วิหารอาบูซิมเบลกับบทบาทของ ‘แจ็กเกอลีน เคนเนดี’ ที่ไม่ค่อยมีใครรู้

วิหารอาบูซิมเบลกับบทบาทของ ‘แจ็กเกอลีน เคนเนดี’ ที่ไม่ค่อยมีใครรู้

ย้อนหลังไป 65 ปีก่อน วิหารโบราณแห่งหนึ่งของอียิปต์ถูกกำหนดให้อันตรธานไปใต้ผืนน้ำขุ่นมัวของเขื่อนแห่งใหม่ที่กำลังสร้างขึ้น กระทั่งแจ็กกี เคนเนดี เข้ามามีส่วนช่วยกอบกู้

เพื่อก้าวสู่อนาคตที่มั่นคง อียิปต์ตัดสินใจอย่างลำบากเพื่อทิ้งอดีตไว้เบื้องหลัง ตอนนั้นคือปี 1960 และการก่อสร้างเพิ่งเริ่มต้นขึ้นทางใต้ของเขื่อนสูงอัสวาน (Aswan High Dam) ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จจะผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ หล่อเลี้ยงพื้นที่เพาะปลูกได้มากขึ้น และควบคุมแม่น้ำไนล์ที่มักเอ่อท่วมเป็นประจำ แต่แม้เขื่อนจะสร้างประโยชน์หลายอย่าง มันยังหมายถึงหายนะสำหรับสิ่งมหัศจรรย์ทางโบราณคดีในพื้นที่ด้วย คาดว่าอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่โตของเขื่อนจะทำลายแหล่งประวัติศาสตร์หาค่ามิได้นับสิบแห่ง รวมถึงวิหารคู่อันสง่างามของอาบูซิมเบล  

อนุสรณ์สถานแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อกว่าสามพันปีก่อนตามพระบัญชาของฟาโรห์รามเสสที่สอง โดยสกัดเข้าไปในผาหินทรายบนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ ด้านหน้าของวิหารหลักมีรูปสลักสูงตระหง่านของรามเสสที่สองตั้งอยู่สี่รูป แต่ละรูปสูงถึง 20 เมตร ส่วนวิหารขนาดเล็กกว่าที่อยู่ใกล้ๆ สร้างอุทิศถวายราชินีเนเฟอร์ตารี และฮาทอร์ เทพีแห่งความรัก ดนตรี และนาฏศิลป์ของอียิปต์ ภายในวิหารทั้งสองแห่งที่สลักลึกเข้าไปในหน้าผาประดับประดาไปด้วยรูปสลักทวยเทพอียิปต์ และภาพสลักแสดงชัยชนะทางการทหาร นี่คือเพชรน้ำงามที่สุดเม็ดหนึ่งแห่งองค์ฟาโรห์ และกำลังจะสูญหายไปตลอดกาล 

เดือนตุลาคม ปี 1965 ชิ้นส่วนพระพักตร์น้ำหนัก 18 ตันของฟาโรห์รามเสสที่สอง ซึ่งเคยตั้งตระหง่านอยู่มากว่า 3,000 ปี ถูกตัดอย่างพิถีพิถันจากหน้าผาหินทรายริมฝั่งแม่น้ำไนล์ของอียิปต์ ก่อนจะลำเลียงและเคลื่อนย้ายไปยังที่ตั้งใหม่ หากไม่ได้พันธมิตรที่เกิดขึ้นห่างออกไปครึ่งโลก เหล่ารูปสลักอันเลื่องลือแห่งอาบูซิมเบลก็อาจจมอยู่ใต้ทะเลสาบขนาดมหึมาที่เกิดจากการสร้างเขื่อนสูงอัสวาน (ภาพถ่าย: จอร์จ เกิร์สเตอร์, NATIONAL GEOGRAPHIC IMAGE COLLECTION แผนที่: NGM)
ภารกิจปกป้องวิหารอาบูซิมเบลที่นิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับพฤษภาคม ปี 1969 ยกให้เป็น “งานกอบกู้ อันน่าทึ่งที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์” มีหลายสิบประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง และใช้งบประมาณสูงถึง 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับค่าเงินในปัจจุบัน (ภาพถ่าย: จอร์จ เกิร์สเตอร์, NATIONAL GEOGRAPHIC IMAGE COLLECTION)

เพื่อปกป้องอาบูซิมเบล พันธมิตรนานาชาติของนักอนุรักษ์เปิดตัวพันธกิจกอบกู้วิหารแห่งนี้ ก่อนที่เขื่อนจะสร้างแล้วเสร็จในปี 1970 แผนการที่วางไว้คือการตัดกลุ่มอาคารวิหารทั้งหมดจากภูเขาด้านหลัง โดยแยกเป็นชิ้นส่วนรวมกันกว่าหนึ่งพันชิ้นอย่างพิถีพิถัน จากนั้นจึงลำเลียงและประกอบเข้าด้วยกันใหม่อีกครั้งบนพื้นที่สูงขึ้นไป งานนี้จะประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันอย่างไม่เคยมีมาก่อนระหว่างยูเนสโกกับเหล่านักโบราณคดี สถาปนิกและนักไอยคุปต์วิทยานับพันชีวิตจากหลายสิบประเทศ แต่ด้วยงบประมาณสูงลิ่วถึง 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐตามมูลค่าปัจจุบัน งานทั้งหมดดูเหมือนแพงเกินกว่าจะเดินหน้าไปได้ กระทั่งนักการทูตที่ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ผู้หนึ่งเข้ามาแทรกแซงพร้อมวิสัยทัศน์ห้าวหาญในอันที่จะสนับสนุนโครงการดังกล่าว ซึ่งจะลงเอยด้วยการปฏิรูปองค์การระหว่างประเทศอย่างยูเนสโกและวิธีการที่เหล่าผู้นำในอนาคตจะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ 

ไกลออกไปครึ่งโลก สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งในอนาคตอย่างแจเกอลีน เคนเนดี เฝ้าติดตามชะตากรรมของอาบูซิมเบลอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ได้อ่านเรื่องราวการค้นพบสุสานฟาโรห์ตุตันคามุนของเฮาเวิร์ด คาร์เตอร์ เมื่อปี 1922 เธอก็หลงใหลในเหล่ามัมมี่และพีระมิดของอียิปต์โบราณ หลายปีต่อมา เมื่อเพื่อนคนหนึ่งส่งวารสารทางการของยูเนสโกชื่อ UNESCO Courier  ให้อ่าน เธอพบข้อความเรียกร้องบรรดาผู้นำโลกให้ปกป้องอาบูซิมเบลก่อนจะสายเกินไป เธอก็ตั้งปณิธานว่าจะปกป้องความทรงจำของจักรวรรดิที่เคยเกรียงไกรนี้ซึ่งเธอรู้จักตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก

หลังจากจอห์น เอฟ. เคนเนดี (เจเอฟเค) ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 1961 แจ็กเกอลีนพยายามโน้มน้าวผู้เป็นสามีว่า เพราะเหตุใดสหรัฐฯ จะได้ประโยชน์จากการเข้าไปมีส่วนร่วมในความพยายามนี้ แต่แทนที่จะทำเพียงปิดประตูพูดคุย สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนใหม่ตัดสินใจดำเนินการผ่านช่องทางที่เป็นทางการอื่นๆ ด้วย เธอร่างบันทึกอย่างละเอียดลออเปรียบเทียบการสูญเสียอาบูซิมเบลว่าเหมือน “การปล่อยให้วิหารพาร์เทนอนจมอยู่ใต้น้ำ” และตอกย้ำความเป็นไปได้ของการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับวิหารแห่งนี้ ตลอดจนความสำคัญของมันที่มีต่อแอฟริกาทั้งหมด อันเป็นภูมิภาคที่เจเอฟเคพยายามกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสงครามเย็น 

เธอมอบบันทึกนี้ให้ ริชาร์ด กู๊ดวิน ที่ปรึกษาทำเนียบขาว ผู้ที่ต่อมาช่วยเรียกร้องความสนใจจากประธานาธิบดี และอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ไปสู่อียิปต์ “ข้าพเจ้าโน้มน้าวท่านประธานาธิบดีให้ร้องขอต่อรัฐสภาเพื่ออนุมัติ ความช่วยเหลือทางการเงินในการกอบกู้วิหารอาบูซิมเบล” แจ็กเกอลีนเท้าความหลังอย่างภาคภูมิใจ และหลังจากการเจรจาต่อรองกับสมาชิกผู้ทรงอิทธิพลในรัฐสภา ในที่สุด เธอก็ประสบความสำเร็จ เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศว่าจะสนับสนุนงบประมาณหนึ่งในสามของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ส่วนที่เหลืออียิปต์และยูเนสโกจะเป็นผู้รับภาระ 

หลังโน้มน้าวสามี จอห์น เอฟ. เคนเนดี ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น ให้มอบเงินช่วยเหลือโครงการอนุรักษ์วิหาร อาบูซิมเบลที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล แจ็กเกอลีน เคนเนดี ยังแสวงหาความช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มเติมด้วยการเป็นประธานเปิดนิทรรศการจัดแสดงโบราณวัตถุ 34 ชิ้นจากสุสานฟาโรห์ตุตันคามุน ณ หอศิลป์แห่งชาติในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. (ภาพถ่าย: แอบบี โรว์, WHITE HOUSE PHOTOGRAPHS, JOHN F. KENNEDY PRESIDENTIAL LIBRARY AND MUSEUM)

พอล่วงถึงปี 1963 แผนการดำเนินงานก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้น และทีมงานซึ่งมีทั้งชาวอียิปต์ เยอรมัน ฝรั่งเศส และอิตาลี ในจำนวนนี้มีช่างแกะสลักหินอ่อนชั้นครูจากการ์ราราในอิตาลีรวมอยู่ด้วย พวกเขาตัดวิหารอาบูซิมเบลเป็นชิ้นส่วนขนาดใหญ่น้ำหนักมากถึง 30 ตัน โดยใช้เครื่องมือหลากหลายรวมถึงเลื่อยมือ ชิ้นส่วนหินทรายเหล่านี้ได้รับการระบุหมายเลขกำกับ และขนย้ายได้รถเทรลเลอร์ไปยังภูเขาหินทรายเทียมลูกใหม่ที่อยู่สูงขึ้นไป 61 เมตร และลึกเข้าไปในแผ่นดิน 210 เมตร จากแนวตลิ่งเดิมของแม่น้ำไนล์ คนงานควบคุมรถเครนค่อยๆ ยกชิ้นส่วนของสถาปัตยกรรมชิ้นเอก   แห่งองค์ฟาโรห์ขึ้นไปประกอบเข้าด้วยกันใหม่อีกครั้ง เหมือนชิ้นส่วนเลโก้ยักษ์ที่ต่อเข้าด้วยกันทีละชิ้นๆ จนสำเร็จลุล่วง 

แน่นอนว่าบทบาทและทักษะทางการทูตแบบ “ละมุนละไม” (soft diplomacy) และการโน้มน้าวอย่างมีพลังเป็นการส่วนตัวของแจ็กเกอลีน เคนเนดี คือคุณูปการส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ฟาโรห์รามเสสที่สอง และทั้งหมดที่เหลือของวิหารอาบูซิมเบลตั้งตระหง่านอย่างสง่างามและปลอดภัยอีกครั้งทางใต้ของอียิปต์  พร้อมที่จะยืนยงต่อไปอีก 3,000 ปี เพื่อเป็นการตอบแทนความช่วยเหลือที่เกิดจากการผลักดันของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง รัฐบาลอียิปต์ได้มอบวิหารเดนดูร์ (Temple of Dendur) ขนาดเล็กกว่าที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่หนึ่งก่อนคริสตกาล และได้รับการกอบกู้จากเขื่อนสูงอัสวานเช่นกัน แก่รัฐบาลสหรัฐฯ และปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิแทน (Metropolitan Museum of Art) ในนครนิวยอร์ก ถึงที่สุดแล้ว เจเอฟเคอยู่ไม่ทันได้เห็นผลงานที่เกิดจากความพยายามของภรรยา เขาถูกลอบสังหารและถึงแก่อสัญกรรมก่อนหน้าที่งานเคลื่อนย้ายวิหารอาบูซิมเบลจะเริ่มขึ้นด้วยซ้ำ

ต้องใช้เวลาเกือบห้าปีในการสกัด ตัด และเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนประติมากรรมหินทรายทั้งหมดทั้งจากด้านหน้าและภายในวิหารอาบูซิมเบล รวมถึงโถงไฮโปสไตล์ (hypostyle) รองรับด้วยเสาหินขนาดมหึมาแปดต้นที่สลักเป็นรูปฟาโรห์รามเสส ที่สอง ไปยังที่ตั้งใหม่ซึ่งเป็นภูเขาเทียมสูงจากตลิ่งแม่น้ำไนล์เดิม 61 เมตร (ภาพถ่าย: จอร์จ เกิร์สเตอร์, NATIONAL GEOGRAPHIC IMAGE COLLECTION)

ทุกวันนี้ ความพยายามด้านการอนุรักษ์ของแจ็กเกอลีนในสหรัฐฯ จากทำเนียบขาวถึงสถานีรถไฟแกรนด์เซนทรัลในนิวยอร์ก เป็นที่ยอมรับและยกย่องในวงกว้าง แต่คุณูปการของเธอในอียิปต์กลับถูกมองข้ามเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามแคโรลีน ผู้เป็นบุตรสาว เคยให้สัมภาษณ์ว่า แม่ของเธอ “รู้สึกว่าการอนุรักษ์และบูรณะอาคารทำเนียบขาวที่เธอที่มีส่วนร่วม มีความสำคัญทัดเทียมกับความพยายามซึ่งเป็นที่รู้กันน้อยกว่าในฐานะสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งที่ช่วยผลักดันการกอบกู้วิหารอาบูซิมเบล” 

ในแต่ละปี ผู้มาเยือนหลายแสนคนจากทั่วโลก พากันตื่นตาตื่นใจกับวิหารอาบูซิมเบล ซึ่งในภาพนี้เรืองรองด้วยแสงไฟของการแสดงแสงสีเสียง (ภาพถ่าย: เคนเน็ท แกร์แร็ตต์ NATIONAL GEOGRAPHIC IMAGE COLLECTION)

แม้สาธารณชน [ทั้งในสหรัฐฯ และนานาชาติ] จะไม่ค่อยรับรู้ถึงบทบาทของเธอ แต่แจ็กเกอลีนก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการที่ช่วยปูทางไปสู่ความพยายามด้านการอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรมทั่วโลกในอนาคตงานกอบกู้วิหารอาบูซิมเบลเป็นเหมือนแรงกระตุ้นให้ความคิดริเริ่มขององค์การยูเนสโกที่ปัจจุบันปกป้องดูแลมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมหลายพันแห่งทั่วโลก จากนครวัดในกัมพูชาถึงลำคลองน้อยใหญ่ในเวนิส “โครงการในครั้งนั้นเป็นสัญลักษณ์สำคัญในหลายมิติค่ะ” เมย์ ไชเออร์ หัวหน้าหน่วยรัฐอาหรับประจำโครงการมรดกโลกของยูเนสโก กล่าวและเสริมว่า “เพราะเป็นการกำหนดมาตรฐานร่วมกันในการระบุและปกป้องคุณค่าทางธรรมชาติและวัฒนธรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับว่า มีความสำคัญต่อมนุษยชาติทั้งมวล”  

 

เรื่อง :  เคต สตอรีย์

แปล : กองบรรณาธิการ


อ่านเพิ่มเติม : เหล่าวีรสตรีนักรบชาวไวกิ้ง

Recommend