนั่งอยู่ในคูหาขนาดใหญ่และฟังเสียงขุดเจาะของทั้งสองทีม คูหาแห่งนี้พิสุทธิ์งดงาม และเพิ่งค้นพบเมื่อไม่กี่วันก่อน โดยผมเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกๆของโลกที่ได้ย่างเท้าเข้ามา แต่ตรงจุดที่ผมนั่งอยู่ รายล้อมไปด้วยหินงอกและเสาหินรูปเห็ดขนาดมโหฬาร ถ้ำหลวงแห่งนี้ดูราวกับมีชีวิตด้วยเสียงอื่นๆ ตรงข้อศอกผม เสียงน้ำไหลเอื่อยลงสู่แอ่งน้ำใสกระจ่าง ขณะที่ด้านบนศีรษะ นกแอ่นซึ่งเป็นนกสีดำตัวจิ๋วที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในคูหาถ้ำมืดสนิท จำนวนหลายพันตัวส่งเสียงร้องแหลม ทำเสียงเดาะ และส่งเสียงสะท้อนเพื่อหาตำแหน่งของรัง
ถ้าแฟรงก์กับคุกกีกำลังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่อยู่ใต้เท้าผมลงไป ผมคงไม่ได้ยินเสียงพวกเขา แต่ไม่เป็นไร เพราะการสำรวจถ้ำเป็นกีฬาที่เต็มไปด้วยความลับ และเรื่องที่คนเราต้องอดทนฟันฝ่าเพื่อค้นหาความลับเหล่านั้น บางครั้งสิ่งเดียวที่คุณทำได้มีเพียงเฝ้ารอดูว่า ความมืดจะเผยอะไรออกมา ผมจึงเอนตัวลงนอน ดับไฟ และฟังเสียงนกแอ่นบินฉวัดเฉวียนลงมาใกล้ๆ จนสัมผัสได้ถึงการกระพือปีกอยู่ข้างๆแก้ม
“นี่เป็นสถานที่ที่น่าตื่นเต้นมากๆ จะมีที่ไหนในโลกอีกที่เราจะเจอดินแดนไร้การสำรวจมากขนาดนี้”
รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นบนใบหน้าของแอนดี อีวิส ผู้นำการสำรวจของเรา
อีวิส วัย 70 ปี พูดได้เต็มปากในฐานะผู้เชี่ยวชาญ เขาใช้ชีวิตสำรวจระบบถ้ำใต้ดินอันห่างไกลและมหัศจรรย์ที่สุดของโลกมานานกว่า 50 ปี เขายังใช้เวลาอีกหลายปีในการอนุรักษ์ถ้ำเพื่อให้มั่นใจได้ว่า ถ้ำจะยังคงเป็นพื้นที่เปิดให้นักสำรวจถ้ำผู้รักถ้ำเหล่านี้เข้าถึงได้ อีวิสคือทูตของโลกบาดาลตัวจริง
“เราอาจพบทางเดินในถ้ำเส้นใหม่ที่ยาวเกือบ 50 กิโลเมตรครับ” เขาบอกอย่างมั่นใจ
ต่อมาเมื่อผมไปพบเขาที่มูลู ความมั่นใจของเขาเริ่มลดลง การสำรวจแบ่งออกเป็นทีมหลักสามทีม สองทีมมองหาเส้นทางเดินใหม่ๆในพื้นที่ห่างไกลของป่าดิบชื้น ขณะทีมที่สามซึ่งมีชื่อว่า “ทีมหาทางเชื่อม” จะดูแผนที่อย่างละเอียดยิบเพื่อหาจุดเชื่อมต่อของระบบถ้ำต่างๆ
อีวิสบอกว่า ที่ผ่านมาการสำรวจดำเนินไปอย่างเชื่องช้า และการค้นพบทางเชื่อมที่เหมือนจอกศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งแฟรงก์กับคุกกีจะเข้าไปสำรวจในภายหลัง ยังคงรอดหูรอดตาพวกเขาไป อีวิสยอมรับว่าผิดหวัง กระนั้นทีมของเขาก็ยังค้นพบเส้นทางเดินใหม่เป็นระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร และยังมีอีกหลายแห่งรอการค้นพบอยู่
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากมาถึง ผมเข้าร่วมการสำรวจกับอีวิสและทีมนักสำรวจถ้ำกลุ่มเล็กๆ เรามุ่งหน้าไปยังถ้ำชื่อ กวานาซิบบากุส หรือถ้ำกู๊ดลัก ซึ่งมีคูหาซาราวักที่ดูราวกับอยู่บนโลกอื่น
หลังจากปีนป่าย ดึงตัว และคืบคลานขึ้นไปทางต้นน้ำนานหลายชั่วโมง นักสำรวจถ้ำก็ไปถึงสถานที่เงียบสงบแห่งหนึ่งซึ่งแม่น้ำหายเข้าไปในผืนดิน นักสำรวจหยิบสายวัดออกมา แล้วเริ่มทำงานกันในความมืดสลัว โดยหวังว่าจะไปถึงผนังด้านหลังถ้ำในไม่ช้า
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พบผนังถ้ำ พวกเขาจึงลองวิธีอื่น โดยเปลี่ยนทิศทางไป 90 องศาท่ามกลางความมืดมิด และคิดว่าน่าจะเจอผนังด้านข้าง พวกเขาได้ยินเสียงนกแอ่นร้องอยู่เหนือศีรษะ เสียงแม่น้ำไหลครืนครั่นจากที่ใดที่หนึ่งซึ่งอยู่ใต้เท้าลงไป แต่ยังคงไม่พบผนังถ้ำ
หลังจาก 17 ชั่วโมงของการสำรวจ คณะก็ออกจากถ้ำกู๊ดลัก เนื้อตัวชุ่มโชกและสับสน ถ้าพวกเขาไม่เดินวนเป็นวงกลมอยู่หลายชั่วโมง ก็คงค้นพบอะไรบางอย่างที่น่าตื่นตะลึงเข้าให้แล้ว
ทีมที่ตามมาสมทบในภายหลังพิสูจน์พบว่า คูหาซาราวักเป็นพื้นที่ปิดขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่รู้จักกันบนโลก มีขนาดยาว 600 เมตร กว้าง 435 เมตร และสูง 150 เมตร
เรื่องพิลึกเกี่ยวกับถ้ำก็คือ การที่เราจดจำมันได้อย่างแจ่มชัด แม้จะมีมุมมืดสลัว แต่ผนัง ก้อนหิน และแมงมุม กลับเป็นสิ่งที่เห็นได้กระจ่างตา ภาพถ่ายยิ่งทำให้กระจ่างชัดมากขึ้น แต่เรื่องจริงมีอยู่ว่า ยกเว้นชั่วขณะที่ช่างภาพสาดแสงแฟลชสว่างวาบไปทั่วถ้ำแล้ว ทุกอย่างเรียกได้ว่าแทบมองไม่เห็น
เมื่อไม่มีแสงอาทิตย์ไว้คอยบอกเวลาว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน เราจึงบอกจากอาหาร น้ำชา และแท่งช็อกโกแลตแทน
“วัน” หนึ่ง ผมกับนักสำรวจถ้ำวัยหนุ่มชื่อเบน พากันสำรวจไปตามด้านซ้ายของคูหาเพื่อมองหาทางเข้าอีกทาง คูหาซาราวักมีขนาดใหญ่มากเสียจนมีพื้นที่ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันมากมายหลายแห่ง และเราก็ไต่ผ่านอย่างน้อยครึ่งโหล ผ่านกองก้อนหินมนใหญ่เปื้อนโคลน เข้าไปถึงวงกตหินปูนที่มีผนังแหลมคม ไปจนถึงโพรงเงียบสงัดน่าพรั่นพรึง
เลยออกไปคือแหล่งอนุบาลลูกนกที่อากาศนิ่งและอุ่นมาก นกแอ่นจึงรู้สึกปลอดภัยที่จะวางไข่บนพื้นดินโล่งๆ เราไม่พบทางเข้าอื่นใดอีก แม้จะรู้ว่าต้องมีอยู่อย่างแน่นอน เพราะเสียงน้ำและเสียงฝูงนกกรูกันเข้ามาบอกเราเช่นนั้น แต่คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักสำรวจถ้ำในอนาคต
เรื่อง นีล
ภาพถ่าย คาร์สเทน ปีเตอร์