อดีตที่โลกไม่เคยรู้ถูกเปิดเผย หลังไม้ใหญ่ล้มกลางป่าแอมะซอน

อดีตที่โลกไม่เคยรู้ถูกเปิดเผย หลังไม้ใหญ่ล้มกลางป่าแอมะซอน

“นักโบราณคดียังคงไม่ทราบถึงสาเหตุที่ว่า ‘ใคร’ เป็นคนนำโถ

ที่ใช้บรรจุเถ้ากระดูกใบนี้มาฝัง หรือแม้แต่มันมีอายุนานเท่าไรกันแน่”

เมื่อไม้ใหญ่ล้มลงกลางพื้นที่ราบในเมืองฟงต์ชี โบอา (Fonte Boa) ในแถบเขตป่าแอมะซอนของบราซิล ชาวประมงท้องถิ่นก็พบกับสิ่งผิดปกติ เมื่อรากไม้ช้อนโถขนาดใหญ่สองใบขึ้นมาเหนือดิน ไม่มีใครทราบว่าสิ่งนั้นคืออะไร หรือใครเป็นคนฝังมันไว้ ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา รัฐบาลบราซิลประกาศว่า นักโบราณคดีได้ยืนยันแล้วว่าภาชนะดังกล่าวใช้สำหรับบรรจุกระดูกหรือเถ้าถ่านของผู้ล่วงลับซึ่งสันนิษฐานว่าโถเหล่านี้อาจมีอายุย้อนกลับไปได้ถึงหลายพันปีและเป็นของชนพื้นเมืองที่เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้เมื่อประมาณ 500 ปีก่อนที่ชาวโปรตุเกสจะเข้ามา

การขุดเจาะเผยให้เห็นโถบรรจุเถ้าถ่านคนตายทั้งหมดเจ็ดใบ บางชิ้นแตกหัก พันอยู่กับรากของต้นไม้ใหญ่ ภายในโถพบชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ โดยโถใบที่ใหญ่ที่สุดมีเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบหนึ่งเมตร และหนักถึง 350 กิโลกรัม มาร์ซิโอ อามารัล (Márcio Amaral) นักโบราณคดีจากสถาบันมามิเราอา (Mamirauá)ในเมืองเตเฟ ประเทศบราซิล ผู้มีส่วนร่วมในภารกิจขุดค้นครั้งนี้เผยว่า “เราใช้เวลาทั้งวันในการแยกมันออกจากรากไม้ และต้องใช้แรงชายถึงหกคนในการเคลื่อนย้ายมันออกมา”

การนำโถออกจากพื้นดินและเคลื่อนย้ายไปยังห้องวิจัยของสถาบันมามิเราอาในเมืองเตเฟ เพื่อศึกษาต่อ ถือเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนไม่น้อย วัลฟ์เฟรดู เซร์เกย์รา (Welfredo Cerqueira) ผู้นำชุมชนที่ช่วยระดมชาวประมงในพื้นที่ให้มาร่วมการขุดค้นเล่าย้อนถึงประสบการณ์สุดแปลกที่เขาได้พบ “เรานึกว่าจะใช้จอบขุดแล้วขนมันออกมาได้ง่าย ๆ แต่จากที่เคยเห็นนักโบราณคดีทำงานในทีวี ผมก็รู้เลยว่างานนี้คงใช้เวลานานแน่”

บริเวณที่ต้นไม้ล้มมีชื่อว่า Cochila Lake แหล่งโบราณคดีในพื้นที่แม่น้ำโซลิมอยส์ตอนกลาง ซึ่งอยู่ในลุ่มน้ำแอมะซอนของบราซิล ที่นี่เป็นหนึ่งในกว่า 70 พื้นที่ราบเทียมที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อราว 2,000 ปีก่อน โดยกลุ่มชนพื้นเมืองที่ต้องการป้องกันน้ำท่วมในช่วงฤดูน้ำหลากของแม่น้ำ คาเรน มารินโญ (Karen Marinho) นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งรัฐปาราตะวันตก (UFOPA) ซึ่งไม่ได้ร่วมในการขุดค้นครั้งนี้กล่าวว่า “ด้วยข้อมูลที่เรายังรู้น้อยมากเกี่ยวกับความเป็นมาของบริเวณนี้ และความยากลำบากในการเข้าถึง นี่จึงเป็นการค้นพบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจริง ๆ”

เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผายุคแรกของพื้นที่ลุ่มน้ำแอมะซอน

ผู้คนในภูมิภาคนี้ใช้ชีวิตควบคู่กับเครื่องปั้นดินเผามาเป็นเวลานาน และเป็นหนึ่งในเครื่องปั้นดินเผาไม่กี่ชิ้นที่สามารถคงสภาพอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมที่ร้อนชื้น ซึ่งโดยปกติ สภาพแวดล้อมดังกล่าวจะไม่เหมาะกับการเก็บรักษาหลักฐานทางโบราณคดี

คนกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในลุ่มน้ำแอมะซอนเป็นผู้สร้างสรรค์เครื่องปั้นดินเผาในแบบ “โปโก-อาซูตูบา” (Pocó-Açutuba) ซึ่งมีอายุอยู่ระหว่าง 1,500 ปีก่อนคริสตกาลถึงราว ค.ศ. 200 โดยภาชนะดินเผาในยุคนี้มักประดับประดาด้วยลวดลายสลักหลากหลายรูปแบบ ต่อมาคือรูปแบบ “บอร์ดา อินชีซา” (Borda Incisa) ที่มีจุดเด่นอยู่ที่รอยตัดตามขอบของแจกันและตัวภาชนะ กระทั่งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง 16 ก็เกิดรูปแบบใหม่คือ “โพลีโครม” (Polychrome ceramic) ซึ่งมีการใช้สีย้อมหลากสี โดยเฉพาะสีน้ำตาล แดง ดำ และส้ม ทาทับลงบนพื้นสีขาวหรือเทา

“นี่เป็นภาชนะรูปแบบใหม่ที่เราไม่เคยมีบันทึกมาก่อน” อามารัลกล่าว สิ่งที่ทำให้โถเหล่านี้แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดในเชิงศิลปะ คือ การไม่มีฝาปิด และนอกจากนี้ แอนน์ แร็ป ไพ-ดาเนียล (Anne Rapp Py-Daniel) นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งรัฐปาราตะวันตก (UFOPA) ซึ่งไม่ได้ร่วมในทีมวิจัย กล่าวเสริมว่า โถเหล่านี้ยังมีรูปทรงที่กลมมนกว่ารูปแบบที่กล่าวไปข้างต้น

ชนพื้นเมืองโบราณฝังศพกันอย่างไร?

ความสวยงามของโถฝังศพเหล่านี้ ไม่ได้สะท้อนเพียงฝีมือช่างในระดับงานศิลปะเท่านั้น แต่ยังบอกเล่าความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างชนพื้นเมืองโบราณกับเรื่องความตายในแอมะซอน

สำหรับพวกเขา “ความตายไม่ใช่เรื่องเพียงชั่วขณะ แต่คือกระบวนการ” ไพ-ดาเนียลให้ความเห็น การจากไปของผู้คนคือพิธีกรรมเปลี่ยนผ่านอีกขั้นหนึ่งของชีวิต ที่ต้องการความร่วมมือจากทั้งชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ล่วงลับเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ “การนำกระดูกใส่ในภาชนะอาจเป็นขั้นตอนที่สองในพิธีกรรมฝังศพ” ไพ-ดาเนียลอธิบาย

โดยก่อนหน้า ร่างของผู้ล่วงลับจะต้องผ่านพิธีกรรมเพื่อแยกเนื้อออกจากกระดูก ซึ่งอาจผ่านการฝัง การเผา หรือการปล่อยให้จมในแม่น้ำซึ่งศพจะถูกห่อด้วยตาข่ายสาน เพื่อให้ปลาสามารถกินเนื้อออกได้ จากนั้นกระดูกที่เหลือจะถูกรวบรวมอย่างระมัดระวังและนำไปจัดวางในโถซึ่งเป็นพิธีขั้นถัดไป

“กลุ่มชนพื้นเมืองที่ยังไม่สูญเสียประเพณีดั้งเดิมไปภายใต้อิทธิพลของมิชชันนารี ยังคงปฏิบัติตามกระบวนการเหล่านี้มาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน” ไพ-ดาเนียลกล่าว

ทั่วทั้งลุ่มน้ำแอมะซอน กลุ่มชนพื้นเมืองหลายกลุ่มเคยฝังโถบรรจุเถ้ากระดูกไว้ใต้พื้นบ้านของตน (ในปัจจุบันบางชุมชนยังคงปฏิบัติเช่นนี้อยู่) จีออร์เจีย โอลันดา นักโบราณคดีผู้นำการขุดค้นร่วมกับอามารัลกล่าว “บนโซเชียลมีเดีย หลายคนถามเราว่าต้นไม้สามารถงอกขึ้นมาทับโถพวกนี้ได้อย่างไร คำตอบก็คือ ต้นไม้น่าจะเพิ่งเริ่มโตหลังจากผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นจากไปแล้ว”

เมื่อเวลาผ่านไป รากของต้นไม้ก็ชอนไชลงไปในดิน และอาจเลื้อยเข้าไปในโถเพื่อดึงดูดสารอาหารที่อยู่ในกระดูกมนุษย์ โอลันดาอธิบายเสริม แม้จะยังไม่สามารถระบุอายุของต้นไม้ได้แน่ชัด แต่ขนาดของมันบ่งบอกถึงอายุหลายร้อยปี และทีมนักวิจัยก็เชื่อว่า โถฝังศพเหล่านั้นอาจมีอายุมากกว่านั้นไปอีก

แรงร่วมใจของชุมชนในการขุดค้น

แม้จะยังไม่สามารถระบุอายุและต้นกำเนิดของโถฝังศพได้อย่างแน่ชัด แต่ร่องรอยของกระดูกปลาและเต่าที่พบรอบเศษภาชนะบางชิ้น ก็สามารถเปิดประเด็นคำถามใหม่เกี่ยวกับปริศนานี้ได้ “เรายังต้องศึกษาต่อไปว่าเศษซากเหล่านี้คืออะไรและมันเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมบางอย่างหรือไม่” อามารัลกล่าว

นักวิจัยจากสถาบันมามิเราอากำลังอยู่ระหว่างการทำความสะอาดและขุดตะกอนภายในโถ ในขณะเดียวกันก็มีการหาทุนเพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ พวกเขาต้องการใช้วิธีการหาอายุด้วยคาร์บอน (carbon dating) กับชิ้นกระดูกและถ่านที่พบ เพื่อระบุอายุได้อย่างแม่นยำ
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าจะหาเงินทุนและความร่วมมือได้มากเพียงใด” โอลันดากล่าว

ถึงแม้ยังมีคำถามที่ยังไร้คำตอบ ทั้งอามารัลและโอลันดาก็เห็นตรงกันว่า หัวใจสำคัญที่สุดของการค้นพบครั้งนี้ คือการมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งของคนในชุมชน โดยเฉพาะชาวบ้านจากหมู่บ้านอารูมันดูบินญาและอารารา ซึ่งร่วมวางแผนในทุกขั้นตอนของการขุดค้น
“พวกเขาเป็นฝ่ายเรียกร้องให้เรามาดูเพราะอยากรู้ว่าวัตถุเหล่านี้คืออะไร ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา เราก็ไม่มีวันรู้ว่าโถเหล่านี้มีอยู่จริง” อามารัลกล่าว

ชาวบ้านช่วยกันสร้างโครงสร้างชั่วคราวเพื่อยกโถขึ้นโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายและยังเป็นผู้นำทางนักโบราณคดีในการเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการขุดค้น “หากไม่มีพวกเขา เรื่องทั้งหมดนี้คงไม่เกิดขึ้น” โอลันดากล่าว

เรื่อง Meghie Rodrigues

แปลและเรียบเรียง ญาณิศา ไชยคำ

โครงการสหกิจศึกษา กองบรรณาธิการ นิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย


อ่านเพิ่มเติม : พืช: ผู้สะท้อนสัญญาณของฤดูกาล ภัยธรรมชาติ และโลกร้อน

Recommend