การลักลอบค้ามนุษย์ หรือ โสเภณีเพื่อใช้แรงงานทางเพศ เป็นภัยคุกคามร้ายแรงทั่วโลกที่ล่อลวงกักขังเด็กนับล้าน นี่คือเรื่องราวของเด็กสาวสองคนที่ถูกบังคับให้ค้าประเวณี คนหนึ่งมาจากอินเดีย อีกคนจากบังกลาเทศ
ก่อนถูกขายเข้าซ่องเดียวกัน ซาย์อีดาและอันจาลีคือเด็กวัยรุ่นทั่วๆ ไปที่เติบโตในสภาพคล้ายคลึงกัน แต่อยู่ห่างกันไม่กี่ร้อยกิโลเมตร ซาย์อีดาอยู่ในเมืองขุลนา ประเทศบังกลาเทศ ส่วนอันจาลีอยู่ที่เมืองสิลิคุรี รัฐเบงกอลตะวันตกของอินเดีย
พวกเธอฟูมฟักความมุ่งมาดปรารถนาแบบเดียวกับวัยรุ่นทุกแห่งหน นั่นคือเป็นอิสระจากอ้อมอกพ่อแม่แสวงหาความรัก และเริ่มใช้ชีวิตตามความฝัน ทั้งคู่ยังอ่อนต่อโลกและคงไม่อาจคาดคิดถึงความโหดร้ายทารุณที่รออยู่ข้างหน้าได้
ซาย์อีดาเติบโตในบ้านขนาดสองห้องหลังเล็กตั้งอยู่ในย่านเสื่อมโทรม เธอใช้เวลาส่วนใหญ่ในวัยเด็กตามลำพังแม่ของเธอจะตื่นแต่เช้าและออกจากบ้านไปทั้งวันเพื่อรับจ้างทำความสะอาดร้านรวงต่าง ๆ ในนิวมาร์เก็ต ซึ่งเป็นย่านการค้าในขุลนา พ่อของซาย์อีดาเป็นคนขับสามล้อรับส่งผู้โดยสารแลกกับค่าจ้างน้อยนิด ความที่เป็นเด็กเรียนไม่เก่ง ซาย์อีดาจึงออกจากโรงเรียนตั้งแต่ก่อนย่างเข้าวัยรุ่น
ซาย์อีดาเป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวย ใบหน้าคมคายสมส่วน ดวงตาเรียวยาว และชอบแต่งหน้า เธอเริ่มไปช่วยงานที่ร้านเสริมสวย เรียนรู้เกี่ยวกับทรงผมต่างๆ การบำรุงผิวพรรณ และเครื่องสำอาง ด้วยห่วงว่าจะมีเด็กหนุ่ม ๆ มาวอแวลูกสาว พ่อแม่จึงจัดการให้เธอแต่งงานตอนอายุ 13 ประเพณีการคลุมถุงชนในเด็กพบได้ทั่วไปแม้จะผิดกฎหมายในพื้นที่ส่วนใหญ่ของเอเชียใต้ก็ตาม ปรากฏว่าสามีที่พ่อแม่เลือกให้เป็นคนโหดร้าย ซาย์อีดาจึงกลับมาอยู่กับครอบครัวตามเดิม
เมื่อกลับมาอยู่บ้านอีกครั้ง ซาย์อีดาอ้อนวอนขอแม่สมัครเข้าเรียนที่สถาบันสอนเต้นรำแห่งหนึ่ง “หนูจะได้ไปแสดงตามงานต่าง ๆ จะได้มีรายได้บ้าง” เธอว่า แม่เธอใจอ่อนยอมตาม แล้วซาย์อีดาก็เริ่มไปเต้นตามงานแต่งและงานอื่น ๆ ช่วงนี้เองที่ซาย์อีดาเริ่มรักใคร่ชอบพอกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เคยไปที่โรงเรียนเต้นรำของเธอ เขาบอกเธอว่าจะพาไปอินเดียซึ่งเธอจะหาเงินได้เยอะกว่ามากในฐานะนักเต้น ซาย์อีดาผู้นึกภาพอนาคตอันสดใสตัดสินใจหนีตามเขาไป
อันจาลี เด็กสาวผู้งามสง่า เจ้าของดวงตาสดใสและโหนกแก้มสูง อยากหนีออกจากบ้านด้วยเหตุผลคล้ายกัน ครอบครัวเธออาศัยอยู่ในบ้านพักชั่วคราวในสลัม แม่ที่ทำงานเป็นแม่บ้านเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเลี้ยงดูลูก ๆ อันจาลีกับน้องสาวขัดสนถึงขนาดทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงอุปกรณ์การเรียนไม่กี่ชิ้นที่พอจะมีปัญญาซื้อหามาได้ เธอต้องออกจากโรงเรียนตอนอายุ 13 ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กจำนวนมากที่มาจากครอบครัวยากจนทั่วอินเดีย
เธอเริ่มทำงานบรรจุขนมที่โรงงานแห่งหนึ่ง ที่โรงงานนี่เอง อันจาลีรู้จักกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่มาจีบ เธอรู้ว่าแม่กำลังมองหาว่าที่เจ้าบ่าวให้ แต่เธอตัดสินใจว่าต้องการอยู่กับชายคนที่รู้สึกชอบพอ ดังนั้น คืนหนึ่งในเดือนตุลาคม ปี 2016 ระหว่างเทศกาลทุรคาบูชาของชาวฮินดู อันจาลีไปพบกับแฟนตามนัดที่สถานีรถไฟ เธอต้องแปลกใจที่เขามากับชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง แต่เธอก็ขึ้นรถไฟไปโกลกาตากับพวกเขา
**********************
ในบรรดาความเลวทรามทั้งปวงซึ่งสร้างความเจ็บปวดแก่มนุษยชาติ สิ่งที่น่าสะเทือนขวัญที่สุดอย่างหนึ่ง คือการกักขังหน่วงเหนี่ยวเด็กเป็นทาสเพื่อสนองความพึงพอใจทางเพศ
รายงานสถานการณ์โลกว่าด้วยการค้ามนุษย์ฉบับล่าสุดที่จัดทำโดยสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime) พบว่า จำนวนเหยื่อการค้ามนุษย์ที่ประเทศต่างๆ รายงาน เพิ่มจากน้อยกว่า 15,000 รายเมื่อปี 2010 เป็น 25,000 รายในปี 2016 สถิตินี้เป็นเพียงเศษเสี้ยว หนึ่งของจำนวนเหยื่อที่แท้จริงซึ่งส่วนใหญ่มักเล็ดลอดการตรวจจับ จำนวนที่สูงขึ้นนี้อาจสะท้อนถึงการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพขึ้น แต่นักวิจัยเชื่อว่าน่าจะสะท้อนความจริงที่เลวร้ายกว่าเดิม นั่นคือการค้ามนุษย์ รวมทั้งการค้าเด็กเพื่อขายบริการทางเพศ กำลังเพิ่มขึ้น
“นี่เป็นอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วครับ” ลูอิส เชลลีย์ ศาสตราจารย์สาขานโยบายสาธารณะที่มหาวิทยาลัยจอร์จเมสัน ผู้เขียนหนังสือ Human Trafficking: A Global Perspective (การค้ามนุษย์: มุมมองระดับสากล) กล่าว
การค้าเด็กเพื่อเป็นแรงงานทางเพศเป็นภัยร้ายที่แทบไม่มีประเทศใดรอดพ้นไปได้ แต่บางพื้นที่ของโลกขยับขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของการค้าผิดกฎหมายประเภทนี้ พื้นที่หนึ่งที่ถูกยํ่ายีสาหัสเป็นพิเศษ คือภูมิภาคที่ซาย์อีดาและอันจาลีเติบโตขึ้นมา นั่นคือรัฐเบงกอลตะวันตกของอินเดียและประเทศบังกลาเทศที่อยู่ติดกัน ดินแดนสองผืนที่ถูกกั้นแบ่งโดยเส้นพรมแดนระหว่างประเทศยาว 2,250 กิโลเมตร แต่เชื่อมโยงด้วยมรดกทางภาษาและวัฒนธรรมเดียวกันนี้ต่างประสบเคราะห์กรรมที่เด็กผู้หญิงถูกขายเป็นทาสกามปีละหลายพันคน
วันที่ซาย์อีดาออกจากบ้าน เด็กหนุ่มที่เธอหนีตามพาเธอขึ้นรถประจำทางไปยังเมืองเล็กๆ ใกล้กับชายแดนอินเดียทั้งสองไปถึงตอนกลางคืน แล้วเดินตัดป่าไปจนถึงริมฝั่งแม่นํ้า ฝ่ายแฟนหนุ่มจ่ายสินบนให้ตำรวจคนหนึ่ง จากนั้นทั้งคู่ก็ลงเรือข้ามไปอีกฝั่ง พวกเขาอยู่ในอินเดียแล้ว
ทั้งคู่พักอยู่ในบ้านหลังหนึ่งใกล้แม่นํ้า ที่นั่น ซาย์อีดาเจอเด็กสาวอีกคนที่ถูกพาข้ามมาจากบังกลาเทศเช่นกัน ซึ่งทำให้เธอเริ่มระแคะระคาย ซาย์อีดาเผชิญหน้ากับแฟนหนุ่ม เขาบอกว่าเธอต้องไปทำงานที่ซ่องแห่งหนึ่ง เมื่อเธอปฏิเสธ เขาบอกว่า “ฉันจะฆ่าแกแล้วทิ้งศพลงในแม่นํ้า”
เด็กหนุ่มคนนั้นขายซาย์อีดาให้ซ่องแห่งหนึ่งในมหิศาดัล ย่านชานเมืองของฮัลเดียซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมและท่าเรือหลักริมฝั่งแม่นํ้าในรัฐเบงกอลตะวันตก ห่างจากโกลกาตาไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 60 กิโลเมตร เด็กสาว 12 คนที่ถูกกักขังในซ่องดังกล่าวพูดคุยกับผม ในจำนวนนี้มีซาย์อีดาและอันจาลีรวมอยู่ด้วย เรื่องราวต่อไปนี้เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์เหล่านั้น
ซาย์อีดาอยู่ที่นั่นได้สองปีแล้ว เมื่ออันจาลีซึ่งตอนนั้นอายุ 16 ปี ถูกขายเข้าซ่องเดียวกัน ผู้ชายที่อันจาลีหวังจะแต่งงานด้วยกับเด็กหนุ่มอีกคนพาเธอไปที่มหิศาดัล ชายคนที่มากับแฟนของเธอบอกให้เธออาบนํ้า แต่งหน้า แต่งตัวให้ดูดี โดยอ้างว่า จะพาไปเจอใครคนหนึ่งในคืนนั้น
พอเข้าไปในห้องเปิดไฟสลัวห้องหนึ่ง เธอเริ่มรู้สึกกังวล “ที่นี่ที่ไหน” เธอถาม พวกเขาบอกว่าเป็นโรงแรมและเธอจะต้องทำงานที่นี่ “งานแบบไหนกัน” อันจาลีถาม เริ่มตื่นตระหนก พอพวกเขาอธิบายให้ฟัง นํ้าตาเธอก็เอ่อท้นขึ้นมา
ลูกค้าแวะเวียนมาทั้งวันทั้งคืน เด็ก ๆ ต้องรับแขกอาจมากถึงวันละ 20 ครั้ง พวกเธอกินยาแก้ปวดเพื่อให้ทนต่อความทุกข์ทรมานทางกายได้ แต่ไม่อาจหลีกหนีจากความเจ็บปวดทางอารมณ์ “เราจะรู้สึกละอายมาก” อันจาลีบอก “เวลารับแขกผู้ชายอายุรุ่นราวคราวพ่อหรือแก่กว่าเสียอีก”
ความผูกพันที่เกิดจากการร่วมชะตากรรมความบอบชํ้าทั้งการถูกขายเข้าซ่องและความน่าสะพรึงรายวันของชีวิตอันโหดร้าย ทำให้พวกเธอพึ่งพาให้กำลังใจกัน อันจาลีซึ่งเป็นเด็กเงียบๆ และขี้อาย แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับซาย์อีดา ซึ่งพอเมาแล้วจะห้าวมากจนถึงกับเตะลูกค้าในบางครั้ง แต่ทั้งๆ ที่มีบุคลิกนิสัยตรงข้ามกันหรืออาจเป็นเพราะเหตุนี้ก็เป็นได้ ทั้งสองจึงกลายเป็นเพื่อนกัน
นานๆ ทีจะมีตำรวจมาบุกตรวจค้นบ้าง แต่เด็ก ๆ เล่าว่า ภักตากับลูกน้องดูเหมือนจะได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าเสมอพวกเขาจะรีบต้อนเด็ก ๆ ออกไปทางหลังซ่องก่อนตำรวจจะมาถึง แต่บ่ายวันหนึ่งเมื่อเดือนเมษายน ปี 2017 ทีมตำรวจบุกเข้าตรวจค้นซ่องแห่งนี้กับอีกเจ้าที่อยู่ติดกันโดยที่ภักตาไม่รู้ตัว ตำรวจจับกุมเขากับคนอื่นๆ อีก 12 คนตามกฎหมายห้ามการค้ามนุษย์และการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็ก อันจาลีกับซาย์อีดาพร้อมกับเด็กหญิงและผู้หญิงอีก 18 คนได้รับการช่วยเหลือ พวกเธอเป็นอิสระแล้วก็จริงแต่ยังไม่สามารถกลับบ้านได้
ซาย์อีดากับอันจาลีอายุ 17 ปีแล้วตอนผมเจอพวกเธอที่บ้านเสน่หา ซึ่งเป็นสถานพักพิงดำเนินการโดยองค์กรสันลาปในนเรนทรปุระ เขตชานเมืองแห่งหนึ่งของโกลกาตา
เด็กสาวทั้งสองเล่าถึงความน่าพรั่นพรึงที่ประสบมาอย่างเฉยชาจนผมรู้สึกกลัว ผมไม่รู้จะขอให้เธอบรรยายความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการล่วงละเมิดได้อย่างไร จึงถามซาย์อีดาว่า เธอร้องไห้มากแค่ไหนในช่วงสามปีที่ถูกขังเป็นทาสกามแล้วก็ตระหนักได้ทันทีที่พูดออกไปว่า มันฟังดูตื้นเขินเพียงใด “อ๋อ หนูร้องไห้แล้วร้องไห้อีก นี่เรายังร้องไห้ได้อีกมากแค่ไหนนะ” เธอตอบด้วยนํ้าเสียงยอมจำนนที่ผมไม่เคยได้ยินจากปากคนอายุน้อยเท่านี้มาก่อน นํ้าตาทั้งหมดของเธอไม่มีวันถ่ายทอดความโศกเศร้าอันลึกลํ้าได้เลย
ผมถามพวกเธอว่า จะทำอะไรเมื่อได้กลับบ้าน อันจาลีตอบว่าไม่แน่ใจ
“เธอจะตกหลุมรักใครอีกไหม” ซาย์อีดาถามกลั้วเสียงหัวเราะ
“ไม่ ฉันจะไม่รักใครอีกแล้ว” อันจาลีตอบ
ซาย์อีดาตอบว่าเธอจะลองไปของานที่ร้านเสริมสวยที่เธอเคยไปทำ “หนูจะไม่กลับไปเต้นรำแล้วค่ะ”
**********************
สองสามเดือนหลังจากผมไปเยือนบ้านเสน่หา ซาย์อีดาเริ่มมีอาการปวดท้องรุนแรง เจ้าหน้าที่บ้านเสน่หารีบพาเธอส่งโรงพยาบาล เธอเสียชีวิตไม่กี่ชั่วโมงต่อมา แพทย์เชื่อว่าการเสียชีวิตของซาย์อีดาเกิดจากภาวะตับล้มเหลว ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าเกิดจากการดื่มหนักของเธอ
เดือนพฤศจิกายน ปี 2018 ผมเดินทางไปขุลนากับช่างภาพ สมิตา ศาร์มะ เพื่อไปเยี่ยมครอบครัวของซาย์อีดา แม่ของซาย์อีดาเดินนำพวกเราตามทางลูกรังไปยังบ้านที่ซาย์อีดาเติบโต พ่อของเธอกล่าวทักทายเราอย่างอ่อนระโหย เนื่องจากห้องด้านนอกไม่มีเฟอร์นิเจอร์ ทั้งสองจึงเชื้อเชิญเราเข้าไปในห้องนอนของพวกเขา
ตอนแม่ของซาย์อีดาบรรยายว่า ลูกสาวของเธอชื่นชอบการร้องเพลงและเต้นรำมากเพียงใด ผมให้เธอดูภาพที่ซาย์อีดากับอันจาลีและเด็กคนอื่น ๆ ถ่ายด้วยกันหลังการแสดงเต้นของพวกเธอ
ผู้เป็นแม่มองภาพถ่ายครู่หนึ่งแล้วเริ่มร้องไห้ “ลูกสาวฉันมีหัวใจที่ช่างใสซื่อ ช่างไร้เดียงสา” เธอเอ่ยพลางปาดนํ้าตา “เพราะเหตุนี้ละค่ะฉันจึงสูญเสียแกไป”
ส่วนพ่อของเธอไม่ปริปากพูดสักคำตลอดบ่ายนั้น เมื่อผมกลับไปอีกครั้งในวันรุ่งขึ้นเพื่ออำลา เขาจึงพูดในที่สุดเขาบอกว่าตั้งแต่ซาย์อีดาจากไป เขากลายเป็นคนไร้จุดหมายไม่กินข้าว ไม่อาบนํ้าบ่อย ๆ นั่งข้างถนนอยู่นาน ๆ จมจ่อมอยู่กับความเศร้าเสียใจ แทนที่จะถีบสามล้อรับส่งผู้โดยสาร
“ลูกสาวผมเป็นโลกทั้งใบของผม” เขาบอกผม “แกเคยเป็นเด็กที่มีความสุขตลอดเวลา และทำให้คนอื่นมีความสุขแต่ตอนนี้แกไม่อยู่แล้ว”
หลังจากอยู่ที่สถานพักพิงได้ปีครึ่ง ในที่สุด อันจาลีก็ได้กลับบ้านไปอยู่กับแม่ที่สิลิคุรี แล้วเริ่มทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่ง ตอนผมแวะไปเยี่ยมเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2019 อันจาลีซึ่งตอนนั้นอายุ 19 ปี กำลังช่วยแม่ทำงานบ้านอยู่
“แม่ไม่ยอมให้หนูออกไปไหนเลย!” อันจาลีโอดครวญ
“ฉันบอกลูกว่า นั่งเฉย ๆ อยู่กับบ้านนี่แหละ เล่นโทรศัพท์ไป” ผู้เป็นแม่บอก “อย่าเลือกทางเดินผิดอีกเป็นอันขาด”
ผมถามไปว่าเธอหมายความว่าอย่างไร อันจาลีเป็นเหยื่อมิใช่หรือ ผิดหรือที่มีความรัก
“ใช่ค่ะ ฉันรู้ว่าแกมีความรัก แต่ใครจะรู้ได้ว่าไอ้เด็กหนุ่มนั่นมันมีจุดประสงค์ชั่วร้ายแบบนั้น” แม่เธอว่า “ฉันหมายถึงว่าแกตกเป็นเหยื่อได้ง่ายน่ะค่ะ แกยังเด็กมาก อาจจะถูกล่อลวงโดยเด็กหนุ่มคนใหม่ที่อาจสัญญาว่าจะแต่งงานกับแก เหมือนที่เกิดขึ้นมาแล้ว”
อันจาลีแทรกขึ้นมาว่า “หนูไม่รักใครอีกแล้ว” เธอพูดด้วยนํ้าเสียงเด็ดขาด
อันจาลียิ้มยียวนใส่แม่ แต่ถึงจะรำคาญ เธอก็รู้ว่าตัวเองโชคดีกว่ามาก เมื่อเทียบกับเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์จำนวนมากที่ครอบครัวไม่อยากให้กลับบ้าน เพราะกลัวญาติและเพื่อนบ้านดูถูก การดิ้นรนต่อสู้เพื่อสร้างชีวิตใหม่ของอันจาลียังห่างไกลจากจุดหมาย
กระนั้น การได้เห็นแรงสนับสนุนจากครอบครัวเธอ รวมทั้งความมุ่งมั่นเงียบๆ ของเธอเอง ทำให้ผมจากมาอย่างมีความหวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะได้พบกับอิสรภาพที่แสวงหา
เรื่อง ยุทธิจิต ภัตตาจาร์จิ
ภาพถ่าย สมิตา ศาร์มะ
สามารถติดตามเรื่องราวฉบับสมบูรณ์ได้ที่นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย เดือนตุลาคม 2563
สามารถสั่งซื้อได้ที่ https://www.naiin.com/category?magazineHeadCode=NG&product_type_id=2