“มหาสมุทรของโลกกำลัง ‘มืดลง’ อย่างมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล”
ผลการศึกษาใหม่จากมหาวิทยาลัยพลีมัธพบว่ามหาสมุทรทั่วโลกราวร้อยละ 21 ซึ่งรวมถึงบริเวณชายฝั่งขนาดใหญ่และมหาสมุทรเปิด กลายเป็นสีเข้มมากขึ้น ทำให้สิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศในทะเลไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติได้
โดยทั่วไปแล้วสิ่งมีชีวิตในทะเลจะเจริญเติบโตได้ดีเขตที่เรียกกันว่า ‘โฟติกโซน’ (Photic Zones) หรือเขตมีแสง ซึ่งเป็นชั้นผิวน้ำที่แสงสามารถส่องผ่านเข้ามาได้เพียงพอ ให้สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเช่น ไฟโตแพลงก์ตอนสังเคราะห์ได้ กลายเป็นพื้นฐานของห่วงโซ่อาหาร ให้กับตัวเคย ปลาขนาดเล็ก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก
ได้มาใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เหล่านี้ กลายเป็นพื้นฐานของระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของมหาสมุทร อีกทั้งยังช่วยสร้างออกซิเจนเกือบครึ่งหนึ่งของโลกให้ทุกชีวิตได้หายใจ แต่ถึงแม้จะมีผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทว่าเขตโฟติกนั้นกลับมีความลึกสูงสุดที่ 200 เมตรเท่านั้น ดังนั้นจึงมีความเปราะบางสูง
อย่างไรก็ตามงานวิจัยใหม่เผยให้เห็นว่า มหาสมุทรทั่วโลกราวร้อยละ 21 หรือคิดเป็นพื้นที่โดยรวมขนาด 75 ล้านตารางกิโลเมตร เทียบเท่ากับพื้นที่ของยุโรป แอฟริกา จีน และอเมริกาเหนือรวมกัน อีกทั้งยังเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตในทะเล 90 เปอร์เซ็น กำลังมืดลง
“ผลการศึกษาของเรามีหลักฐานว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้เกิดความมืดมิดในวงกว้าง นอกจากนี้ เราพึ่งพามหาสมุทรและโซนโฟติกในอากาศที่เราหายใจ ปลาที่เรากิน ความสามารถในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และสุขภาพกับความเป็นอยู่โดยรวมของโลก” ดร. โทมัส เดวีส์ (Thomas Davies) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการอนุรักษ์ทางทะเลที่มหาวิทยาลัยพลีมัธ กล่าว
“เมื่อพิจารณาจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ผลการศึกษาของเรา ถือเป็นสาเหตุที่น่ากังวลอย่างแท้จริง” เขาเสริม
เดวีส์ และเพื่อนร่วมงานของเขาได้ใช้ข้อมูลดาวเทียมและอัลกอริทึมที่ใช้ในการวัดแสงในน้ำทะเล เพื่อคำนวณความลึกของโซนโฟติกทั่วโลก จากโครงการ Ocean Colour Web ของนาซา (NASA) ที่แบ่งมหาสมุทรทั่วโลกออกเป็นพิกเซลขนาด 9 กิโลเมตร
ซึ่งให้ข้อมูลว่า มหาสมุทรมืดลงอย่างกว้างขวางในบริเวณชายฝั่งและทะเลปิด อย่างทะเลบอลติก ซึ่งฝนที่ตกลงบนบกจะพัดพาตะกอนและสารอาหารลงไปในทะเล กระตุ้นให้แพลงก์ตอนเติบโต และลดปริมาณแสง
ขณะเดียวกัน พื้นที่ทะเลเหนือและทะเลเซลติก ชายฝั่งตะวันออกของอังกฤษและสกอตแลนด์ แนวชายฝั่งของเวลส์ และส่วนทางเหนือของทะเลไอริช ล้วนมืดลงในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยยังไม่ทราบแน่ชัดว่าปัจจัยได้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิ่งนี้
“พื้นที่ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการไหลเวียนของมหาสมุทร หรือมหาสมุทรที่อุ่นขึ้นอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ดูเหมือนจะมืดลงเช่น มหาสมุทรใต้และขึ้นไปถึงกระแสน้ำกัลฟ์สตรีมผ่านกรีนแลนด์” เดวีส์ กล่าว
แม้ว่าโดยรวมแล้วมหาสมุทรจะมืดลงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่ก็มีพื้นที่มหาสมุทรประมาณร้อยละ 10 หรือ 37 ล้านตารางกิโลเมตรกลับสว่างขึ้นเช่น นอกชายฝั่งตะวันตกของไอร์แลนด์ พื้นที่มหาสมุทรขนาดใหญ่แห่งหนึ่งสว่างขึ้น แต่บริเวณที่ไกลออกไปก็มืดลง
“สิ่งมีชีวิตในทะเลใช้แสงเพื่อจุดประสงค์ต่าง ๆ มากมาย พวกมันใช้แสงในการหาอาหาร ผสมพันธ์ กำหนดเวลาสืบพันธุ์ พวกมันใช้แสงในทุกส่วนของชีววิทยา” เดวีส์ กล่าว “เมื่อมหาสมุทรมืดลง พวกมันต้องเคลื่อนที่ขึ้นไปในแนวน้ำ และมีพื้นที่น้อยลง พวกมันทั้งหมดถูกบีบอีดให้ขึ้นมาที่ผิวน้ำ”
สิ่งเหล่านี้จึงเป็น “แนวโน้มที่น่ากังวล” ตามคำกล่าวของศาสตร์จารย์ โอลิเวอร์ ซีลินสกี้ (Oliver Zielinski) ผู้อำนวยการสถาบันไลบ์นิซเพื่อการวิจัยทะเลบอลติกในเยอรมนี
“การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำลายห่วงโซ่อาหารในทะเล เปลี่ยนแปลงการกระจายพันธุ์ และทำให้ความสามารถของมหาสมุทรในการรองรับความหลากหลายทางชีวภาพกับการควบคุมสภาพอากาศ อ่อนแอลง” เขา กล่าว “ทะเลชายฝั่งซึ่งอยู่ใกล้กับกิจกรรมของมนุษย์มากที่สุด มีความเสี่ยงเป็นพิเศษ และความยืดหยุ่นของทะเลชายฝั่งก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพทางนิเวศวิทยา และความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์”
สืบค้นและเรียบเรียง
วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา
https://oceanographicmagazine.com