“ราว 110,000 ปีก่อน มนุษย์นีแอนเดอร์ทัลมีจำนวนลดลงอย่างกระทันหัน
และอาจนำไปสู่การสูญพันธุ์ในเวลาต่อมา”
ก่อนหน้าที่ โฮโม เซเปียนส์ จะแพร่กระจายไปทั่วพื้นทุกอย่างในทุกวันนี้ โลกของเราเคยมีมนุษย์โบราณที่ชื่อ นีแอนเดอร์ทัล อาศัยอยู่มาก่อนมทั่วยูเรเซีย พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ได้นับแสนปี แต่อย่างไรก็ตามเมื่อถึงจุดหนึ่งหลังจากมนุษย์ยุคก่อนได้วิวัฒนาการมาเป็นนีแอนเดอร์ทัลยุคแรก และกลายเป็นนีแอนเดอร์ธัลคลาสสิก พวกเขาก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีการพัฒนาอีกต่อไปจนช่วงเวลาสุดท้ายของสปีชีส์
นักวิทยาศาสตร์ต่างพยายามค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับนีแอนเดอร์ทัล บ้างก็ว่าพวกเขาถูก ‘พวกเรา’ ที่ใหม่กว่าจัดการจนหายไปหมด บ้างก็ว่าพวกเขาอาจอ่อนแอเกินไปจนไม่สามารถอยู่รอดได้ ทั้ง ๆ ที่นีแอนเดอร์ทัลรอดมาแล้วเป็นแสน ๆ ปี หรือไม่ก็ผสมกลมกลืนกับผู้มาใหม่จนสูญสิ้นเอกลักษณ์ของตัวเอง
แต่งานวิจัยใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Nature Communication กลับให้เบาะแสใหม่ที่มาจากวิธีที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน นั่นคือ การศึกษาหูชั้นใน ที่ได้เปิดเผยความลับครั้งใหม่ว่าเพื่อนมนุษย์โบราณของเรานี้อาจมีการสูญเสียทางพันธุกรรมครั้งใหญ่จนไม่อาจวิวัฒนาการต่อไปได้
“เราประหลาดใจที่พบว่ามนุษย์นีแอนเดอร์ทัลยุคก่อนจากซีมา เด โลส อูเอโซส (Sima de los Huesos) มีความหลากหลายทางสัณฐานวิทยาในระดับที่ใกล้เคียงกับมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลยุคแรกจากกราปินา (Krapina)” อเลสซานโดร อูร์ชิโอลี (Alessandro Urciuoli) ผู้เขียนหลักของการศึกษากล่าว
“สิ่งนี้ท้าทายสมมติฐานทั่วไปเกี่ยวกับเหตุการณ์คอขวด ณ จุดกำเนิดสายพันธุ์นีแอนเดอร์ทัล”
จัดเรียงไทม์ไลน์ทางพันธุกรรมใหม่
ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่ผ่านมา ไทม์ไลน์ที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปคือ ณ ช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ญาติห่างไกลที่สูญพันธุ์ไปเมื่อนานมาแล้วได้อยู่ในสถานการณ์ที่เรียกกันว่า ‘Muddle in th Middle’ ซึ่งหมายความลักษณะเฉพาะที่ซับซ้อนและทับซ้อนกันของมนุษย์สายพันธุ์ต่าง ๆ ที่มีเหมือนกันในช่วงยุคไพลสโตซีนตอนกลาง
จากสิ่งที่ปะปนกันเหล่านั้น ในที่สุดก็มีต้นแบบที่เรียกว่า ‘ยุคก่อนมีนีแอนเดอร์ทัล’ ปรากฏขึ้นโดยโครงกระดูกส่วนที่ดีที่สุดของประชากรกลุ่มนี้ถูกค้นพบในแหล่งโบราณคดีชื่อ ซีมา เด โลส อูเอโซส ในสเปน ซึ่งมีอายุย้อนกลับไปถึง 430,000 ปีก่อน
และเวลาต่อมาลักษณะเฉพาะของสายพันธุ์นี้ได้รวมตัวกันเป็นหนึ่งทำให้เกิด ‘นีแอนเดอร์ทัล’ ยุคแรกขึ้นเช่นที่พบในฟอสซิลอายุ 120,000 ถึง 130,000 ปีจากกราปินาในโครเอเชีย และในช่วง 110,000 ปีที่ผ่านมานี้เองมนุษย์ที่ถูกเรียกว่า ‘นีแอนเดอร์ทัลคลาสสิก’ ก็ปรากฏตัวขึ้น โดยมีลักษณะหลายอย่างที่ชัดเจนว่าเป็นนีแอนเดอร์ทัลอยู่
แต่เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการจัดลำดับจีโนมเต็มรูปแบบของสายพันธุ์นี้ในปี 2010 ก็พบว่านีแอนเดอร์ทัลยุคหลังนี้มีความหลากหลายทางพันธุกรรม ‘น้อยกว่ามนุษย์ปัจจุบัน’ อย่างมาก ทำให้เกิดความสงสัยกันว่ามนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์สปีชีส์นี้จะต้องประสบกับสถานการณ์ที่ประชากรลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว
แต่เกิดอะไรขึ้นในเหตุการณ์นั้นยังคงเป็นที่ถกเถียงมาจนปัจจุบัน และน่าเสียดายที่ดีเอ็นเอของนีแอนเดอร์ทัลยุคแรก ๆ ไม่สามารถบอกอะไรได้มากกว่าข้อมูลที่ว่าพวกเขาคือนีแอนเดอร์ทัลเท่านั้น เพื่อแก้ปัญหานี้ทีมวิจัยใหม่ได้ใช้แนวทางที่ไม่มีใครทำกมาก่อน นั่นคือศึกษาสิ่งที่เรียกว่า ‘เขาวงกตกระดูกของหูชั้นใน’
แทนที่จะดูพันธุกรรมแต่พวกเขาดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในกระดูกของหูชั้นในแทน โดยเน้นไปที่ท่อกระดูกครึ่งวงกลมซึ่งเป็นชุดท่อของหูชั้นในที่ก่อตัวเต็มที่ตั้งแต่แรกเกิด ท่อเหล่านี้จะเต็มไปด้วยของเหลวในแต่ละช่วงชีวิตซึ่งช่วยรักษาสมดุลและตรวจจับการเคลื่อนไหวของศีรษะ เช่น การพยักหน้าหรือส่ายหน้า
อวัยวะดังกล่าวนี้มีความ ‘เป็นกลาง’ ในเชิงวิวัฒนาการเพราะท่อจะไม่ส่งผลกระทบต่อการอยู่รอดของบุคคล และการติดตามการเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนตามกาลเวลาสามารถอธิบายขนาดและความหลากหลายของประชากรในอดีตได้
คอขวดประชากร
ทีมวิจัยได้ใช้เครื่องซีทีสแกนตรวจสอบกระดูกหูชั้นในของนีแอนเดอร์ทัลจำนวน 30 คนจาก 3 ช่วงเวลาได้แก่ 13 คนจากแหล่งขุดค้น ซีมา เด โลส อูเอโซส ซึ่งมีอายุ 430,000 ปี 10 คนจากแหล่งขุดค้นกราปินาที่มีอายุ 120,000 ปี และมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลคลาสสิก 7 คนจากฝรั่งเศส เบลเยียม และอิสราเอลที่มีอายุ 64,000 ถึง 40,000 ปี
การวิเคราะห์เผยให้เห็นว่านีแอนเดอร์ธัลยุคหลังสุดมีความแตกต่างในหูชั้นในน้อยกว่ากลุ่มก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทำให้ผู้วิจัยสรุปได้ว่าพวกเขาต้องเผชิญกับเหตุการณ์คอขวดทางพันธุกรรมอย่างแน่นอน กล่าวคือสามารถขจัดข้อสงสัยที่ว่าประชากรอาจลดลงมาตั้งแต่ ‘ยุคก่อน’ แล้วออกไป นีแอนเดอร์ทัลเพิ่งจะเจอกับปัญหาในยุคหลังเมื่อ 120,000-110,000 ปีนี่เอง
คอขวดทางพันธุกรรมนี้ทำให้มนุษย์โบราณของเราต้องจับคู่กับบุคคลที่มีความใกล้ชิดกัน ซึ่งส่งผลให้พวกเขามีความหลากหลายทางพันธุกรรมน้อย และนั่นอาจทำให้เกิดปัญหาหลาย ๆ อย่างตามมา ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการสูญพันธุ์
“การรวบรวมฟอสซิลทั้งจากทางภูมิศาสตร์และช่วงเวลากว้าง ๆ นี้ทำให้เราจับภาพวิวัฒนาการของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น” เมอร์เซเดส กอนเด-วัลเวอร์เด (Mercedes Conde-Valverde) ผู้เขียนร่วมของการศึกษากล่าว
“การลดลงของความหลากหลายที่สังเกตได้ระหว่างตัวอย่างจากกราปินา และมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลคลาสสิกนั้นโดดเด่นและชัดเจนเป็นพิเศษ โดยเป็นหลักฐานที่ชัดเจนของเหตุการณ์คอขวด”
การค้นพบนี้สอดคล้องกับการค้นพบเกี่ยวกับมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลก่อนหน้าซึ่งระบุว่า ประชากรนีแอนเดอร์ทัลในยุโรปมีการหมุนเวียนประชากรในเชิงลบ กล่าวคือพวกเขาดูเหมือนจะไม่เพิ่มขึ้นมากเท่าที่ควร อย่างไรก็ตามยังไม่ชัดเจนว่ารูปแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับนีแอนเดอร์ทัลในเอเชียหรือเอเชียตะวันตกเฉียงใต้หรือไม่
สืบค้นและเรียบเรียง
วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา
https://www.discovermagazine.com