กรณีฟิล์มโกดัก
รถยนต์ไฟฟ้ารุ่น นิว โมเดล ทรีของเทสลา มีราคา 35,000 ดอลล่าร์สหรัฐ สามารถวิ่งได้ไกล 354 กิโลเมตร เมื่อชาร์จไฟเต็มที่ ซึ่ง Cherif กล่าวว่า นี่อาจเป็นเกณฑ์ของรถยนต์ไฟฟ้า ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน ปี 2016 ผู้คนจำนวน 400,000 คน วางเงินมัดจำจำนวน 1,000 ดอลล่าร์สหรัฐ ในการสั่งจองรถยนต์รุ่นนี้ ตัวรถยนต์ยังไม่ถูกผลิตสู่ตลาดเป็นวงกว้างและเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รถยนต์รุ่นนี้จำนวน 100 คันแรก เพิ่งจะถูกผลิตออกมา
สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 4 เดือนของปี 2016 ของบริษัทผลิตรถยนต์และโรงงานผลิตน้ำมันดูคล้ายคลึงกับ “กรณีโกดัก” บริษัทโกดักผู้ผลิตฟิล์มถ่ายภาพเคยเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก จนกระทั่งเมื่อเทคโนโลยีการถ่ายภาพดิจิตอลเกิดขึ้นในปี 1975 สุดท้ายบริษัทล้มละลายให้กับเทคโนโลยีใหม่นี้ในปี 2010
ด้วยความกลัวว่าจะตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับโกดัก นั่นทำให้ผู้ผลิตรถยนต์หลายค่ายพากันกระโดดลงมาในสนามแข่งขันของรถยนต์ไฟฟ้านี้ บริษัทวอลโว่ จากสวีเดน ตั้งเป้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไฮบริดหรือชาร์จไฟเต็มรูปแบบภายในปี 2019 บริษัทจากัวร์ แลนด์โรเวอร์ ตั้งเป้าเดียวกันในปี 2020 ส่วนโฟล์กสวาเกนเตรียมเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าในปี 2025 หรือแม้กระทั่งเจมส์ บอนด์ เองก็จะขับรถยนต์ไฟฟ้าของแอสตัน มาร์ติน ให้ได้เห็นกันในปี 2019 เช่นกัน
ด้านรัฐบาลเองก็ร่วมมือด้วย ประเทศนอร์เวย์เตรียมแบนการขายรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในปี 2025 นี้ รัฐบาลสหราชอาณาจักร, เนเธอร์แลนด์และฝรั่งเศสเองให้คำมั่นเป้าหมายเดียวกันในปี 2040 ส่วนเยอรมนี บ้านเกิดของรถโฟล์กสวาเกน, เมอร์เซเดส เบนซ์และปอร์เช่ กำลังเตรียมพิจารณาประเด็นนี้อยู่เช่นกัน
ประเทศจีนประกาศแบนการขายเชื้อเพลิงน้ำมันและแก๊สแก่รถยนต์ แม้ยังไม่ได้กำหนดเวลาก็ตาม ทั้งนี้จีนเป็นตลาดรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยปริมาณ 20 ล้านคันต่อปี ปัจจุบันมีรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 40 แบบแล้วที่ถูกผลิตขึ้นในประเทศจีน
เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Piyush Goyal รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของอินเดียคาดการณ์กับเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิกว่า รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบจะเริ่มวางจำหน่ายในอินเดียภายในปี 2030 นี้ แม้ว่าจะปราศจากข้อจำกัดจากรัฐบาลก็ตาม เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้านั้นสะอาดกว่า เงียบกว่า ใช้งานได้นาน และจะประหยัดมากกว่า
ในจีน อินเดีย และยุโรปตะวันตกมีมลพิษในอากาศเป็นแรงกระตุ้นไปสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า Albert Cheung นักวิเคราะห์จากบลูมเบิร์ก มองว่าหากรัฐบาลแสดงความมุ่งมั่นในการต่อสู้กับมลพิษทางอากาศน้อยลง ก็จะส่งผลให้การเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าเป็นไปอย่างช้าลงด้วย เพราะราคาพลังงานแก๊สที่ถูกประกอบกับการขาดการลงทุนสถานีชาร์จเป็นปัจจัยสำคัญ
แต่ในที่สุดแล้ว Cheung กล่าวว่า “มันเป็นเรื่องยากที่จะหยุดการมาถึงของรถยนต์ไฟฟ้า”
การปฏิวัติไปสู่ความเป็นอัตโนมัติ
Tony Seba นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ผลักวิสัยทัศน์ของรถยนต์ไฟฟ้าให้ก้าวไปอีกขั้น เขาระบุว่า ไม่ใช่แค่รถยนต์ไฟฟ้าจะมาถึงในปี 2020 นี้เท่านั้น แต่มันยังจะเป็นรถยนต์ไร้คนขับอีกด้วย ผลการศึกษาจาก “พิจารณาการขนส่งใหม่ในปี 2020 – 2030” Seba และผู้ร่วมงานของเขาจาก RethinkX กล่าวว่า 95% ของรถยนต์โดยสารจะเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไร้คนขับ ในปี 2030
มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน? หนึ่ง Seba ตั้งข้อสังเกตว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาถูกกว่ารถยนต์ในทุกวันนี้ เนื่องจากราคาของแบตเตอรี่ที่ถูกลง และปัจจัยสำคัญมาจากการผลิตและการดูแลรักษาที่ง่ายดายกว่า โดยชิ้นส่วนภายในมีเพียงแค่ 20 ส่วนเท่านั้น “ทุกวันนี้รถยนต์ไฟฟ้าเดินทางได้ไกลกว่า 200,000 ไมล์ และที่พวกเขาต้องการก็แค่เปลี่ยนยางล้อรถใหม่เท่านั้น” Seba กล่าว โดยรถยนต์รุ่นหนึ่งของเทสลาสามารถวิ่งได้ไกลถึง 500,000 ไมล์ ด้วยแบตเตอรี่อันเดิม
สอง ในอนาคตส่วนใหญ่ของยานพาหนะจะไม่ได้มีเจ้าของเป็นคน แต่เป็นบริษัทขนส่ง การเปลี่ยนจากรถยนต์ธรรมดาไปสู่รถยนต์ไร้คนขับจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก โดยเฉพาะกับธุรกิจอย่าง UPS, FedEx, Uber และ Lyft ทุกวันนี้บรรดายานยนต์ไร้คนขับทั้งรถยนต์ขนส่งและรถยนต์สาธารณะกำลังถูกนำมาทดสอบในเมืองพิตต์สเบิร์ก, ฟีนิกซ์ และบอสตัน รวมถึงในสิงคโปร์, ดูไบ และเมืองอู่เจิ้นของจีน
ราคาคือปัจจัยหลักที่จะผลักให้ชาวอเมริกันละทิ้งการขับรถ Seba กล่าว รถยนต์ไฟฟ้าช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 4 เท่า แถมยังถูกกว่าการใช้เชื้อเพลิง แต่รถยนต์ไร้คนขับดียิ่งกว่า จากผลสำรวจโดยสมาคมรถยนต์ AAA เจ้าของรถยนต์ส่วนบุคคลเสียค่าใช้จ่ายราว 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐต่อปี สำหรับการขับเป็นระยะทาง 15,000 ไมล์ และส่วนใหญ่แล้ว 95% ของเวลาทั้งหมด รถยนต์ถูกจอดไว้เฉยๆ
ในมุมมองของ Seba จะมีรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 200 ล้านคันบนท้องถนนอเมริกันในปี 2030 ในจำนวนนี้หลายล้านคันจะเป็นรถยนต์ไร้คนขับ ที่ใครก็ตามก็สามารถใช้บริการได้เพียงแค่กดปุ่มเท่านั้น รถยนต์ไร้คนขับจะพาพวกเขาไปที่ไหนก็ได้ตามต้องการในราคาไม่กี่เพนนีต่อไมล์
“แทนที่จะใช้จ่ายเงิน 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐต่อปี สำหรับการขนส่งทางถนน แต่ละครอบครัวสามารถปรับลดค่าใช้จ่ายลงเหลือเพียง 1,000 ดอลล่าร์สหรัฐต่อปีได้” Seba กล่าว “ไม่มีเหตุผลที่คุณต้องเป็นเจ้าของรถ ในเมื่อการเรียกใช้รถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับมันถูกขนาดนั้น”
ว่าแต่จะยังมีเหตุผลอยู่หรือไม่ หากรถยนต์เกี่ยวข้องกับความรู้สึก? อย่าลืมว่ารถยนต์เป็นส่วนหนึ่งของภาพลักษณ์ชาวอเมริกัน ในปัจจุบันยังเป็นอยู่หรือไม่แต่ที่แน่ๆ ในอดีตรถม้าถูกใช้ในการบอกสถานะของเจ้าของมาแล้ว
โดย สตีเฟน เลฮีย์
อ่านเพิ่มเติม