“เป็นเวลากว่าหนึ่งศตวรรษที่ เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก
ได้ร่วมบันทึกการเติบโตของมหานครนิวยอร์ก
อันเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาแห่งนี้”
ในฤดูร้อนปี 1957 เรือ เมย์ฟลาวเวอร์ ลำจำลองแล่นเข้าสู่อ่าวนิวยอร์ก เรือที่ได้รับการขนานนามว่า เมย์ฟลาวเวอร์ 2 ลำนี้เพิ่งเสร็จสิ้นการเดินทางย้อนรอยเส้นทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของกลุ่มพิลกริมส์ (Pilgrims) เมื่อปี 1620 เพื่อก่อตั้งอาณานิคมในอเมริกา นครนิวยอร์กเฉลิมฉลองการมาถึงของเรือด้วยขบวนพาเหรดโปรยปรายด้วยกระดาษสี
เดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันนั้น เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ตีพิมพ์สารคดีที่เขียนโดยตัวกัปตันเรือเองว่าด้วยการเดินทางของ เมย์ฟลาวเวอร์ 2 พร้อมภาพถ่ายจำนวนมากจากการเดินทางข้ามมหาสมุทรและการมาถึงอย่างมีชัยในนครนิวยอร์ก (ซึ่งไม่ได้เป็นจุดแวะจอดในเส้นทางของเรือลำดั้งเดิมไปยังเมืองพลีมัท รัฐแมสซาชูเซตส์)
ขณะที่ในปีนี้ นครนิวยอร์กเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 400 ปีของการก่อตั้งเมืองซึ่งเริ่มจากการเป็นเมืองด่านหน้าของชาวดัตช์ในชื่อ นิวอัมสเตอร์ดัม เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก มองย้อนกลับไปยังการนำเสนอเรื่องราวของเมืองนี้ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา

สารคดีเรื่องแรกๆ เรื่องหนึ่งตอกย้ำเสน่ห์ดึงดูดของเมืองนี้ “ที่นี่มีชาวไอริชกับบรรดาลูกชายและลูกสาวมากกว่าในกรุงดับลิน มีชาวอิตาลีกับลูกหลานมากกว่าในกรุงโรม” ผู้เขียนบันทึกไว้ “แต่ความเย้ายวนของนิวยอร์กนั้นดึงดูดผู้คนทั้งในสหรัฐอเมริกาเองและจากโลกภายนอก… อันที่จริง นิวยอร์ก็คือไนแอการาแห่งวิถีชีวิตอเมริกัน… ดังนั้นสิ่งที่หลั่งไหลอยู่ในเมืองนี้ก็คือแม่น้ำอันไพศาลของมนุษยชาติผู้แสวงหาทะเลแห่งโอกาสในโลกไกลออกไป”
เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก มักนำพาผู้อ่านไปเห็นสถานที่ต่างๆ ในโลกที่พวกเขาอาจไม่มีวันได้ไปเยือน และในช่วงแรกๆของนิตยสาร การนำเสนอนี้ไม่ได้มีเพียงดินแดนไกลโพ้น แต่ยังรวมถึงมหานครนิวยอร์กที่เต็มไปด้วยสีสัน “คนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสท่องเที่ยวบ่อยๆ หรือเดินทางไกลๆ กันมากนัก” เคที ฮันเตอร์ เจ้าหน้าที่คลังข้อมูลอาวุโสของสมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก กล่าว ในแง่หนึ่ง ฮันเตอร์เสริม นิตยสารเล่มนี้จึงทำหน้าที่ “ลงทุนลงแรงค้นคว้าหาข้อมูลให้คุณ แล้วคัดเลือกภาพงามๆ ที่สุดมาให้คุณได้ยล”
สารคดีเรื่องแรกๆ เกี่ยวกับเมืองนี้ในนิตยสารมุ่งเน้นเน้นเรื่องสถาปัตยกรรม ผู้คน และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่เอื้อต่อการสร้างประสบการณ์การเดินทางผ่านการอ่านอยู่กับบ้าน
“ลองขึ้นไปบนดาดฟ้าโรงแรมสูงๆ สักแห่งหลังพระอาทิตย์ตก แล้วเฝ้ามองเมืองกลับมามีชีวิตอีกครั้ง” ผู้เขียนสารคดี ปี 1930 เรื่อง “ยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อว่านิวยอร์ก” พรรณนาไว้ “ด้วยแสงจากเหล่าดวงจันทร์ไฟฟ้า แสงสีสายรุ้ง และดาวหางติดตั้งอยู่กับที่ คุณจะเห็นแมนแฮตตันสว่างโชนขึ้นมาในยามโพล้เพล้กลายเป็นเมืองฉาบแสงสีงดงามดั่งโรงละคร”
กระนั้น ความต่อเนื่องอย่างหนึ่งในการรายงานของ เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ตลอดกว่าหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมาก็คือการเปลี่ยนแปลง ในสารคดีปี 2015 เรื่อง “โฉมใหม่นิวยอร์ก” พีต แฮมิลล์ นักเขียน ไตร่ตรองถึงช่วงเวลา 80 ปี ที่เขาใช้ชีวิตในเมืองนี้ และขอบฟ้าของเมืองที่แปรเปลี่ยนไป เขาเขียนไว้ว่า “พวกเราชาวนิวยอร์กรู้ดีว่า เราอาศัยอยู่ในเมืองที่เปี่ยมไปด้วยพลวัต เปลี่ยนแปลง วิวัฒน์ และสร้างสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา”

เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก นำเสนอสารคดีหลักเรื่องแรกเกี่ยวกับนครนิวยอร์กในฉบับกรกฎาคม ปี 1918 สารคดีเรื่อง “นิวยอร์ก – มหานครแห่งมนุษยชาติ” นี้ เผยให้ผู้อ่านได้เห็นภาพรวมของเมืองในช่วงเวลาที่เมืองกำลังผงาดขึ้นมามีความสำคัญระดับโลกในช่วงเดือนท้ายๆ ของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
“มหานครแห่งมนุษยชาติ” ตีพิมพ์ในช่วงเวลาที่ เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก กำลังเป็นที่รู้จักในฐานะสื่อเผยแพร่ภาพถ่ายถูกใจนักเดินทางอยู่กับบ้าน ฮันเตอร์กล่าว ผู้อ่านอาจทึ่งไปกับภาพฝูงชนขนาดใหญ่หน้าตึกตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ฉงนฉงายกับแถวรถติดยาวเหยียดบนถนนสายที่ 42 และดื่มด่ำกับทัศนียภาพของตึกวูลเวิร์ท ซึ่งด้วยความสูงเกือบ 242 เมตร เป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกในเวลานั้น
แล้วตึกรามเหล่านั้นก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ในสารคดีปี 1930 เรื่อง “ยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อว่านิวยอร์ก” ผู้อ่านได้เห็นตึกสูงที่สุดในโลกหลังใหม่ ซึ่งก็คือตึกไครส์เลอร์สูง 319 เมตรที่เปิดใช้ในต้นปีนั้น และยังได้เห็นภาพการก่อสร้างตึกเอ็มไพร์สเตตที่กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งโฆษณาว่าจะสูงใหญ่ยิ่งกว่า
เมื่อนครนิวยอร์กเป็นเจ้าภาพจัดงานเวิลด์แฟร์ครั้งแรกในเดือนเมษายน ปี 1939 นิตยสารฉบับเดือนนั้นออกมาพร้อมแผนที่แถมพิเศษในชื่อ “ขอบเขตนครนิวยอร์ก” ครั้งถัดไปเมื่องานเวิลด์แฟร์เวียนกลับมาอีกครั้งในปี 1964 สมาชิกนิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ก็ได้รับแผนที่รวมสองฉบับคือ “นิวยอร์กและปริมณฑล” และ “แมนแฮตตันฉบับนักท่องเที่ยว”

นิตยสารนี้เริ่มสำรวจพื้นที่ต่างๆ ของนครนิวยอร์กในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ในปี 1959 นิตยสารนำเสนอสารคดีว่าด้วยท่าเรือข้ามฟากสแตเทนไอแลนด์โดยขนานนามว่า รถเมล์ข้ามทะเลของนิวยอร์ก ตามมาด้วยสารคดีเกี่ยวกับย่านฮาร์เล็ม ในปี 1977 เขียนโดยแฟรงก์ เฮอร์คิวลิส นักเขียนผู้ถือกำเนิดในตรินิแดดและย้ายมาอยู่ย่านนั้นในทศวรรษ 1940 “การใช้ชีวิตในฮาร์เล็ม” เขาเขียน “บางครั้งก็เหมือนการได้ยินเสียงเพลงกล่อมให้แสวงหาความสำเร็จที่สวรรค์มักปฏิเสธและนรกมักดูแคลน กระนั้นความหวังก็ยังผุดขึ้นใหม่ทุกเช้า ไม่ว่าความสิ้นหวังเมื่อวานนี้จะหนักหนาเพียงใด”
ในปี 1960 และ 1993 นิตยสารนี้นำเสนอเรื่องราวของเซ็นทรัลพาร์ก เพื่อหักล้างคำเล่าลือเกี่ยวกับสวนสาธารณะอันโด่งดังแห่งนี้ว่าชุกชุมด้วยอาชญกรรม ซึ่งเป็นความเชื่อผิดๆ ที่มักทำให้นักท่องเที่ยวไม่กล้าไปเยือน สารคดีปี 1993 กล่าวโทษสื่อมวลชนที่มีบทบาทในการสืบทอดความเชื่อผิดๆ ดังกล่าว และบรรยายถึงสวนสาธารณะแห่งนี้ในฐานะ “โอเอซิสกลางเมือง”
เริ่มจากราวทศวรรษ 1970 แนวโน้มใหม่ปรากฏขึ้น กล่าวคือท่ามกลางการตื่นตัวของขบวนการสิ่งแวดล้อม นิตยสารเริ่มรายงานประเด็นปัญหาต่างๆ ที่คุ้นเคยกันดีในปัจจุบันมากขึ้น ฮันเตอร์กล่าวว่า สิ่งนี้สะท้อนถึงแนวทางการทำงานของกองบรรณาธิการที่เปลี่ยนไป
“ในยุคแรกๆ… นิตยสารไม่นำเสนอเรื่องราวที่ไม่น่ารื่นรมย์สักเท่าไร” เธอบอก

ในสารคดีเรื่อง “ฮัดสัน: ‘แม่น้ำสายนั้นฟื้นคืนชีพแล้ว’” กล่าวถึงระดับมลพิษร้ายแรงจากทศวรรษ 1960 ที่นำไปสู่ความพยายามของทั้งรัฐและรัฐบาลกลางในการฟื้นฟูแม่น้ำฮัดสันและเส้นทางน้ำอื่นๆ ในสหรัฐฯ พอถึงปี 1978 แม่น้ำฮัดสันก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ต่อมาในปี 1991 นิตยสารพูดถึงปัญหาเกี่ยวกับการกำจัดขยะในเมือง โดยเฉพาะลานฝังกลบขยะเฟรชคิลส์บนเกาะสแตเทนไอแลนด์ (หลายทศวรรษต่อมา นิวยอร์กกำลังพัฒนาแหล่งดังกล่าวให้กลายเป็นสวนสาธารณะเฟรชคิลส์พาร์ก)
สารคดีเรื่องอื่นๆ สะท้อนภาพเมืองที่ผู้อยู่อาศัยเผชิญภาวะวิกฤติ หนึ่งปีหลังเหตุการณ์ก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 กันยายน ปี 2001 เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ตีพิมพ์สารคดีที่นำเสนอเรื่องราวจากมุมมองบุคคลที่หนึ่งสองคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่รหัสไปรษณีย์ 10013 ซึ่งอยู่ติดกับตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ สองทศวรรษต่อมา ในเดือนสิงหาคม ปี 2020 นิตยสารเผยแพร่ภาพถ่ายของนครนิวยอร์กที่เงียบเหงาลงอย่างเห็นได้ชัดท่ามกลางการระบาดของโควิด 19 เมื่อทั้งชาวเมืองและนักท่องเที่ยวต่างเก็บตัวอยู่ในเคหสถาน

ตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งศตวรรษ เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ถ่ายทอดเรื่องราวของนครนิวยอร์กไม่เพียงในฐานะสถานที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้มาเยือน แต่รวมถึงสถานที่มีอยู่จริงที่ผู้คนจริงๆ เรียกว่าบ้าน ในสารคดีหวนรำลึกถึงชีวิตหลายทศวรรษในฐานะชาวนิวยอร์กของพีต แฮมิลส์ เมื่อปี 2015 เขาบรรยายถึงครั้งแรกที่เข้าไปเยี่ยมชมภายในตึกวันเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (One World Trade Center) ที่สร้างขึ้นบนพื้นที่เดิมของตึกแฝด ซึ่งเขาเห็นการถล่มลงมาด้วยตาตนเอง
“ผมเข้าไปชิดหน้าต่างมากขึ้นแล้วมองลงไป” เขาเขียน “นั่นไง ตึกวูลเวิร์ท ตึกโปรดของผม มันยังอยู่ดีกำลังเปลี่ยนสีในแสงอาทิตย์โรยรา”
เรื่อง เบกกี ลิตเติล
แปล อัครมุนี วรรณประไพ