ครั้งหน้าเมื่อออกไปในธรรมชาติ ลองหยุดนิ่ง หลับตา และเงี่ยหูฟังสิ
เบอร์นี เคราส์ อยากให้เราทำอย่างนั้น ก่อนสายเกินไปที่จะฟังเสียงซิมโฟนีแห่งโลกธรรมชาติ เคราส์เป็นนักดนตรีแจ๊สผู้โด่งดัง ระหว่างเรียนปริญญาเอกสาขา Bioacoustics เขาก่อตั้งสาขา “นิเวศวิทยาของเสียงจากสิ่งแวดล้อม” เคราส์อัดเสียงต่างๆ จากป่าดงพงไพร ทั้งบนบกและในทะเล มาตั้งแต่ พ.ศ. 2511 เขารวบรวมเสียงจากถิ่นที่อยู่ต่างๆ มากกว่า 5 พันชั่วโมง บันทึกเสียงจากสิ่งมีชีวิตอย่างน้อย 15,000 ชนิด บางคนถือว่าห้องสมุดเสียงของเขาเป็นสมบัติของชาติ แต่ที่น่าเศร้าคือการรบกวนของมนุษย์ที่เพิ่มขึ้นทุกทีกำลังทำให้เสียงธรรมชาติเหล่านั้นแผ่วลง จากเสียงนกร้องถึงเสียงหมาป่าหอนและเสียงขยับจังหวะของแมลง และเสียงที่บันทึกจากระบบนิเวศหลายแห่งที่เคราส์เรียกว่า “biophonies”—เสียงสรรพชีวิต—ก็หยุดบรรเลงไปตลอดกาลเสียแล้ว “ออร์เคสเตรธรรมชาติกำลังสาบสูญไป ไม่ใช่แค่เสียง แต่เป็นตัวผู้บรรเลงเองด้วย” เคราส์ เคยให้สัมภาษณ์ เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ว่าทำไมเสียงของธรรมชาติจึงสำคัญ
เสียงจากสิ่งแวดล้อม (soundscape) บอกอะไรเราต่างไปจากภูมิทัศน์ (landscape) ?
แน่นอน มีตัวอย่างหนหนึ่งที่บริษัทตัดไม้เข้าไปยังเซียราเนวาดา เมื่อ พ.ศ. 2531 ผมบันทึกเสียงธรรมชาติตอนรุ่งอรุณทั้งก่อนและหลังการตัดไม้ ถ้ามองด้วยตาเปล่า ป่าดูเหมือนเดิมหลังจากต้นไม้ที่ถูกเลือกตัดบางต้นถูกขนย้ายออกไป แต่เสียงนกที่เคยร้องหายไปอย่างมากและแม้อีกทศวรรษให้หลัง เสียงนกร้องแบบที่เคยมีดั้งเดิมก็ยังไม่หวนกลับมาอีกเลย
ฟังเสียงบันทึกจาก ลิงคอร์นเมโดว์ในเซียราเนวาดา แคลิฟอร์เนีย ก่อนถูกตัดไม้ในปี 2531 ได้ ที่นี่ และหลังในปีถัดมาได้ ที่นี่
เสียงแบบไหนที่ธรรมชาติสร้าง ?
เสียงจากธรรมชาติมี 3 แหล่งกำเนิด ได้แก่ “geophony” หรือเสียงที่เกิดในถิ่นอาศัยแต่ไม่ได้มาจากสิ่งมีชีวิต เช่น เสียงลม เสียงน้ำในลำธาร เสียงคลื่นในมหาสมุทร “biophony” หรือเสียงโดยรวมที่สิ่งมีชีวิตต่างๆ สร้างขึ้นในชีวมณฑลใดๆ และ “anthropophony” หรือเสียงรบกวน (noise) ที่มนุษย์สร้าง ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ปะติดปะต่อและฟังไม่ได้ศัพท์ เกิดจากเทคโนโลยีต่างๆ
สิ่งมีชีวิตใดที่เราไม่คิดว่ามันจะสร้างเสียงได้ ?
นอกเหนือจากพวกมด ดักแด้แมลง และดอกไม้ทะเล ผมเคยทำงานเพื่อบันทึกเสียงโบกหางของปลาต่างชนิดพันธุ์ และยังอัดเสียงไส้เดือนซอกซอนใต้ดิน และฮิปโปส่งเสียงใต้น้ำ เพื่อนผมคนหนึ่งเคยบันทึกเสียงสิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุดอย่างไวรัส สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกอาจสร้างเสียงเฉพาะบางอย่างของตัวเอง เราอยากรู้ว่าพวกมันทำได้อย่างไรและอยากบันทึกเสียงไว้ทั้งหมด
คุณบันทึกเสียงของสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติเป็นพันๆ ชั่วโมงจากสถานที่มากกว่า 1,200 แห่ง การเปลี่ยนแปลงของถิ่นอาศัยเหล่านั้นเปลี่ยนเสียงที่คุณได้ยินไปอย่างไร ?
ผมแปลกใจเมื่อพบว่ามากกว่าครึ่งของสถานที่ที่ผมเคยบันทึกเสียงตลอด 5 ทศวรรษที่ผ่านมา เปลี่ยนแปลงจนไม่สามารถช่วยให้สิ่งมีชีวิตสร้างเสียงที่ต่อเนื่องกันดังเดิมอีก ถ้าไม่เงียบงันไป ก็พ่ายแพ้มนุษย์จนเสียงจากสรรพชีวิตแผ่วลงไปมาก ที่ที่ผมกลับไปบันทึกเสียงซ้ำมีความเปลี่ยนแปลงไปทั้งความหนาแน่น คือจำนวนสิ่งมีชีวิตที่ผลิตเสียง และความหลากหลายของชนิดพันธุ์ที่ถูกบันทึก
ในหุบเขาแห่งดวงจันทร์ โซโนมาเคาน์ตี แคลิฟอร์เนีย ที่เราอยู่ ในฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อนที่ผ่านมาไม่มีเสียงนกร้องเพลง ไม่มีเลย ที่จริงก็มีนกอยู่และร้องเรียกกันนิดหน่อย แต่ว่ามันไม่ร้องเพลง เป็นครั้งแรกในชีวิต 77 ปีของผมเท่าที่จำได้ว่าไม่เคยได้ยินความเงียบแบบนี้มาก่อน
ฟังคลิปเสียงที่บันทึกระหว่างปี 2547-2558 ในสวนชูการ์โลฟสเตต แคลิฟอร์เนีย เมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วกับระบบนิเวศ เช่น ฤดูใบไม้ผลิมาถึงเร็วขึ้น การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของชนิดพันธุ์ และความแห้งแล้ง ล้วนเปลี่ยนแปลงทัศนียภาพของเสียง ได้ ที่นี่
สมัยนี้ เราจะได้ยินเสียงธรรมชาติที่ไม่ถูกรบกวนและน่าประทับใจได้จากที่ไหนบ้าง ?
สรรพเสียงจากธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดอาจพบได้เมื่อเราเข้าใกล้เส้นศูนย์สูตร ในป่าฝนเส้นศูนย์สูตร มีความหลากหลายและหนาแน่นของเสียงมากที่สุดเพราะมีถิ่นอาศัยที่เกื้อหนุน เสียงจากธรรมชาติที่ดังที่สุดที่ผมเคยวัดได้ อยู่ในป่าฝนที่สุมาตรา ดังถึง 117 เดซิเบล ซึ่งเกือบเท่าฟ้าผ่า
คุณได้อะไรจากงานของคุณบ้าง ?
อย่างแรก เสียงจากธรรมชาติช่วยเยียวยาและทำให้เราสงบลง เสียงเหล่านั้นสำคัญต่อสุขภาพและความผาสุกของเรา แถมยังฟรีอีกด้วย อย่างที่สอง โลกธรรมชาติตอบสนองด้วยเสียงต่อทุกสิ่งที่เราทำลงไป เราได้ยินเสียงโต้ตอบแบบนี้ชัดเจนขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาก เราต้องเรียนที่จะอ่านและสนใจกับความหมายของมัน เพราะมันกำลังบอกพวกเราว่าการกระทำของเราอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงหนักหนาต่อสุขภาพและความหลากหลายของชีวิตต่างๆ บนโลก ซึ่งเป็นอันตรายต่อเราเองด้วย
ฟังเบอร์นี เคราส์ บรรยายในคลิป TEDTalk ได้ ที่นี่ (มีบรรยายภาษาไทย)
อ่านเพิ่มเติม : ชุมชนแห่งนี้เปลี่ยนทะเลทรายให้เป็นผืนป่าอย่างน่าอัศจรรย์, 1 ปีกับ 200 ชีวิตนักสิ่งแวดล้อมที่ถูกฆาตกรรม