หรือแท้จริงแล้ว ” ซานตาคลอส ” มาจาก “ตำนานเห็ดหลอน!”

หรือแท้จริงแล้ว ” ซานตาคลอส ” มาจาก “ตำนานเห็ดหลอน!”

ตำนาน ซานตาคลอส อาจเกี่ยวข้องกับเห็ดประสาทหลอน จริงหรือไม่?

มีทฤษฎีหนึ่งที่เคยแพร่หลายระบุว่า เห็ดชื่อว่า ‘อะมานิตา มัสคาเรีย’ ที่สร้างอาการประสาทหลอนให้กับผู้ที่กินมันเข้าไป อาจเป็นต้นกำเนิดถึงสีแดงสดและสีขาวอันเป็นเอกลักษณ์ของ ซานตาคลอส แต่เรื่องนี้มีความจริงมากน้อยแค่ไหน?
.
เรื่องราวตามตำนาน
.
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีทฤษฎีหนึ่งที่อ้างว่า ซานต้า หรือซานตาคอลส แท้จริงแล้วนั้นเป็นหมอผีชาวซามี (Sámi) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของซัปมี (Sápmi หรือคนทั่วไปรู้จักกันในชื่อแลปแลนด์) ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของแถบสแกนดิเนเวียน
.
โดยตำนานระบุว่า : หมอผีชาวซามีได้เก็บเห็ด ‘อะมานิตา มัสคาเรีย’ (Amanita muscaria) ขึ้นมา จากนั้นทำมันให้แห้งแล้วมอบมันเป็นของขวัญให้กับชาวบ้านผ่านด้านบนเพดานของกระท่อมในวันเหมายัน โดยเห็ดชนิดนี้รู้จักกันไปทั่วว่าสามารถสร้างอาการประสาทหลอน ในขณะเดียวกันชาวซามีที่เป็นคนเลี้ยงกวางเรนเดียร์อยู่แล้วก็ได้กินเห็ดที่หมอผีนำมามอบให้
.
พวกเขาจึงจินตนาการไปได้ว่ากวางเรนเดียร์บินได้ หรือหมอผีเดินทางไปทำภารกิจโดยมีกวางเรนเดียร์เป็นผู้นำทาง ในอีกทางหนึ่ง บางทฤษฎีเชื่อว่าหมอผีใช้กวางเรนเดียร์เป็นผู้ล้างพิษของเห็ด โดยป้อนให้กวางเรนเดียร์แล้วกินปัสสาวะของพวกมัน บางคนเชื่อว่าหมอผีจะสวมชุดสีแดง และห่อของขวัญด้วยสีแดงขาวพร้อมกับวางมันไว้ใต้ต้นคริสต์มาส เพื่อเลียนแบบเห็ดที่เติบโตใต้ต้นไม้
.
แต่ซานต้าได้รับแรงบันดาลใจจากหมอผีชาวซามีจริง ๆ หรือ?
.
“เรื่องราวของซานต้าที่โผล่ออกมาจากประเพณีซามินิกของชาวซามีมีข้อบกพร้องหลายประการ” ทิม แฟรนดี (Tim Frandy) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านนอร์ดิกศึกษาจากมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย และหนึ่งในสมาชิกชุมชนที่สืบเชื้อสายซามีในอเมริกาเหนือกล่าว “ทฤษฎีนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากชาวซามีว่าเป้นการอ่านวัฒนธรรมซามีที่เกิดขึ้นแบบเหมารวม”
.
เพื่อดูว่าเรื่องนี้มีความจริงมากน้อยแค่ไหน แฟรนดีจึงพิจารณาประวัติศาสตร์ของประเพณีกลางฤดูหนาวของชาวซามี ซึ่งเขาระบุว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ต้องซ่อนตัวจากสิ่งชั่วร้ายนามว่า ‘สตาลลู’ (stállu) ที่น่าสะพรึงกลัวของชนเผ่า มันจะคอยดูดวิญญาณแห่งชีวิตของชาวซามีด้วยท่อเหล็ก และสตาลลู มักจะออกล่าอย่างกระตือรือร้นมากที่สุดในช่วงคริสต์มาส
.
เพื่อความปลอดภัย ชาวซามีจึงต้องมีมาตรการป้องกัน เช่น ให้ทุกคน รวมถึงเด็ก ๆ อยู่อย่างเงียบ ๆ ในกองไม้อย่างเรียบร้อย และจัดเตรียมน้ำให้สตาลลูดื่มแทน “ธรรมเนียมเหล่านี้ไม่ได้น่ายินดีหรือสนุกสนาน” แฟรนดีตั้งข้อสังเกต “ชาวซามีและชาวนอร์ดิกทางตอนเหนือทั้งหมดต่างมีประเพณีที่แตกต่างจากซานต้ามาก นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับทฤษฎีนี้ “
.
ต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1950 ประเพณีของชาวนอร์ดิกอย่าง ‘ยูลทอลเท็น’ (Jultomten) ซึ่งเป็นเอลฟ์คริสต์มาสได้เข้ามาแทนที่สตาลลูในกลุ่มชาวซามีส่วนใหญ่ เรื่องราวการหลีกเลี่ยงสิ่งชั่วร้ายจึงค่อย ๆ เลือนหายไป นอกจากนี้แฟรนดียังได้หักล้างองค์ประกอบอื่น ๆ ของทฤษฎีซานต้าเกิดจากเห็ดประสาทเหลอนเพิ่มเติม
.
เช่นเห็ด อะมานิตา มัสคาเรีย ถูกใช้ส่วนใหญ่ในไซบีเรียเพื่อเป็นยาเปลี่ยนความคิด แต่ไม่มีหลักฐานว่าหมอผีชาวซามีใช้เห็ดชนิดนี้จริง ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วหมอผีมักใช้ดนตรี เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือความเจ็บปวดในการกระตุ้นให้เกิดความมึนงง อีกทั้งยังมีหลักฐานจากแหล่งโบราณคดีน้อยมากที่บ่งบอกถึงความเกี่ยวข้องนี้
.
“ตอนที่ผมเติบโตขึ้นมาในฟินแลนด์ สวีเดน และซามี ผมไม่เคยได้ยินเรื่องความเกี่ยวข้องระหว่างเห็ดกับคริสต์มาสมาก่อนเลย” แฟรนดีบอก “จนกระทั่งอิเกียเริ่มขายของประดับตกแต่งต้นคริสต์มาสที่เป็นเห็ด โดยในซัปมี เห็ดเหล่านี้จะเกิดขึ้นในเดือนกันยายน และหายไปภายใต้หิมะในเดือนธันวาคม”
.
แล้วอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเรื่องราวของซานตาครอสจริง ๆ ?
.
เพื่อเฉลิมฉลองวันเหมายัน ชาวโรมันโบราณได้จัดงานเลี้ยงเพื่อเป็นเกียรติแก่เด็ก ๆ ในขณะที่ชาวนอร์สเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสด้วยการแต่งกายชุดที่แปลกตาและเดินทางไปพร้อมกับของขวัญจากบ้านหนึ่งไปอีกบ้านหนึ่ง
.
อิทธิพลซานต้าที่ชัดเจนที่สุดอาจจะเป็นของชาวดัตช์ในชื่อว่า ‘ซินเตอร์คลาส’ (Sinterklaas) ซึ่งเป็นชายชราในชุดคุลมสีขาวแดงที่คอยติดตามพฤติกรรมของเด็ก ๆ จากระยะไกลด้วยการขี่ม้าขาวไปบนหลังคาบ้าน พร้อมกับทิ้งของขวัญไว้ในรองเท้าของพวกเขา
.
อันที่จริงแล้วซินเตอร์คลาสนั้นมาจากบุคคลที่มีอยู่จริงนั่นคือ นักบุญนิโคลาส (St. Nicholas) หรือ ‘นิโคลอส แห่งไมรา (Nikolaos of Myra ; ปัจจุบันคือเมืองหนึ่งในตุรเคีย) โดยชายผู้นี้เป็นบิชอบชาวกรีกในคริสจตจักรยุคแรกที่มีชื่อเสียงด้านความมีน้ำใจ และชอบปกป้องเด็ก ๆ
.
ตามที่ มาเรีย เคนเนดี (Maria Kennedy) ผู้อำนวยการร่วมของเทศกาลพื้นบ้านนิวเจอร์ซี และผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านอเมริกันศึกษาที่มหาวิทยาลัยรัทเจอร์ กล่าวว่า “การเปลี่ยนให้นักบุญนิโคลาสที่นับถือศาสนาคริสต์เป็นเอลฟ์พื้นบ้านนั้นเป็นผลมาจากอิทธิพลซึ่งทับซ้อนกันของประเพณีชาวคริสต์และคนนอกรีต (ที่ไม่ได้นับถือคริสต์) จำนวนมากที่อยู่ในช่วงกลางฤดูหนาว จากจักรวรรดิโรมัน ไปยังประเทศนอร์ดิก จากนั้นก็ไปยังอเมริกาและที่อื่น ๆ”
.
ในอเมริกา เรื่องราวของซานต้าเกิดขึ้นในปี 1822 จากการตีพิมพ์บทกวีของ คลีเมนท์ คลาร์ก มอร์ (Clement Clarke Moore) ในเรื่อง ‘An Account of Visit from St. Nicholas’ โดยบรรยายสองบรรทัดแรกว่า ‘สองคืนก่อนคริสต์มาส’ ไม่เพียงเท่านั้น นักวาดภาพประกอบ โธมัส แนสต์ (Thomas Nast) ได้วาดภาพซานต้าซึ่งเพิ่มรายละเอียดเข้าไปว่าอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีผู้ช่วยเป็นเอลฟ์ และชอบการทำของเล่น แนสต์ยังวาดซานต้าให้เป็นชายร่างใหญ่ร่าเริง แทนที่จะเป็นเอลฟ์ร่างเล็กอีกด้วย
.
การขาดหลักฐานสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของทฤษฎีซานตาคลอสจากเห็ดเมา ทำให้เรื่องราวเหล่านี้ค่อย ๆ จางหายไปจากระแสหลัก “ผมไม่เคยได้ยินชาวซามีบอกว่าเรื่องนี้มีความน่าเชื่อถือเลย มันเป็นเรื่องราวที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยบุคคลภายนอก ที่รวบรวมองค์ประกอบของวัฒนธรรมซามี และเปลี่ยนมันให้เป็นสิ่งที่พวกเขาคิด” แฟรนดีอธิบาย
.
พร้อมกับเสริมว่า “ผมเคยเห็นสำนักข่าวใหญ่ ๆ หลายแห่งบอกเล่าเรื่องราวนี้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา” เขาตั้งข้อสังเกต “สิ่งที่น่าหนักใจที่สุดคือ ไม่มีใครปรึกษาชาวซามีอย่างเหมาะสมเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของเรื่องราวเหล่านี้”
.
แต่เรื่องราวแปลกประหลาดนี้ก็มักเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคน มันจึงยังถูกเล่าต่อมาเรื่อย ๆ “ในฐานะนักคติชนวิทยา ผมรู้ว่าผู้คนชอบเรื่องราวดี ๆ ชอบคำอธิบายทางประวัติศาสตร์ที่สะดวก และน่าดึงดูดใจว่าทำไมสิ่งต่าง ๆ จึงมีอยู่เหมือนทุกวันนี้ แต่ปัญหาก็คือเรื่องราวเหล่านั้นมักจะบดบังความจริงทางประวัติศาสตร์”
.
ชาวซามีได้ประท้วงการใช้มรดกทางวัฒนธรรมของตนเองให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่าง ‘หมู่บ้านซานต้า’ บนที่ดินของพวกเขา ซึ่งถูกผลักดันโดยอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฟินแลนด์ ดังนั้นการเชื่อมโยงอดีตของพวกเขาเข้ากับตำนานซานตาคลอสจึงเป็นการใช้ประโยชน์ที่พวกเขาไม่ต้องการ
.
“การจัดสรรประเภทนี้ชวนให้นึกถึงประวัติศาสตร์อันยาวนาน ของการใช้มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของชาวซามีในทางที่ผิดผ่านความเป็นเจ้าอาณานิคม โดยไม่มีการใช้เวลาทำความเข้าใจว่าเรื่องราวเหล่านี้ว่ามีความหมายอย่างไรในบริบทของชาวซามี” แฟรนดีกล่าว “มันเป็นรูปแบบหนึ่งของการล่าอาณานิคม”
.
ประวัติศาสตร์วิวัฒนาการของซานต้าเกี่ยวข้องกับความแปลกประหลาดมากมาย แต่ทำไมจึงต้องขโมยและบิดเบือนวัฒนธรรมของผู้อื่นเพื่อพยายามทำให้มันมหัศจรรย์ยิ่งขึ้นกันเล่า?

สืบค้นและเรียบเรียง วิทิต บรมพิชัยชาติกุล

ที่มา


อ่านเพิ่มเติม ช่างภาพอยู่ 1 ปีที่ สฟาลบาร์ เพื่อบันทึกภาพปีแห่งอากาศสุดขั้ว

Recommend