การรวมตัวเฉพาะกิจของกลุ่มอาสาสมัครทั้งช่างภาพ ครูสอนดำน้ำ และนักวิทยาศาสตร์ทางทะเล เพื่อแสดงให้เห็นว่าพื้นที่ชายฝั่งนอก 12 ไมล์ทะเล หาใช่เพียงมวลน้ำของปลากะตักเท่านั้น
แสงไฟจากเรือประมงที่อยู่ตรงหน้าสว่างจ้าตัดกับความมืดมิดของห้วงมหาสมุทรยามค่ำคืน เรือยางพาผมและสมาชิกช่างภาพใต้น้ำเคลื่อนตัวเข้าหาเรือปั่นไฟที่ลอยลำอยู่ ภารกิจของพวกเราคือการลงดำน้ำใต้เรือเพื่อบันทึกภาพสิ่งมีชีวิตที่ถูกดึงดูดจากแสงไฟ นี่เป็นการรวมตัวเฉพาะกิจของกลุ่มอาสาสมัครที่ประกอบไปด้วยช่างภาพใต้น้ำอาชีพ ครูสอนดำน้ำ และนักวิทยาศาสตร์ทางทะเล เพื่อแสดงให้เห็นว่าพื้นที่ชายฝั่งนอก 12 ไมล์ทะเล หาใช่เพียงมวลน้ำของปลากะตักเท่านั้นแต่เป็นระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์และเปราะบางเพียงใด และแสงไฟส่งผลกระทบอย่างไรต่อวงจรชีวิตของสัตว์น้ำวัยอ่อน ต่อไปนี้คือบทบันทึกความพยายามของคนกลุ่มเล็กๆ ที่ตั้งคำถามใหญ่ถึงทุกคนในสังคมว่า เราจะร่วมกำหนดอนาคตทะเลไทยกันอย่างไร
“ผมรับไม่ได้กับข้ออ้างในการแก้มาตรา 69 ที่บอกว่า นอกเขต 12 ไมล์ทะเล ไม่มีสัตว์น้ำวัยอ่อน มันตรงข้ามกับประสบการณ์ที่เราเคยดำน้ำกลางทะเล เราจึงต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า เขตทะเลด้านนอกมีความสำคัญขนาดไหน” นัท สุมนเตมีย์ ช่างภาพใต้น้ำมากประสบการณ์ แกนนำคณะสำรวจ 12 ไมล์ทะเลนอกชายฝั่ง กล่าวถึงที่มาในการระดมทุนจากเพื่อนๆนักดำน้ำ เพื่อจัดทริปพานักวิชาการและสื่อมวลชนไปพิสูจน์ความจริงข้อนี้
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบแก้ไขมาตรา 69 ในร่างกฎหมายประมงฉบับใหม่ จากเดิมที่ระบุว่า ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมืออวนล้อมจับที่มีช่องตาอวนเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร ทำในเวลากลางคืน เป็นการห้ามเฉพาะในเขต 12 ไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่ง นั่นหมายความว่าอาจเปิดช่องให้มีการทำประมงอวนล้อมปลากะตักโดยใช้แสงไฟล่อนอกเขต 12 ไมล์ทะเลได้ โดยระบุเหตุผลว่าเพื่อเป็นการลดการนำเข้าปลากะตักเพราะค่า MSY หรือผลผลิตสูงสุดที่ยั่งยืน (Maximum Sustainable Yield: MSY) ของปลากะตัก ยังเหลือ
ภายหลังมีมติดังกล่าวทำให้เกิดข้อถกเถียงอย่างกว้างขวาง เพราะความจริงประเทศไทยมีกฎหมายห้ามใช้เครื่องมืออวนล้อมที่ใช้อวนตาถี่ประกอบกับแสงไฟเพื่อล่อปลามากว่า 40 ปีแล้ว เพราะพบว่าทำให้มีการจับสัตว์น้ำวัยอ่อนและปลาที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจที่ยังไม่เจริญเติบโตได้ขนาดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ดังประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เรื่องกำหนดขนาดช่องตาอวนที่ใช้ประกอบกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าทำการประมง ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2526 ความว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมืออวนหรือเครื่องมือชนิดหนึ่งชนิดใดที่ช่องตาเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร โดยวัดจากจุดกึ่งกลางเงื่อนถึงจุดกึ่งกลางเงื่อนเมื่อตาอวนเหยียดตรงใช้ประกอบกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (เครื่องปั่นไฟ) ทำการประมงในทะเลหรืออ่าวในท้องที่จังหวัดชายทะเลทุกจังหวัดโดยเด็ดขาด”



จุดประสงค์หลักของการเดินทางออกเรือสำรวจกลางทะเลนอกเขต 12 ไมล์ครั้งนี้จึงเป็นไปเพื่อสร้างหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าพื้นที่นอกชายฝั่งนั้นความจริงเป็นระบบนิเวศที่อุดมไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ และยังเป็นพื้นที่เชื่อมต่อสำคัญระหว่างระบบนิเวศชายฝั่งอย่างแนวปะการรัง ป่าชายเลนและหญ้าทะเล กับหมู่เกาะที่อยู่ห่างไกลกลางทะเล
การเดินทาง 4 วัน 3 คืนกลางทะเลนอกชายฝั่งอันดามัน จึงมีเป้าหมายสำคัญคือการบันทึกภาพสัตว์น้ำวัยอ่อนและฝูงปลาที่ถูกดึงดูดจากแสงไฟ การเก็บตัวอย่างสัตว์น้ำวัยอ่อนด้วยถุงลากเก็บแพลงก์ตอน (Plankton Net) รวมไปถึงการสำรวจระบบนิเวศกองหินนอกชายฝั่ง อย่างกองหินริเชลิว ซึ่งเป็นตัวอย่างระบบนิเวศกลางทะเลลึกที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะแหล่งรวมของสัตว์น้ำ และแนวเชื่อมต่อทางทะเล (marine corridor) กับระบบนิเวศอื่นๆ
การทำงานกลางทะเลต้องเผชิญกับความท้าทายหลายรูปแบบทั้งในเรื่องสภาพอากาศ คลื่นลมที่คาดการณ์ได้ยาก ระยะเวลาการทำงานที่จำกัด รวมไปถึงเรือปั่นไฟที่ต้องมีการประสานงานเพื่อขออนุญาตเข้าไปสำรวจและบันทึกภาพ องค์ประกอบสำคัญในการเก็บข้อมูลครั้งนี้ คือการดำน้ำลึกในเวลากลางคืน (Blackwater Diving)
วัชระ กาญจนสุต ครูสอนดำน้ำผู้เชี่ยวชาญการดำน้ำลึกในเวลากลางคืนแบบ Blackwater Diving อธิบายว่า ปกติการดำน้ำลักษณะนี้จะเป็นการดำน้ำในเวลากลางคืนในน่านน้ำเปิด (Open Ocean) โดยเฉพาะในทะเลลึกมากกว่า 60-100 เมตร จุดเด่นที่แตกต่างจากการดำน้ำกลางคืนทั่วไป เนื่องจากเป็นการดำน้ำเพื่อสังเกตสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ลอยขึ้นมาจากความลึกในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เรียกว่า Vertical Migration หรือ “การอพยพแนวดิ่ง” ซึ่งเป็นการเคลื่อนที่ขึ้นลงของแพลงก์ตอนและสัตว์น้ำในชั้นน้ำลึกระหว่างกลางวันและกลางคืน นักดำน้ำจะต้องลอยตัวอยู่กลางน้ำโดยไม่มีอะไรให้ยึดเกาะ การดำน้ำลักษณะนี้เหมาะสำหรับนักดำน้ำที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้น และต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นพิเศษ การดำน้ำโดยอาศัยแสงไฟดึงดูดสิ่งมีชีวิตใต้น้ำมากมาย ตั้งแต่ตัวอ่อนสัตว์น้ำที่มีลักษณะแปลกประหลาด ไปจนถึงปลาใหญ่และสัตว์ผู้ล่าที่เข้ามาหากินฝูงปลาขนาดเล็ก การสำรวจครั้งนี้ยังใช้เทคนิคการจัดไฟล่อแบบ Bonfire Diving ซึ่งเป็นการหย่อนแหล่งกำเนิดแสงไฟไล่ระดับเป็นกลุ่มๆ ในความลึกที่ตื้นกว่าเพื่อล่อสิ่งมีชีวิต เพื่อให้ช่างภาพได้บันทึกภาพและสังเกตพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตได้อย่างใกล้ชิด





จากประสบการณ์ดำน้ำแบบ Blackwater หลายแห่งทั่วโลก วัชระย้ำว่าทะเลไทยพบสิ่งมีชีวิตที่หาดูได้ยากและน่ามหัศจรรย์มากมาย สมควรที่จะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมและได้รับการอนุรักษ์ไว้ “การดำน้ำด้วยแสงไฟดึงดูดแพลงก์ตอนและตัวอ่อนสัตว์น้ำ ไม่ต่างอะไรกับการทำประมงด้วยการปั่นไฟ ผมเคยเห็นฉลามหัวค้อนกำลังไล่ล่าหมึกที่ระดับความลึกประมาณ 100 เมตร ซึ่งตอกย้ำถึงระบบนิเวศที่ซับซ้อนและความอุดมสมบูรณ์ของทะเลไทย ถ้าปล่อยให้มีการทำประมงด้วยอวนตาถี่โดยใช้ไฟล่อ มันเท่ากับเป็นการทำร้ายทะเลอย่างที่สุด”
จิระพงศ์ จีวรงคกุล นักวิชาการโครงการพัฒนาทางทะเลและชายฝั่ง มูลนิธิเอ็นไลฟ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านปลาทะเลของเมืองไทย เป็นนักวิชาการคนสำคัญประจำการสำรวจครั้งนี้ เพราะนอกจากจะทำหน้าที่จำแนกชนิดปลาและตัวอ่อนสัตว์น้ำที่พบ เขายังทำหน้าที่เก็บตัวอย่างสัตว์น้ำในบริเวณที่มีการใช้แสงไฟล่อ เพื่อแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของแสงไฟ
“ในทางวิชาการเรารู้ดีว่า สัตว์น้ำวัยอ่อนมีการแพร่กระจายไปไกลกว่า 12 ไมล์ทะเล และมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล ในเวลากลางวันบรรดาลูกปลาจะกระจายกันหากินตามระดับน้ำและพื้นที่ต่างๆ ฝูงปลากะตักจะรวมฝูงหากินกันเป็นกลุ่มก้อน ชาวประมงที่จับด้วยอวนปลากะตักในเวลากลางวันจึงจับปลากะตักได้เป็นส่วนใหญ่ มีสัตว์น้ำพลอยจับได้บ้างเล็กน้อย แต่ในเวลากลางคืน ลูกปลาสารพัดชนิดจะถูกดึงดูดด้วยแสงไฟที่ปั่นไว้ มองเห็นได้ไกลจากหลายกิโลเมตร ลูกปลาพวกนี้จะว่ายปะปนมากับฝูงปลากะตัก ยิ่งอนุญาตให้ใช้อวนตาถี่ ลูกปลาและสัตว์น้ำวัยอ่อนเหล่านี้จะถูกจับรวมไปเป็น ปลาเป็ด กลายเป็นวัตถุดิบของอาหารสัตว์ ซึ่งแทบไม่มีราคา ทำให้เราเสียโอกาสทางเศรษฐกิจจากการจับปลาใหญ่ ปีละกว่าหมื่นล้าน แล้วทำไมเราถึงจะผลักดันกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ทะเลถูกทำลายมากขึ้น ทั้งๆ ที่มีหลักฐานข้อมูลชัดเจน”
คืนแรกของการสำรวจ วัชระทำการจัดไฟเพื่อล่อสิ่งมีชีวิตใต้น้ำในลักษณะ Bonfire คือห้อยไฟท้ายเรือไล่ระดับจนไปถึงระดับความลึกประมาณ 22 เมตร จิระพงศ์และผมรับผิดชอบเก็บตัวอย่างสัตว์น้ำจากท้ายเรือที่มีแสงไฟล่อ เพื่อนำไปจำแนกชนิดอย่างละเอียดต่อไป ขณะที่ทีมช่างภาพนำโดยนัท ลงไปบันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว เราพบสัตว์น้ำวัยอ่อนหลากหลายชนิด โดยเฉพาะกุ้ง ปู และปลาหลายชนิด สัตว์น้ำวัยอ่อนมีรูปร่างลักษณะเฉพาะซึ่งมีความน่าสนใจ และยังเป็นข้อมูลที่ยังขาดแคลนอยู่มาก จะว่าไปการเก็บข้อมูลเหล่านี้นับเป็นจิกซอว์สำคัญที่จะช่วยให้เราเข้าใจความเชื่อมโยงของระบบนิเวศทางทะเลมากขึ้น และสามารถวางแผนจัดการการใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กว่าจะเสร็จภารกิจคืนแรกก็ล่วงเลยเวลาเกือบสองนาฬิกาของวันใหม่
คืนที่สองหลังจากใช้เวลาประสานงานอยู่นาน ทีมสำรวจก็ได้รับความอนุเคราะห์จากเรือปั่นไฟอวนล้อมที่ถูกกฎหมายทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่เกาะสุรินทร์ ให้เข้าไปบันทึกภาพใต้เรือได้ เรืออวนล้อมเหล่านี้จะมีการทำซั้งล่อปลาทิ้งไว้ที่ระดับความลึก 50-70 เมตร และเปิดไฟล่อซึ่งกฎหมายกำหนดให้ขนาดตาอวนต้องไม่เล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร

การลงดำน้ำใต้เรือปั่นไฟนับเป็นประสบการณ์ใหม่ของทุกคนในทีม ไต๋เรือลำที่เราเข้าไปสำรวจให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำให้เราเข้าใจรูปแบบการใช้ประโยชน์ของเรืออวนล้อมปั่นไฟมากขึ้น รวมไปถึงตำแหน่งที่มีการวางซั้งแทบจะครอบคลุมพื้นที่ทุกตารางกิโลเมตรของทะเลไทย สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดคือการได้พบกับโลมาปากขวดฝูงใหญ่ราวสิบตัวที่เข้ามาว่ายเวียนหากินฝูงปลาที่ถูกดึงดูดจากแสงไฟ ไต๋เรือให้ข้อมูลว่าเป็นเรื่องปกติ บางครั้งพบเป็นฝูงขนาดใหญ่นับร้อยตัว นับเป็นเครื่องยืนยันอิทธิพลของการใช้แสงไฟล่อได้เป็นอย่างดีว่า ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำวัยอ่อนเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลต่อวงจรชีวิตของสัตว์น้ำ ไปจนถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลที่เป็นผู้ล่าสูงสุดในห่วงโซ่อาหาร
เมื่อทีมงานพร้อม ไต๋เรือใช้เทคนิคหรี่แสงไฟลงเพื่อดึงให้ฝูงปลาขึ้นมาสู่ผิวน้ำจากระดับความลึกกว่า 50 เมตร แต่ปรากฏว่าแสงไฟจากทีมช่างภาพมีความสว่างไม่น้อย ฝูงปลาขนาดใหญ่จึงไม่ขึ้นมาสู่ผิวน้ำอย่างที่คาดการณ์ แต่ทีมสำรวจยังพบสิ่งมีชีวิตหลากหลายกลุ่มโดยเฉพาะหมึก และลูกปลาหลายชนิดในกลุ่มปลาขี้ตังเบ็ด (Acanthurus) ปลาจุ้ยจิน (Atropus) ในกลุ่มปลาหางแข็ง ปลากะมงในสกุล Caranx ปลาหมูสีในสกุล Lethrinus รวมไปถึงปลาเก๋าในสกุล Epinephelus ซึ่งปลาหลายชนิดเมื่อโตเต็มที่นับเป็นปลาเศรษฐกิจที่มีมูลค่าตลาดสูงมาก

ในคืนสุดท้าย เป็นการสำรวจบริเวณด้านใต้ของเกาะสุรินทร์ เป็นการดำ Blackwater Diving โดนการหย่อนไฟลงไปที่ระดับความลึกราว 60 เมตร ซึ่งพบฝูงปลาหลายชนิดเข้ามาหากินบริเวณทุ่นไฟจำนวนมาก รวมทั้งฝูงหมึกที่ออกล่าปลาขนาดเล็กอีกด้วย
“ผมแปลกใจที่เจอฝูงโลมาปากขวด เราไม่เคยรู้เรื่องแบบนี้มาก่อน เขาอาจจะเรียนรู้และเข้ามาไล่ล่าเหยื่อรอบๆ แสงไฟเราได้เห็นอย่างชัดเจนว่า แสงไฟมีอิทธิพลต่อวงจรห่วงโซ่อาหารในทะเลขนาดไหน แสงไฟดึงดูดแพลงก์ตอน แล้วแพลงก์ตอนก็ดึงดูดปลาที่มีขนาดเล็กกว่าอย่างพวกปลากะตัก เมื่อปลาขนาดเล็กมารวมกัน ปลาที่มีขนาดใหญ่กว่า อย่างพวกปลาทู หรือว่าปลาลังก็มาไล่กินปลากะตัก และอาจจะมีปลาอินทรีที่ใหญ่กว่ามากินปลาทูอีกทอดหนึ่ง หรือโลมาจะมาไล่กินฝูงปลาใหญ่อีกต่อ นี่จึงเป็นบทพิสูจน์ว่า นอก 12 ไมล์ทะเลยังมีสัตว์น้ำวัยอ่อน และปลาหลากหลายชนิดที่เข้ามาเมื่อมีไฟล่อ” นัทให้ความเห็น
นัทย้ำกับสื่อมวลชนที่ไปกับพวกเราหลายครั้งว่า อยากให้มีการทบทวนมาตรา 69 เพื่ออนาคตของทะเลไทย สิ่งที่คณะสำรวจต้องการแสดงให้เห็น ไม่ใช่เป็นการกีดกันการทำประมง แต่เราต้องเข้าใจว่า เรื่องนี้มีการศึกษาวิจัยจนตกผลึกห้ามใช้อวนตาถี่ประกอบแสงไฟจับปลากะตักมากว่า 40 ปีแล้ว ถ้าย้อนกลับไปอนุญาต ย่อมเหมือนเป็นการถอยหลังลงคลอง และจะเกิดผลกระทบในระยะยาวแน่นอน
นัททิ้งท้ายถึงความตั้งใจของคณะสำรวจในครั้งนี้ว่า “ไม่อยากให้หลายๆ ครั้งที่เราเห็นอะไรที่รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง แล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป ถึงเวลาที่ต้องลุกขึ้นมายืนหยัด ทำในสิ่งที่เชื่อ ถึงแม้จะได้ผลหรือไม่ได้ผล อย่างน้อยที่สุด ผมคิดว่าพวกเราได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว”
ผมคิดว่าคุณูปการของการพยายามแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ ทำให้เราเห็นว่ามีคนรักท้องทะเลอยู่มากมาย เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นความร่วมมือร่วมใจระหว่างกลุ่มนักดำน้ำ ช่างภาพใต้น้ำ ชาวประมงพื้นบ้าน นักตกปลา ไปจนถึงนักวิทยาศาสตร์ทางทะเล ทำงานประสานกันอย่างแข็งขัน ผ่านการบอกเล่าเรื่องราวอย่างมีศิลปะ และช่วยถ่ายทอดออกไปสู่สังคมวงกว้าง กฎหมายประมงสมควรได้รับการแก้ไขให้พัฒนาก้าวไปข้างหน้า ปิดช่องว่างช่องโหว่เพื่อเปลี่ยนผ่านการประมงไปสู่ความยั่งยืน แต่ไม่ควรถอยหลัง ซ้ำรอยบทเรียนมากมายที่เราเคยทำผิดพลาดในอดีต
ภารกิจการออกตามหาปลาวัยอ่อนใต้แสงไฟครั้งนี้อาจไม่ใช่เพียงแค่การหยุดกฎหมายที่เปิดโอกาสให้มีการทำร้ายทะเลมากขึ้น แต่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการปกป้องทะเลไทย เพราะถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชาวประมง นักท่องเที่ยว นักดำน้ำ นักวิจัย ทุกฝ่ายต่างมีความต้องการไม่ต่างกัน นั่นคือทะเลไทยที่สมบูรณ์ ที่เอื้อประโยชน์ต่อคนไทยโดยรวมอย่างแท้จริง





ลูกปลาหมึกหอม (𝘚𝘦𝘱𝘪𝘰𝘵𝘦𝘶𝘵𝘪𝘴 𝘭𝘦𝘴𝘴𝘰𝘯𝘪𝘢𝘯𝘢)

ลูกปลาสลิดหิน (Siganus sp.)

ลูกปลาสามขาทะเลลึกวัยเด็ก (Bathypterois sp.)
หมายเหตุ: วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ประชุมวุฒิสภามีมติ 141 ต่อ 3 เสียง และงดออกเสียง 4 เสียง เห็นชอบตามที่กรรมาธิการของวุฒิสภาเสนอให้แก้ไขมาตรา 69 เป็น “ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมืออวนล้อมจับทุกประเภทที่มีช่องตาอวนเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร ทำการประมงในเวลากลางคืน” หมายความว่า จะไม่สามารถใช้อวนตาถี่ ‘ทุกประเภท’ จับสัตว์น้ำได้ในเวลากลางคืน ไม่ว่าจะห่างจากชายฝั่งกี่ไมล์ทะเลก็ตาม เนื่องจากมีมาตราที่วุฒิสภาไม่เห็นชอบตามสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ร่างกฎหมายถูกส่งกลับไปให้สภาผู้แทนราษฏรพิจารณาลงมติอีกครั้ง หากสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบ ก็จะทำให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ประกาศใช้ได้ แต่หากไม่เห็นด้วยกับร่างที่ผ่านวุฒิสภา จะต้องตั้งกรรมาธิการร่วมสองสภามาพิจารณาต่อไป
เรื่อง เพชร มโนปวิตร
ภาพถ่าย ศิรชัย อรุณรักษ์ติชัย
และ คณะสำรวจนอก 12 ไมล์ทะเล
นัท สุมนเตมีย์
วัชระ กัญจนสุต
ศุภชัย วีรยุทธานนท์
ชนันพัทธ์ สุรชัยกุลวัฒนา
ไอศูรย์ เทพสาสน์กุล