“หลายคนคงเคยตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกที่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่คือความฝันเหรอ?”
ถ้านั่นเป็นฝันดีก็ถือว่าดีไป แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายครั้งก็เป็นฝันร้าย หรือฝันที่ชวนให้เรากังวลใจ และนั่นก็ทำให้เราอดสงสัยไม่ได้ว่า ความฝันที่เกิดขึ้นนั้นหมายความว่าอย่างไรกันแน่”
ด้วยเหตุนี้ความฝันจึงเป็นสิ่งที่หลายวัฒนธรรม หลายความเชื่อ หรือบางลัทธิ บางศาสนา ทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออก ต่างหยิบยกมาตีความความหมายและให้บทบาทความสำคัญกันไปต่างๆนานา
ความฝันคืออะไร?
“ความฝัน” คือ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนอนหลับ ซึ่งมักประกอบด้วยภาพ แสง เสียง ความรู้สึก หรือแม้แต่อารมณ์ต่าง ๆ ความฝันส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในช่วงการนอนหลับที่เรียกว่า “REM sleep (Rapid Eye Movement)” หรือช่วงที่ดวงตาเคลื่อนที่ไปมาอย่างรวดเร็ว
ด้วยความที่ความถี่ของคลื่นสมองในช่วง REM sleep ยังมีความถี่เกือบเท่ากับตอนที่เรารู้สึกตัว จึงไม่น่าแปลกใจที่ความฝันในช่วงนี้มักจะเต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ ทั้งนี้จากการที่ ศาสตราจารย์แมตธิว วอล์กเกอร์ (Matthew Walker) ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาศาสตร์และจิตวิทยา และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์การนอนหลับ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ สหรัฐอเมริกา (the Center for Human Sleep Science at the University of California, Berkeley) พร้อมกับทีมนักวิทยาศาสตร์ ได้ทำการทดลองสแกนสมองของอาสาสมัครกลุ่มหนึ่ง เขาพบว่า
ในช่วงการนอนหลับ REM sleep สมองโดยเฉพาะพื้นที่ด้านซ้ายสุดและขวาสุดของคอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า (prefrontal cortex) ซึ่งทำหน้าที่จัดการความคิดเชิงเหตุผลและการตัดสินใจตามตรรกะ คล้ายกับเป็น “ซีอีโอของสมอง” ได้ถูกกดการทำงานไว้ชั่วคราว นั่นจึงอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ความฝันส่วนใหญ่มักดูไร้เหตุผล เหนือความเป็นจริงอย่างน่าประหลาดใจ
เราฝันไปเพื่ออะไร?
มิเชล เดรอรับ (Michelle Drerup) ผู้อำนวยการด้านเวชศาสตร์การนอนเชิงพฤติกรรม ศูนย์โรคเกี่ยวกับการนอนหลับคลีฟแลนด์คลินิก สหรัฐอเมริกา (Cleveland Clinic Sleep Disorders Center) พบว่า การฝันยังอาจมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของสมองด้วย ไม่ว่าจะเป็นการจัดระเบียบความทรงจำ หรือช่วยพัฒนาในเรื่องของทักษะต่างๆ เช่น ช่วยพัฒนาทักษะด้านภาษา ช่วยจัดระเบียบข้อมูลที่เรียนรู้ไปในแต่ละวัน ช่วยเพิ่มพูนคำศัพท์ สำนวน หรือบริบทใหม่ๆ ได้
ยิ่งไปกว่านั้นเดรอรับยังพบว่า ความฝันยังอาจทำหน้าที่เสมือนเป็น “แบบฝึกซ้อมรับมือ” (Rehearsal)” เพื่อให้เราได้ฝึกจัดการกับอารมณ์ที่ต่างๆ เกิดชึ้นระหว่างวันได้ด้วย เช่น อารมณ์ความเศร้าจากการสูญเสียในฝันร้ายอันโหดร้าย ก่อนจะต้องเผชิญกับอารมณ์นั้นๆ จริงๆ
มากไปกว่านั้น ศาสตราจารย์วอล์กเกอร์ยังได้กล่าวใน “ทฤษฎีการบำบัดยามค่ำคืน (Overnight Therapy)” ของเขาว่า การฝันขณะหลับในช่วง REM sleep เป็นการบำบัดจิตใจรูปแบบหนึ่ง เพราะมันช่วยดึงความรู้สึกเจ็บปวดจากการเผชิญเหตุการณ์ต่างๆ เราประสบในวันนั้นออกมาได้ พร้อมกับช่วยให้สภาวะอารมณ์กลับมาคงที่ได้อีกครั้งเมื่อตื่นขึ้นในวันต่อมา
อธิบายได้จากการศึกษาภาพสแกนสมองในกลุ่มอาสาสมัครพบว่า ระดับนอร์อะดรีนาลิน (noradrenaline) หนึ่งในสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับความเครียดจะลดระดับความเข้มข้นลงเมื่อเข้าสู่ภาวะหลับฝันดังกล่าว
ความฝันในมุมมองของจิตวิเคราะห์
หากย้อนกลับไปในช่วงปี 1920 ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) นักจิตวิทยาชาวออสเตรียและนักประสาทแพทย์ชาวออสเตรีย เจ้าของทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ได้เขียนหนังสือจิตวิทยาความฝัน (Dream Psychology) ซึ่งกลายเป็นผลงานระดับคลาสสิกด้านจิตวิทยาในเวลาต่อมา เนื้อหาส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ ฟรอยด์ได้อธิบายถึงกลไกการทำงานของสมองและสาเหตุที่ทำให้เกิดความฝัน พร้อมกับเสนอแนวคิดใหม่ที่โลก (ขณะนั้น) ยังไม่รู้จักมาก่อน นั่นคือแนวคิดเรื่อง “จิตใต้สำนึก (The unconscious mind)”
ฟรอยด์เชื่อว่า มนุษย์มักเก็บซ่อนความปรารถนาลึกๆ ที่ไม่อาจแสดงออกมาได้ในชีวิตจริงไว้ในจิตใจ เมื่อนอนหลับ ความฝันจึงเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ความปรารถนาลึกๆ เหล่านั้นได้เผยตัวตนออกมาผ่านภาพ ความรู้สึก หรือเหตุการณ์เหนือจริง
ในขณะที่แนวคิดทางวิทยาศาสตร์และจิตวิเคราะห์มองว่า ความฝันคือ ผลลัพธ์กระบวนการทำงานของสมองร่วมกับจิตใจ แนว คิดในเชิงศาสนาและความเชื่อกลับมองว่า ความฝันมีบทบาทความสำคัญแตกต่างออกไปตามโลกทัศน์ และมุมมองของกลุ่มวัฒนธรรม เช่น ความฝันสื่อถึงคำเตือนจากพระเจ้า ความฝันคือ การทำนายอนาคต หรือแม้แต่เป็นแนวทางในการวางแผนชีวิตก็เป็นได้
การตีความบทบาทความสำคัญของความฝันจึงแตกต่างกันออกไปได้หลายรูปแบบ
เมื่อความฝันกลายเป็น “ภาษาของพระเจ้า”
การตีความความฝันที่พบได้บ่อยในหลายๆ วัฒนธรรม คือ การตีความถึงพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาของตนเอง ดังในศาสนาอิสลามที่การตีความความฝันมีรากฐานมาจากความเชื่อในศาสนา ซึ่งเชื่อว่า พระอัลลอฮ์ (Allah) คือ ผู้ทรงมีอำนาจสูงสุด และไม่มีผู้ใดที่สมควรได้รับการบูชา หรือเคารพนอกเหนือจากพระองค์ ดังนั้นเมื่อมีสารต่างๆ ที่ถูกตีความว่า มาจากพระองค์ (รวมทั้งความฝัน) เหล่าผู้คนที่ศรัทธาในพระอัลลอฮ์ก็ย่อมจะเชื่อฟังสารนั้นอย่างเคร่งครัด
ดังนั้นความฝันในวัฒนธรรมของชาวมุสลิมจึงเป็นหนึ่งในหนทางที่พระอัลลอฮ์ใช้สื่อสารกับผู้คนในยุคที่พระองค์ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ตัวอย่างเช่น เรื่องเล่าของ นบียูซุฟ (Prophet Yusuf) ศาสดาในศาสนาอิสลาม ที่ฝันเห็นว่า “…ดวงดาวสิบเอ็ดดวง พระอาทิตย์
และดวงจันทร์ ก้มลงกราบเขา…” โมฮัมหมัด เอลชินาวี (Mohammad Elshinawy) และ ราเนีย อะบูอิสนาอิเนห์ (Rania Abuisnaineh) ผู้เขียนหนังสือ When the Stars Prostrated: Meditations on Surat Yusuf กล่าวว่า สิ่งเหล่านั้น เป็นสัญลักษณ์แทนพี่น้อง มารดา และบิดาของเขาตามลำดับ ซึ่งอาจหมายถึง การให้นบียูซุฟตระหนักถึงคุณค่าของพ่อแม่ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่และให้รักษาความสัมพันธ์กับญาติพี่น้องและเพื่อนให้ดียิ่งกว่าเดิม เพราะหมู่ดาวเหล่านี้จะเป็นแสงที่ช่วยปลอบประโลมใจในยามที่พ่อแม่จากไป ความฝันจึงเปรียบเสมือนข้อความที่พระเจ้าต้องการสื่อสารกับผู้คน
ส่วนในวัฒนธรรมแอฟริกามีความเชื่อว่า ทุกสิ่งบนโลกใบนี้มีที่มาและอยู่ภายใต้การควบคุมของเทพเจ้า จึงทำให้ความฝันถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เทพเจ้าเข้ามามีบทบาทกับโลกมนุษย์ได้เช่นกัน
เมื่อความฝันอาจกลายเป็น “คำตอบ”
การตีความบทบาทความฝัน ในวัฒนธรรมแอฟริกาอีกรูปแบบยังอาจสื่อได้ถึง “การมาเยือนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์” เพื่อถ่ายทอดสารสำคัญ หรือให้คำแนะนำแก่ผู้ฝันได้ด้วย ในวัฒนธรรมไทยของเราก็มีการตีความบทบาทความฝันที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแอฟริกาจากงานวิจัยเรื่อง “เนื้อหาและความหมายของความฝัน สื่อสารผ่านวรรณกรรมไทยในอดีตและปัจจุบัน” ของรองศาสตราจารย์จริยา สมประสงค์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา (สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) เมื่อพ.ศ. 2559 ให้ข้อมูลว่า
“…วรรณคดีปลูกฝังถึงวิธีคิดของคนไทยในเรื่องความฝันว่า เกิดจากสาเหตุหลายประการคือ ร่างกายไม่ปรกติ หรือจิตประหวัด ถึงเรื่องนั้นๆ หรือเทวดาสังหรณ์มาเข้านิมิตฝัน หรือเกิดจากอำนาจบุญกุศลและอกุศลที่ผู้ฝันสร้างไว้ จึงบังเกิดนิมิตให้ทราบเหตุการณ์ดีหรือร้าย ที่จะเกิดขึ้น” และ “การทำนายความฝันเป็นวิชาสำคัญหนึ่งในห้าสิบวิชาหลัก กษัตริย์ทรงโปรดปรานชุบเลี้ยงผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการทำนายความฝันให้เป็นใหญ่เพื่อเป็นที่ปรึกษาราชกิจ แสดงให้เห็นได้ถึงความสำคัญของการตีความความหมายเนื้อหาของความฝัน…”
เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทความสำคัญของความฝันที่มีต่อคนไทยมายาวนานในฐานะผู้ช่วยไขคำตอบเพื่อประกอบการตัดสินใจในบางเรื่องที่กำลังประสบพบเจอ
อีกทั้งในงานวิจัยเรื่องนี้ ยังกล่าวถึงมีตำราโหราศาสตร์ของไทย เช่น ตำราพรหมชาติที่มีบทบาทเสมือนเป็น “ที่ปรึกษาข้างเตียง” กษัตริย์ในการตีความความหมายของฝันแต่ละเรื่อง ปัจจุบันตำรา พรหมชาติยังเป็นตำราโหราศาสตร์ของไทยที่พูดถึงการตีความความฝันที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงมีอยู่
ความฝันอาจไม่ใช่ของเราก็ได้
ทว่า ความฝันอาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้ฝันโดยตรง ออกัสติน เอ็นโวเย (Augustine Nwoye) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยามหาวิทยาลัยควาซูลู-นาทาล ประเทศแอฟริกาใต้ (University of KwaZulu-Natal) กล่าวในงานวิจัย “The Psychology and Content of Dreaming in Africa” ของเขา ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Black Psychology (วารสารจิตวิทยาจากการศึกษาประชากรผิวสี) ว่า “ตามมุมมองทางจิตวิทยาของชาวแอฟริกันความฝันอาจไม่ได้มีไว้เพื่อตัวเอง แต่เกิดขึ้นเพื่อส่งสาร หรือคำเตือนให้แก่ผู้อื่น ซึ่งศาสตราจารย์เอ็นโวเยตั้งชื่อให้กับแนวคิดดังกล่าวว่า “Triangulation in dreaming” หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ “ฝันแทนกันได้” นั่นเอง
อย่างเช่นเรื่องราวของชายชาวไนจีเรียคนหนึ่งที่ฝันว่า มีวิญญาณชายคนหนึ่งต้องการให้ตัวเขาเป็นตัวกลางในการนำ “สาร” ไปบอกภรรยาที่ยังมีชีวิตอยู่ สารแรกเป็นคำแนะนำในการแก้ไขปัญหาที่ครอบครัวของวิญญาณนี้กำลังเผชิญอยู่ และสารที่สองเป็นคำสั่งที่ว่า ให้ลูกชายของตนแต่งงานกับแฟนสาวที่เขากำลังคบหาอยู่เสีย
เรื่องเล่านี้จึงเป็นตัวอย่างบทบาทความสำคัญของความฝันตามแนวคิดของชาวแอฟริกันที่เชื่อว่า ความฝันนั้นสามารถเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นได้เช่นกัน ไม่ได้จำกัดแค่เรื่องส่วนตัวของผู้ฝันเท่านั้น
“ผู้ช่วย” ถอดรหัสความฝัน
ดังจะเห็นได้ว่าหลายๆ ความฝันนั้นมีความลึกลับและซับซ้อน ทำให้หลายคนไม่อาจสามารถเข้าใจได้โดยตรงว่า ความฝันนั้นต้องการจะสื่ออะไร หรือมีนัยอะไรซ่อนอยู่ ดังนั้น การมี “ตัวกลาง” ในการตีความความฝันจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
ในความเชื่อของวัฒนธรรมอิสลาม ผู้ฝันมักจะศึกษาจากในตำรา หรือบุคคลใกล้ชิดเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตต่อ หรือแม้กระทั่งเพื่อเป็นคำปลอบใจ ส่วนในวัฒนธรรมแอฟริกาก็มีนักบวช หรือหมอผี ทำหน้าที่เป็นผู้แปลความฝัน เนื่องจากชาวแอฟริกันเชื่อว่า นักบวชเหล่านี้มีพลังพิเศษที่เชื่อมโยงกับโลกวิญญาณได้
ในวัฒนธรรมไทย ผู้คนส่วนใหญ่มักจะพึ่งพาผู้อื่น เช่น โหราจารย์ ครูบาอาจารย์ ญาติผู้ใหญ่ในบ้าน หรือแม้กระทั่งบิดามารดา เพื่อให้ช่วยตีความความฝันให้ จะด้วยประสบการณ์ที่มากกว่าก็ดี หรือจะด้วยความเคารพบูชา หรือยกย่องบุคคลนั้นๆ ก็ตาม
ตามวัฒนธรรมของชาวตะวันตก การตีความความฝันเป็นการผสมผสานระหว่างทฤษฎีจิตวิทยา (เช่น ของฟรอยด์) และความเชื่อร่วมสมัยเข้าด้วยกัน โดยผู้คนจะใช้หนังสือที่รวบรวมสัญลักษณ์ในฝันและความหมายเพื่อตีความ เช่น ฝันว่าฟันหลุด หมายถึงบุคคลนั้นกลัวการแก่ หรือเสียการควบคุม หากฝันว่า บินได้จะหมายถึงอิสรภาพ หรือการหลุดพ้นจากข้อจำกัด เป็นต้น
ส่วนในญี่ปุ่นก็มีวัฒนธรรมความเชื่อเกี่ยวกับความฝันที่ชื่อว่า ฮัทสึยูเมะ (Hatsuyume) (初夢) หรือ ”ฝันแรกแห่งปี” ซึ่งจะเป็นการแปลความสัญลักษณ์เกี่ยวกับโชคชะตาตลอดทั้งปีที่จะมาถึง เช่น หากพวกเขาฝันถึงภูเขาฟูจิ นกเหยี่ยว และมะเขือม่วง จะก็ถือว่า เป็นลางดีและจะโชคดีตลอดปีแน่นอน สาเหตุที่ทั้งสามสิ่งถูกมองว่า เป็นลางดีนั้น มีที่มาจากภาษาและเสียงของคำในภาษาญี่ปุ่นที่คล้ายคลึงกับคำที่เป็นมงคล
ภูเขาฟูจิ 富士山 (Mount Fuji) ออกเสียงคล้ายกับคำว่า 無事 (buji) ซึ่งแปลว่า ความปลอดภัย ราบรื่น ไม่มีปัญหา
นกเหยี่ยว 鷹 (taka) ซึ่งออกเสียงคล้ายกับคำว่า “สูง” (高) ในภาษาญี่ปุ่น จึงเชื่อกันว่า จะหมายถึง การก้าวหน้าในชีวิต
มะเขือม่วง 茄子(nasu) ที่ออกเสียงคล้ายกับคำว่า 成す (nasu) ที่แปลว่า บรรลุผล สำเร็จ ทั้งสามสัญลักษณ์จึงแปลความได้ว่า ตลอดทั้งปีนั้นผู้ฝันมีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จ ราบรื่น สวัสดี ไม่มีอุปสรรค ในทุกสิ่งที่ตั้งใจไว้ อย่างไรก็ตาม เมื่อญี่ปุ่นเปิดรับความเปลี่ยนแปลงจากโลกตะวันตกและรับเอาแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ เข้ามา โดยเฉพาะทฤษฎีจิตวิทยาของฟรอยด์หลังการปฏิรูปเมจิในระหว่างปี ค.ศ. 1868 ก็ทำให้เกิดการตีความเกี่ยวกับความฝันใหม่ๆ ของชาวญี่ปุ่นมีรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น
จากตำราทำนายสู่เลขนำโชค
สำหรับสังคมไทย ความฝันยังคงเป็นสิ่งที่ผู้คนใคร่รู้และให้ความสำคัญ สังเกตได้จากการที่มีตำราทำนายฝันจำหน่ายในร้านหนังสือ มีเว็บไซต์ทำนายฝันทั้งแบบมีและไม่มีค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกัน คนไทยบางส่วนยังตีความความฝันเป็น “เลขนำโชค” ในการซื้อลอตเตอรี่ ซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม วิถีชีวิต และค่านิยมของคนไทย จากที่เคยให้ความสำคัญกับความฝันในแง่คำทำนาย กลายมาเป็นการแสวงหาโชคลาภและความหวังในด้านเศรษฐกิจแทน
จริงอยู่ว่า แม้การตีความบทบาท ความสำคัญของความฝันในแต่ละกลุ่มวัฒนธรรม ความเชื่อ หรือศาสนา จะมีลักษณะร่วมกันบางประการเหมือนๆ กัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือ กรอบคิดพื้นฐาน โลกทัศน์โดยรวมของแต่ละกลุ่ม ซึ่งถูกหล่อหลอมขึ้นจากประวัติศาสตร์ ศาสนา และค่านิยมของชุมชนนั้นๆ ดังนั้นการอธิบายเรื่องความฝันจึงไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายเดียวกันเสมอไป
และแม้ว่าทุกวันนี้ เราจะยังไม่สามารถให้คำจำกัดความที่แน่นอนได้ว่า บทบาท ความสำคัญ และความหมายของ “ความฝัน”คืออะไร แต่ดูเหมือนว่า ความฝันยังคงเป็นและ “จะเป็น” หนึ่งในสิ่งลึกลับที่มนุษย์จำนวนไม่น้อยยังอยากจะทำความเข้าใจอยู่ตลอด
เรื่อง ญาณิศา ไชยคำ
โครงการสหกิจศึกษา กองบรรณาธิการ นิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย
อ่านเรื่องราวเพิ่มเติม : ซิกมันด์ ฟรอยด์ เจ้าของทฤษฎีจิตวิเคราะห์และจิตวิทยาความฝัน