เมื่ออุตสาหกรรมอาหารไม่เพียงแต่สร้างการเปลี่ยนแปลงด้านอาหาร แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนโลกและสร้างผลกระทบที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมได้เช่นกัน
บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF คือหนึ่งในนั้น พวกเขาคือกลุ่มบริษัทผู้นำด้านการผลิตผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหารและอาหารสำเร็จรูป ผู้นำด้าน Specialty Food ที่มีประสบการณ์มานานกว่า 30 ปี มีผลิตภัณฑ์หลากหลายจนเรียกได้ว่าเป็นบริษัท One Stop Service เลยทีเดียว มีสินค้าส่งออกไปใน 30 ประเทศทั่วโลก ทั้งสหรัฐอเมริกา ประเทศในยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย ที่สำคัญ ยังมีโรงงาน Pure Plant-Based ในยุโรปอีกด้วย สนับสนุนโครงการวิจัยกับองค์กรไม่แสวงหากำไรระดับโลก เพื่อสร้างความตระหนักเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางอาหาร และรับมือการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลและอนาคตของแพลตฟอร์มอาหารรูปแบบใหม่
บริษัทฯ ยังยึดมั่นในนโยบายความยั่งยืนด้านคุณค่าและในห่วงโซ่คุณค่า เพื่อการผลิตที่ดีขึ้นพร้อมไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้เป็นต้นน้ำของห่วงโซ่อุปาทาน รวมไปถึงมุ่งมั่นเป็นองค์กรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเท่ากับศูนย์ หรือ Net Zero Emission ให้ได้ภายในปี ค.ศ. 2030
การขับเคลื่อนองค์กรใช้หลัก Purpose-led Company มีเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้องค์กรทำงานบนพื้นฐานความยั่งยืน ทั้ง Sustainable Food Ecosystem หรือการสร้างระบบนิเวศอาหารอย่างยั่งยืน และเป็นบริษัทชั้นนำในการสร้างอาหารสำหรับอนาคต เช่น อาหารทางเลือกจากพืช (Plant-based Food) ทำให้เห็นได้ว่าองค์กรมุ่งไปสู่การเป็น Climate Actor และ Plant-based Foodies ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของทุกคนและโลกด้วยการปล่อยคาร์บอนต่ำที่สุด ผ่านการพลิกโฉมระบบอาหาร
โดยประกาศการขับเคลื่อนองค์กรตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ (United Nations) ทั้ง 10 ข้อ ซึ่งก้าวใหญ่อีกขั้นคือการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน (Functional Food) ด้วยบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นมิตรกับผู้ใช้
ทั้งยังก่อตั้งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอย่าง Food Shot ขึ้นในปี 2018 เพื่อมอบความเท่าเทียมทางสังคมให้กับกองทุน และเริ่มต้นต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในครั้งนี้เป็นการร่วมมือกับทางมูลนิธิ Walton และ Rockfeller ทั้งมอบเงินทุนและจัดหาเงินให้กับบริษัทที่เพิ่งเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงองค์กรของตัวเอง ให้กลายเป็นผู้นำการปฏิวัติในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเช่นกัน และเพื่อขยายระบบนิเวศระดับโลกของพันธมิตรด้านเทคโนโลยี ในปีถัดมา จึงมีการลงทุนใน Big Idea ร่วมกับตัวเร่งปฏิกิริยาโปรตีนทางเลือกที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพิ่มเติมด้วย
นอกจากนี้ ยังส่งเสริมความตระหนักรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านกิจการเพื่อสังคม “Root the Future” รวมถึงกิจกรรมเพื่อส่งเสริมอื่น ๆ อาทิ เทศกาลอาหารจากพืชครั้งแรก รางวัลอาหารจากพืชของไทย ไปจนถึง Forum for the Future งานเสวนาเพื่อหาทางออกและป้องกันผลกระทบจากปัญหาของโลก ด้วยการวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับความท้าทายด้านโปรตีนทางเลือกในปี 2040 ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบวิธีการใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้หลากหลายมากขึ้น
ส่วนโรงงานผลิตของ NRF เอง ได้มีการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานมากขึ้น ด้วยการเปลี่ยนหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์เป็น LED ติดตั้ง Solar Roof เพื่อใช้พลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต ตลอดจนการนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาประยุกต์ใช้ อย่างการนำของเสียที่ได้จากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่เป็นปุ๋ยชีวภาพ ส่งต่อไปยังเกษตรกรผู้ผลิตได้ใช้ประโยชน์ การรับบริจาคกล่องเครื่องดื่ม UHT กระป๋องเครื่องดื่ม ห่วงฝากระป๋องอะลูมิเนียมต่างๆ ผ่านกิจกรรมโครงการหลังคาสีเขียว และมูลนิธิผู้พิการทางการเคลื่อนไหวสากล
รวมไปถึงกิจกรรม ‘ฝานี้เราขอ’ นำขวดพลาสติกเปลี่ยนเป็นผ้าไตรจีวร เพื่อกระจายความรู้เกี่ยวกับการรีไซเคิลขยะและเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนวัดจากแดง จังหวัดสมุทรปราการ
ผลลัพธ์ที่ได้จากกิจกรรมการมีส่วนร่วมที่ผ่านมา ทำให้ NRF มีส่วนร่วมในการผลิตขาเทียม ผ้าไตรจีวร ลดปริมาณขยะภายในสถานประกอบการถึงครึ่งตัน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศโลกเทียบเท่ากับการปลูกต้นสัก 819 ต้น
การเดินทางของพวกเขานำพามาซึ่งรางวัลความสำเร็จทางความยั่งยืนมากมาย ตั้งแต่การเป็นผู้บุกเบิกและผู้นำด้านการพัฒนาและผลิตผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืช ผู้ผลิตอาหารรายแรกในประเทศไทยที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับศูนย์ 2 ปีต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังเป็นบริษัทแรกในประเทศไทยที่ให้พันธสัญญาในการกำหนดเป้าหมายตามวิทยาศาสตร์ (SBTi) ลงนามใน 1.5 Degrees Pledge เข้าร่วมแคมเปญ Race to Zero ศึกษาการกักเก็บคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศโดยสาหร่าย (Blue Carbon) และยังได้รับคัดเลือกในอีกหลายเวที
รวมถึงรับบทคณะอนุกรรมการด้านสิ่งแวดล้อมของภายใต้ UN Global Compact Network Thailand ขององค์การสหประชาชาติ เพื่อร่วมเสนอแนวทางการสร้างสรรค์ สร้างความตระหนักรู้ในการมีส่วนร่วมของทั้งภาครัฐ และเอกชน บนความร่วมมือกับบริษัทฯ ชั้นนำของประเทศไทย และในระดับโลก จะเห็นได้ว่า NRF ได้รับรางวัลมาตรฐานความยั่งยืนในระดับชาติ เช่น THSI, ESG100, ESG Emerging ทั้งนี้ เป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนอย่างแท้จริง
และเชื่อเหลือเกินว่าการเดินทางของพวกเขาจะยังไม่สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ เพราะยังมีอีกหลายโครงการและกิจกรรมที่พวกเขาสานต่อ เพื่อผนึกกำลังเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่หาทางออกเพื่อช่วยแก้ปัญหาที่โลกกำลังเผชิญได้อีกแรง