พื้นที่อันแสนซับซ้อนของ พระราชวังต้องห้าม อันยิ่งใหญ่ สวนที่อุดมสมบูรณ์ และพลับพลาศักดิ์สิทธิ์นานับล้วนเป็นพื้นที่หวงห้ามมิให้เหล่าพสกนิกรของจักรวรรดิเข้าถึง ทำได้เพียงจินตนาการถึงความอลังการหลังประตูทางเข้าพระราชวังเท่านั้น
ณ ใจกลางกรุงปักกิ่งในยุคสมัยใหม่เป็นที่ตั้งของเขตราชวังที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใหญ่เพียงพอที่จะจุพระราชวังบักกิงแฮมได้ถึง 50 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 720,000 ตารางเมตร พระราชวังนี้เป็นที่รู้จักในนาม “พระราชวังต้องห้าม ” (the Forbidden City) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของจักวรรดิจีนทั้งในเชิงสัญลักษณ์และการเมืองระหว่างปี 1420 ถึง 1912 ชื่อเล่น “ต้องห้าม” ของพระราชวังแห่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าพลเมืองส่วนใหญ่ของราชอาณาจักรไม่ได้รับอนุญาตให้ย่างกรายเข้าไปในพระราชวังแห่งนี้
ในพื้นที่อันซับซ้อนแห่งนี้เต็มไปด้วยพระตำหนัก สวน เขตพระราชฐานและพื้นที่อยู่อาศัยมากมาย สร้างขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดิหย่งเล่อ ผู้ปกครองคนที่สามในราชวงศ์หมิง (ครองราชย์ ค.ศ. 1403-1424) พระองค์ประกาศตนขึ้นครองราชย์และรวมอำนาจเข้ามาอยู่ในปักกิ่ง ย้ายเมืองหลวงจากหนานจิงมาเป็นระยะทาง เกือบ 1,000 กิโลเมตร ในปี ค.ศ. 1403 มีข้อมูลว่าต้องใช้ช่างฝีมือนับแสนคนและคนงานอีกกว่าล้านคนเพื่อที่จะสร้าง พระราชวังต้องห้าม ในกรุงปักกิ่งนี้ในช่วงปี ค.ศ. 1406 ถึง 1420 ในสถานที่ที่กุบไลข่าน (Kublai Khan) เคยสร้างพระราชวังอันมีชื่อเสียงของตนไว้
ชื่อพระราชวังต้องห้ามในภาษาจีนคือ จื่อจินเฉิง มีความหมายตามตัวอักษรว่า “เมืองต้องห้ามสีม่วง” สีม่วง ถือเป็นสีมงคลในวัฒนธรรมจีนและเป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์และความอมตะเช่นเดียวกับดาวเหนือ พระราชวังต้องห้ามแห่งนี้เป็นที่พำนักของผู้ปกครองราชวงศ์จีนมาทั้งหมด 24 รัชสมัย ผู้ปกครอง 14 คนอยู่ในสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644) และ 10 คนในสมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1644-1911) เมื่อเหล่าจักพรรดิชาวแมนจูล้มอำนาจราชวงศ์หมิงแล้วขึ้นครองราชย์ ได้มีการต่อเติมโครงสร้างใหม่ ๆ และสวนเข้าไป แต่ส่วนสำคัญต่าง ๆ ที่เหลือยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่ได้ลดทอนลงไป
พระราชวังต้องห้ามสร้างในพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตร กว้างเกือบหนึ่งกิโลเมตร กำแพงชั้นนอกสูงกว่า 7.6 เมตร ล้อมรอบไปด้วยคูน้ำและแม่น้ำสีทองอันเป็นแหล่งน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น การจัดตำแหน่งสิ่งต่าง ๆ เป็นไปตามหลัก ฮวงจุ้ย (ศิลปะการวางสิ่งของและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมพลังบวก) พระราชวังตั้งเป็นแนวเหนือใต้และมีความสมมาตรเพื่อเป็นการจำลองความสมดุลของจักรวาล ตามประเพณีดั้งเดิมกล่าวไว้ว่าพระราชวังนี้ออกแบบให้มีทั้งหมด 9,999.5 ห้อง เพราะมีเพียง อาทิวิสุทธิ์เทพ หรือ หยวนสื่อเทียนจุ้น เท่านั้นที่จะสามารถเพลิดเพลินไปกับเลข 10,000 ได้ อย่างก็ไรดี เลข 9,999 นั้นถือว่าเป็นเลขมงคลในวัฒนธรรมจีน มีความเกี่ยงโยงกับจักรพรรดิและออกเสียงเหมือนกับคำภาษาจีนที่แปลว่า “นิรันดร์”
พระราชวังต้องห้ามในปัจจุบัน
แม้จะผ่านความท้าทายมาหลายศตรวรรษ ตั้งแต่ความวุ่นวายทางการเมืองอันรุนแรง สงครามแสนโหดร้ายไปจนถึงมหาอัคคีภัย พระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ยังคงยืนหยัดอยู่ หลังจากการล่มสลายของราชวงชิง จักรพรรดิผู่อี๋ จักรพรรดิองค์สุดท้ายอาศัยอยู่ในพระราชวังต้องห้ามจนถึงปี ค.ศ.1924 จนในที่สุดก็ถูกขับไล่ออกมาโดยขุนศึกซึ่งภายหลังกลายเป็นสมาชิกพรรคชาตินิยม เฝิงอวี้เสียง ในปีถัดมา สาธารณรัฐจีนได้กำหนดให้สถานที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ
ในปี ค.ศ.1949 ขณะยืนอยู่เหนือ ประตูสันติภาพแห่งสวรรค์ (หมายถึง จัตุรัสเทียนอันเหมิน) เหมาเจ๋อตงประกาศตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรมในปี 1966 เหมาจัดกองกำลัง ยุวชนแดง (Red Guards) ขึ้นที่จัตุรัสแห่งนี้ ในปี ค.ศ. 1987 พระราชวังต้องห้ามได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกของยูเนสโก ในฐานะพระราชวังอันยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์หมิงและชิงที่ปักกิ่งและเสิ่นหยาง ในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ.1989 ผู้คนทั่วโลกล้วนให้ความสนใจกับการประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน พื้นที่สาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภายใต้เงามืดที่ทอดยาวของพระราชวังต้องห้าม
แปล กษิดิศ ธัญกิจจานุกิจ
โครงการสหกิจศึกษา เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก ประเทศไทย